ความเดิมจากปลายเล่มที่แล้ว
เท้าความจากปลายเล่มที่แล้ว
ขบวนราชรถหรูหรา ธงหลากสีโบกสะบัด ขบวนเดินทางอย่างองอาจทรงพลังตามด้วยเหล่าทหารกล้านับหมื่นนับพันนายเคลื่อนพลเรียงรายเป็นแถวเป็นระเบียบสวยงามทรงพลังมีความยาวกินพื้นที่หลายลี้
นี่คือขบวนส่งตัวขององค์หญิงแคว้นเฉินเพื่อเป้าหมายคือการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเฉินกับแคว้นเป่ยฉี
ทุกอย่างช่างเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วกระทั่งคนบันทึกเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ยังจรดปลายพู่กันลงกระดาษแทบไม่ทัน นับประสาอันใดกับคนที่จะอ่านมันในภายภาคหน้า พวกเขาคงต้องใช้เวลาในการประมวลผลทำความเข้าใจยามเมื่อพลิกหน้ากระดาษอ่านประวัติความเป็นมาของแต่ละคน ว่าแต่ละคนรักกันเมื่อไหร่ รักกันอย่างไร ไยถึงรวดเร็วยิ่งนัก และคนที่ว่าร้ายกาจกลับกลายเป็นรักกันได้อย่างไร
ทั้งนี้ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าในเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงมลคลคันงามใหญ่โตนั้นกำลังว่างเปล่าไร้เงาของเจ้าสาวนั่งอยู่ในนั้น
เชิงเขาลาดชันที่ซึ่งตั้งอยู่ไกลๆ จากรูปขบวนที่กำลังเดินทางหมายไปเชื่อมสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ระหว่างแคว้นเฉินและแคว้นเป่ยฉี
บนเชิงเขาลาดชันแห่งนี้นั้นกำลังปรากฏเงาร่างของหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีในอาภรณ์สีขาวนวลธรรมดาไร้ซึ่งสีสันใดๆ ที่เด่นสะดุดตา พวกเขาทั้งสองกำลังนั่งอยู่บนหลังอาชาสีน้ำตาลดำคนละตัวโดยอาชาทั้งสองตัวกำลังยืนเคียงข้างกันอย่างสง่างาม
"เหตุใดไม่นั่งไปในเกี้ยวเจ้าสาวดีๆ"
เส้นเสียงทุ้มต่ำแลดูสุขุมนุ่มลึกของบุรุษร่างสูงรูปงามผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกเข่นเคี้ยวเหลือจะกล่าว
"หากเราขี่ม้าไปเองย่อมถึงได้ก่อนขบวนเดินทางเสียอีก"
เส้นเสียงหวานใสของสตรีงดงามแลดูโฉบเฉี่ยวเอ่ยขึ้นมาอย่างนึกสนุก สายตาเรียวสวยแลเฉี่ยวคมอันเป็นเอกลักษณ์กำลังมองไปยังทิศทางของขบวนอันยิ่งใหญ่แบบไม่วางตา
ฉีเล่อหันมามองฟงลี่หลินที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นเฉินลี่หลินที่เป็นถึงองค์หญิงแคว้นเฉินแต่ไม่ยอมนั่งเกี้ยวเจ้าสาวดีๆ นางกลับขี่ม้าคนละตัวกับเขาในยามนี้ เขาจึงมองอย่างนึกขัดเคืองเสียจริง
ไยนางถึงมองเห็นเขาที่แอบมองนางอยู่ตรงนี้
สายตาของนางดีเกินไปหรือไม่!?
เฉินลี่หลินหรี่ตาสวยเฉี่ยวมองฉีเล่อนิ่งๆ พลางยกยิ้มมุมปากอย่างมีเสน่ห์เหลือร้าย
นางมองเห็นเขาที่แอบปลอมตัวมาเพื่ออารักขานางที่กำลังนั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาว นางจึงแอบปลอมตัวออกมาจากเกี้ยวเจ้าสาวบ้าง เพื่อมาแอบตามเขาอีกที สนุกดี!
ฉีเล่อมองเห็นสายตาเฉี่ยวสวยพราวระยับกอปรกับรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์อย่างนั้นจึงนึกเข่นเขี้ยวเพิ่มมากขึ้น เขาจึงเอื้อมมือขึ้นมาแล้วจับแก้มนวลของนางเอาไว้เสียเลย
เนื่องจากม้าที่พวกเขานั่งคร่อมอยู่ยืนใกล้กันมากฉีเล่อจึงเอื้อมนิ้วเรียวยาวขึ้นมาแล้วบีบแก้มของเฉินลี่หลินที่กำลังส่งยิ้มยียวนได้อย่างง่ายดาย
"โอย..." เฉินลี่หลินถึงกับร้องครางเมื่อพวงแก้มของนางถูกจับแล้วบีบจนเสียรูปทรง
ฉีเล่อจึงหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดใจเอาไว้ไม่ได้ก่อนเอ่ยเชิงเย้า "สตรีประหลาด" จบคำก็ลูบแก้มให้นางเบาๆ ส่งผ่านความร้อนที่ปลายนิ้วสู่แก้มนวลขาวให้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“บุรุษประหลาด” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาย่นจมูกเล็กน้อย
ฉีเล่อหัวเราะในลำคอแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “แล้วรักหรือไม่”
“...”
คำตอบมีเพียงใบหน้างามๆ ย่นจมูกเล็กน้อยอย่างนึกหมั่นไส้เหลือเกิน
"เหตุใดท่านต้องใจร้อนเรื่องของเราด้วยเล่า"
เฉินลี่หลินเอ่ยถามขึ้นมาถึงสิ่งที่ยังคงคาใจยามเมื่อม้าของพวกเขาเดินเหยาะๆ เคียงกันไปตามทางบนเชิงเขาที่มองเห็นขบวนเดินทางเชื่อมสัมพันธ์อยู่ไกลๆ
"ข้าเดินทางไปที่แคว้นเฉินในครานี้เป้าหมายคือการเจรรจาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์อยู่แล้วและข้ายังต้องได้องค์หญิงบรรณาการกลับไปยังแคว้นเป่ยฉีสักคน หากข้ายังมิได้เจอกับเจ้าและหากข้าไม่รีบเร่งเรื่องของเรา นั่นหมายความว่าสตรีนางใดก็ได้ตามสัญญาสงบศึกที่จักต้องแต่งงานกับข้าในอีกหนึ่งปีข้างหน้า"
ฉีเล่อเอ่ยคำยาวเหยียดให้เฉินลี่หลินได้รับฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่มีปิดบัง
เขาเห็นได้ชัดเจนว่าฟงชินหยางตั้งใจให้เขาเดินทางไปยังหัวเมืองแคว้นเฉินแทนที่จะให้เขาเดินทางเข้าเมืองหลวงของแคว้นเฉินเยี่ยงนั้นเพราะเหตุใด เขาก็แค่เพียงแจ้งความประสงค์ไปยังทูตประจำดินแดนว่าต้องการมาท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนหัวเมืองหลักก่อนเข้าเมืองหลวงในรอบถัดไปก็เพียงเท่านั้น
หากแต่เรื่องระหว่างเขากับลี่หลินนั้นกลับเกินความคาดหมายของทุกคน ฟงชินหยางไม่บอกกล่าวเขาสักคำว่าสตรีแปลกประหลาดในงานเลี้ยงต้อนรับเป็นน้องสาวคนเดียวของท่านแม่ทัพฟงผู้เกรียงไกร อันที่จริงฟงชินหยางคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภรรยากับน้องๆ จะเล่นซุกซนอันใด
เขายังจำได้ดีถึงสตรีที่นั่งเคียงข้างกายกันในวันงานเลี้ยงต้อนรับนั้น นางที่ไม่สนใจเขาเลยสักนิด นอกจากจะไม่สนใจเขาที่เป็นถึงองค์ชายรูปงามนางยังสนใจเพียงขนมบนโต๊ะของเขา
นางกินไปยิ้มไปแลดูมีความสุขเกินจะกล่าว สายตาเรียวสวยของนางยามเมื่อมองมาทางเขาทำให้เขารู้สึกถูกชะตาอย่างแปลกประหลาด เขาอยากมองนางในทุกๆ วัน อยู่กับนางแล้วสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
"เราควรมีเวลาคบหาดูใจกันให้นานกว่านี้"
“...”
จู่ๆ เสียงหวานใสของเฉินลี่หลินพลันดังทำลายภวังค์ของใครบางคนในทันที
ฉีเล่อที่กำลังครุ่นคิดเรื่องของใครบางคนอยู่จึงขมวดคิ้วขัดใจก่อนเอ่ยเสียงกดต่ำสีหน้าเย็นชา
"แต่งงานกันก่อนแล้วค่อยดูใจก็ยังไม่สาย"
"หือ..."
"มีลูกด้วยกันแล้วก็ดูใจกันไปเรื่อยๆ ก็ยังได้"
"หา!"
"เรามีลูกด้วยกันกี่คนดี"
"หื้อ"
"ไม่ต้องห่วง ข้าแค่ดับเทียน..."
"...!?"
ณ เชิงเขาอีกฝั่งหนึ่งจากทิศทางของขบวนเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างแคว้นเฉินและแคว้นเป่ยฉี
"เจ้าขี่ม้าเป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน" เส้นเสียงทุ้มต่ำเอ่ยคำรามอย่างนึกขัดเคืองในใจเมื่อภรรยาคนงามขี่ม้าคนละตัวกับเขา
"ข้าย่อมต้องขี่ม้าให้เป็นเสียทีเพื่อที่จักขี่มันเคียงข้างกับท่านอย่างสง่างามไปตามทาง" เส้นเสียงแว่วหวานเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มงดงามอันเป็นเอกลักษณ์
"ท่านพ่อกับท่านแม่ควรขี่ม้าตัวเดียวกัน" จู่ๆ เสียงกังวานใสของเด็กน้อยพลันดัง
"ใช่ๆ ท่านทั้งสองควรขี่ม้าตัวเดียวกันเพื่อน้องคนที่สามจะได้มีในเร็ววัน"
"..."
เสียงใสๆ ของฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงกล่าวอย่างรู้ใจบิดาเป็นที่สุด เด็กน้อยทั้งสองคนขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษผู้เป็นบิดา แต่หากจะเรียกให้ถูกพวกเขากำลังขี่คอผู้เป็นบิดาเสียมากกว่า
พวกเขากำลังนั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนบ่ากว้างของฟงชินหยางคนละข้าง
เด็กน้อยทั้งสองยังคงเอ่ย "หากถึงแคว้นเป่ยฉีเมื่อใด พวกเราจักดูต้นทางให้พวกท่านเอง"
"...!?"
"การเปลี่ยนบรรยากาศย่อมดีต่อน้องน้อยที่จะเกิดมา"
"...!?"
"ท่านพ่อ ท่านแม่ เต็มที่เลย..."
"...!?"
“พวกท่านไม่ต้องห่วง พวกท่านแค่ดับเทียน...”
“!!!???”
หมดคำใดจะเอื้อนเอ่ย ทั้งฟงชินหยางและหลิงเวยไม่มีใครกล้าขัดใจบุตรชายทั้งสองเป็นแน่แท้...