บุปผาวารีคือดอกไม้ที่อยู่ในน้ำ ซึ่งดอกไม้ที่อยู่ในน้ำนั้นมักมีสีสันสวยงามและส่วนใหญ่ล้วนมีพิษสงร้ายกาจ เราจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'ดอกไม้พิษ' นิยายเรื่องนี้ที่เป็นภาคต่อจากร้ายพ่ายกลายรักจึงเป็นเรื่องราวของสองสตรีที่ร้ายกาจไม่เบา สามารถเอามาเปรียบเปรยได้ว่าไม่ต่างจากดอกไม้มีพิษนั่นเองค่ะ
หากกล่าวว่าแคว้นเฉินเป็นแคว้นที่มิได้กว้างใหญ่อันใดแต่ทว่าทหารล้วนแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ฝีมือโดดเด่นทั้งยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ล้ำเลิศกว่ามากนัก
เช่นนั้นแล้วกับแคว้นเป่ยฉีอันเป็นแคว้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกินพื้นที่ระยะทางไม่อาจนับได้ถ้วนแลเรืองอำนาจหนักหนานั่นย่อมเหมาะสมยิ่งนักกับการเชื่อมสัมพันธ์กันเอาไว้
แคว้นเป่ยฉีได้ส่งองค์ชายรองแห่งแคว้นนามว่าฉีเล่อ บุรุษหนุ่มรูปงามทั้งยังสูงค่าอันเป็นฐานอำนาจสำคัญขององค์รัชทายาทเดินทางไปยังแคว้นเฉินเพื่อเจรจาสัญญาสงบศึกโดยเงื่อนไขย่อมต้องเป็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เพื่อเพิ่มศักยภาพระหว่างเรืองอำนาจกับพลานุภาพทางการทหารเข้าด้วยกัน
และแคว้นเฉินนั้นได้ส่งองค์หญิงนามว่าเฉินลี่หลินมาเป็นสายใยเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกันในแคว้นเป่ยฉีแห่งนี้
ขบวนเดินทางยิ่งใหญ่แห่งการเชื่อมสัมพันธ์อันประกอบไปด้วยพลทหารหลายนายก้าวเท้าฉับๆ เกิดเป็นจังหวะน่าฟังนำขบวนโดยท่านแม่ทัพฟงนามชินหยาง รองแม่ทัพฟงนามจินหมิง และองค์หญิงแคว้นเฉินนามว่าลี่หลินนั่งประทับมาในเกี้ยวคันงามที่แปลงจากรถม้าคันใหญ่สีแดงมงคลอันสมฐานะสูงศักดิ์ได้เดินทางมายังประตูเมืองของแคว้นเป่ยฉีในที่สุด
ทหารกลุ่มใหญ่ของแคว้นเฉินจึงถูกรั้งให้รออยู่นอกกำแพงเมืองแค้วนเป่ยฉีตามกฏระเบียบคงเหลือเพียงพลทหารไม่กี่นายติดตาม
หลายวันต่อมาขบวนเดินทางที่ถูกตัดกำลังของทหารแคว้นเฉินให้เล็กลงแทนที่ด้วยทหารกลุ่มใหญ่หลายร้อยชีวิตของแคว้นเป่ยฉีก็เคลื่อนตัวอย่างอลังการเข้ามายังเมืองหลวงของแคว้นเป่ยฉีอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังแห่งแว่นแคว้น
ยามนี้ถนนหลายเส้นทางของเมืองหลวงแคว้นเป่ยฉีคับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายที่ต่างจับจองอยู่สองฝั่งข้างทางเมื่อขบวนองค์หญิงแคว้นเฉินเคลื่อนตัวพาดผ่าน
“เจ้ารีบกลับเข้าไปนั่งในเกี้ยวได้แล้ว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษรูปงามผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์เพียงทหารชั้นประทวนเอ่ยกับสตรีงดงามนางหนึ่งที่สวมอาภรณ์ทหารชั้นประทวนเช่นเดียวกัน
ทั้งสองกำลังเดินย่ำเท้ามากับขบวนทหารหลังเกี้ยวขององค์หญิงได้อย่างแนบเนียนตลอดการเดินทาง
“รู้แล้ว” เส้นเสียงหวานใสเอ่ยตอบพร้อมกับรีบเร้นกายหายวับไปในเกี้ยวองค์หญิงไร้ใครสังเกตเห็นได้ทัน เหตุไฉนไยนางถึงทำเช่นนั้น แน่นอนว่านางคือเฉินลี่หลิน
ฉีเล่อได้แต่ยืนมองว่าที่เจ้าสาวของเขาแบบลุ้นระทึกนึกกลัวเกรงว่าใครจะเห็นเฉินลี่หลินที่แอบปลอมตัวออกมาจากเกี้ยวองค์หญิงแบบนั้น เมื่อเห็นแล้วว่านางหายเข้าไปในเกี้ยวเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงแอบปลีกตัวออกไปเช่นกัน เนื่องจากว่าเขาเป็นองค์ชายรองของแคว้นเป่ยฉีผู้ที่ต้องยืนรอนางผู้เป็นว่าที่เจ้าสาวอย่างองอาจผึ่งผายอยู่ในพระราชวัง
พระราชวังเป่ยฉีอันใหญ่โตโอ่อ่ากินพื้นที่เหลือคณานับสมฐานะแคว้นเรืองอำนาจ...
ฉีเล่อเปลี่ยนโฉมจากอาภรณ์ทหารชั้นประทวนกลับมาสวมอาภรณ์ม่วงกระจ่างปักลายเมฆมงคลสีเหลืองออกทองอร่ามยืนอย่างสง่างามขับใบหน้าหล่อเหลาให้ยิ่งได้รูปงดงามเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน
เขาพาร่างสูงสมส่วนของตนมายืนอยู่ภายในพระราชวังถัดจากประตูชั้นที่เก้าเข้ามาด้านใน โดยด้านหลังของเขาเป็นท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่แห่งพระราชวังแคว้นเป่ยฉี
ชายหนุ่มยืนรอใครบางคนที่นั่งมาในเกี้ยวประจำวังหลวงด้วยมาดสุขุมนุ่มลึกเฉกเช่นปกติ สายตาเรียวคมของเขายังคงนิ่งสนิทไร้คลื่นสั่นไหวใดๆ ท่วงท่ากิริยาของเขาช่างงดงามองอาจผึ่งผายอันเป็นเอกลักษณ์แห่งตน บนใบหน้ารูปงามของเขาแลดูเย็นชาเฉกเช่นดังเดิม
เพียงไม่นานเมื่อขบวนเดินทางขนาดใหญ่หยุดอยู่หน้าประตูวังจึงคงเหลือเพียงบุคคลสำคัญอันได้แก่ท่านแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพและนายทหารองอาจทรงพลังอีกจำนวนหนึ่งไม่กี่คนของแคว้นเฉินที่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาภายในพระราชวังพร้อมด้วยเกี้ยวประจำวังอันเชิญให้องค์หญิงได้ประทับนั่งในเกี้ยวนั้น
ทั้งหมดเข้ามาถึงยังตำแหน่งที่ฉีเล่อยืนรออยู่ เขาจึงหรี่ตามองสตรีในเกี้ยวอีกคราอย่างลุ้นระทึกอีกครั้งด้วยนึกกลัวเกรงขึ้นมาว่านางจะเปลี่ยนอาภรณ์และแต่งหน้าทำผมไม่ทันเวลา
อันอาจจะทำให้เสียหน้าแก่เหล่าขุนนางระดับสูงในท้องพระโรงรวมทั้งเสด็จพ่อของเขาที่ทรงพาสังขารสูงวัยมานั่งรอแขกต่างเมืองด้วยพระองค์เองอยู่เป็นนาน
เมื่อเกี้ยวหยุดลงตรงหน้าของบุรุษรูปงามนามฉีเล่อผู้ยืนนิ่งเป็นรูปสลักด้วยมาดสุขุมนุ่มลึกใบหน้าเย็นชาสายตาเรียบเฉยแต่ใครไหนเลยจะเข้าใจว่าเขานั้นกำลังตื่นเต้นมากมายปานใดแต่ถูกซ่อนอากัปกิริยาเอาไว้ด้วยมาดสุขุมปกติแบบสุดชีวิต
เนื่องจากตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีเล่อได้เจอกับเฉินลี่หลินนั้น นางก็ติดแผลเป็นเอาไว้ที่ใบหน้าเสียน่าเกลียดมากนักทั้งยังแต่งกายเป็นเพียงทหารหญิงตลอดมา ใบหน้ามิเคยได้รับการแต่งแต้มใดๆ อาภรณ์งดงามก็ไม่เคยสวมใส่ ไหนเลยจะรู้จักแต่งกายเข้ารั้วเข้าวัง
นางออกจะแปลกประหลาดมากโข ทำเขานึกหวาดหวั่นขึ้นมาเสียจริง ด้วยเกรงว่าจะต้องเลื่อนการแต่งงานออกไปเพื่อให้คนในวังจับนางไปปรับปรุงแปลงโฉมกันเป็นการใหญ่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะได้นางมานอนเคียงร่วมหมอนเมื่อใดกัน
ในขณะที่ฉีเล่อกำลังพะวงกับใครบางคนอยู่นั้นพลันมีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานหรือไม่เพคะ”
ฉีเล่อรีบออกจากภวังค์พะวงแห่งตนปรายสายตามองเจ้าของเสียง
แต่แล้วเขาต้องผงะเมื่อมีสตรีงดงามนางหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์จัดเต็มรูปแบบพิธีการม้วนผมปักปิ่นเรียบร้อย แต่ใบหน้างดงามกลับปิดผ้าสีแดงโปร่งเสียครึ่งวงหน้าเผยเพียงดวงตาสวยใสเรียวคมโฉบเฉี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์
“ลี่หลิน...” ฉีเล่อครางเรียกชื่อนางตรงหน้าเสียงเบาอย่างนึกแปลกใจ สายตาเรียวคมไล่สำรวจนางตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
นางอยู่ในอาภรณ์สีแดงสดกรุยกราย มวยผมเรียบร้อยปักปิ่นระย้าสีทองอร่ามหรูหรา หากแต่ใบหน้ากลับเห็นเพียงดวงตาเรียวสวยที่เปล่งประกาย
“ข้าเอง” เฉินลี่หลินหลุดหัวเราะเสียงใสออกมาภายใต้ผ้าโปร่งปิดหน้าสีแดงมงคลที่เผยให้เห็นเพียงดวงตา หากไม่รู้จักกันก่อนหน้าคงไม่แน่ใจว่านางเป็นใคร
หญิงสาวยังคงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าทันอยู่ ม้วนผมปักปิ่นไม่ยาก หากแต่ไม่สามารถแต่งหน้าได้ทันเวลา มันช่วยไม่ได้นี่นะในเมื่อเกี้ยวมันโยกโยนตลอดเวลาเยี่ยงนั้น ข้าจึงปิดใบหน้าเอาไว้ก่อน ท่านคิดว่าอย่างไร”
นางกระซิบกระซาบใส่หน้าฉีเล่อยาวเหยียดอย่างมีหลักการก่อนพยักหน้าให้หนึ่งทีแล้วเอ่ยปิดท้าย
“ไปกันเถิด ข้าหิวแล้ว”
“...”
ฉีเล่อถึงกับหลุดยิ้ม นี่ล่ะนาง...