และแล้วช่วงเวลาที่ญารินรอคอยก็มาถึง ปุณณภัทรส่งรถไปรับเธอเข้ามาในไร่ก่อนวันแต่งหนึ่งวันเพื่อให้หญิงสาวเตรียมตัวส่วนเขาไปค้างที่บ้านหลังใหญ่ของณฤดีแทน
หญิงสาวนอนกระสับกระส่ายบนเตียงกว้างในห้องรับรองที่ปณิตาจัดไว้ให้ ไม่อยากจะคิดว่าวันที่รอคอยจะมาถึงไวขนาดนี้
“นอนไม่หลับเหรอขิม” นวลจันทร์เอ่ยถามหลังจากที่เห็นลูกนอนพลิกตัวไปมาแม้เวลาจะปาไปเกือบจะห้าทุ่มแล้วก็ตาม
“หนูนอนไม่หลับเลยค่ะแม่ มันตื่นเต้นบอกไม่ถูก”
“แม่เข้าใจ ตอนสาว ๆ แม่ก็เคยเป็น” อีกฝ่ายพลิกตัวหันมามองหน้าลูกสาวท่ามกลางความมืดมีเพียงแค่แสงจันทร์จากภายนอกสาดส่องเข้ามาเท่านั้น
“หนูกลัวจังเลยค่ะแม่”
“กลัวอะไรเหรอ”
“กลัวว่าหนูจะทำให้คุณปุณเขารักไม่ได้ ถ้าเกิดแต่งงานไปแล้วเขายังไม่หยุดที่หนู หนูจะเจ็บมากไหมคะแม่” ญารินเอ่ยถามผู้เป็นแม่ด้วยความไร้เดียงสาเพราะเธอยังไม่เคยมีความรักเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา
“ขิมก็เผื่อใจไว้บ้างสิลูก อย่าเทให้เขาหมดทั้งใจเผื่อมันเอาไว้รักตัวเองบ้าง”
“ค่ะแม่ หนูจะพยายามนะคะ” หญิงสาวรับปากผู้เป็นแม่ เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการพูดให้เธอสบายใจ
“แล้วนั่นจะไปไหน” นวลจันทร์เอ่ยถามเมื่อเห็นลูกสาวทำท่าจะลุกจากไป
“หนูหิวน้ำน่ะค่ะ แม่นอนก่อนได้เลยนะคะ” ญารินยิ้มตอบก่อนที่เธอจะเปิดประตูห้องเพื่อลงไปดื่มน้ำที่ห้องครัวชั้นล่าง
ปณิตาบอกว่าบ้านหลังนี้เธอสร้างขึ้นมาในภายหลังด้วยระยะเวลาที่จำกัดเพราะต้องการแยกปุณณภัทรมาจากบ้านหลังใหญ่เพื่อไม่ให้มีปัญหากับณฤดีเมื่อสองปีก่อน ตัวบ้านจึงค่อนข้างเล็ก มีเพียงสี่ห้องนอนและห้องน้ำสามห้อง แต่ถึงกระนั้นการตกแต่งก็ยังหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์นำเข้าเสียส่วนใหญ่
หญิงสาวทอดสายตามองกรอบรูปและของตกแต่งที่ถูกประดับประดาไว้อย่างเป็นระเบียบ ไฟในบ้านถูกปิดไปบางดวงทำให้มองเห็นแต่เพียงรำไรเท่านั้น
สองเท้าก้าวลงบันไดที่ถูกขัดถูจนเงาวับเพื่อลงไปยังชั้นล่าง แต่วินาทีที่เธอกำลังเลี้ยวลงบันได อยู่ ๆ หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนตรงระเบียงบ้าน
“ป้านิดยังไม่นอนอีกเหรอ” ญารินพึมพำกับตัวเองจากนั้นจึงตัดสินใจเดินไปที่ระเบียงเพื่อจะชวนปณิตาคุยเพื่อคลายความตื่นเต้น แต่เมื่อเลื่อนประตูออกไปเธอกลับพบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น “สงสัยจะตาฝาด”
หญิงสาวส่ายหน้านิด ๆ แล้วจึงหมุนตัวเดินลงบันไดไปและตอนนั้นเองที่ใครบางคนซึ่งกำลังหลบซ่อนตัวตรงมุมมืดจะถลาออกมาจากที่ซ่อนแล้วย่องตามเธอไป พอเท้าเล็กแตะลงบันไดอีกครั้ง ร่างปริศนานั้นก็ออกแรงผลักแผ่นหลังเล็กของเธอเต็มแรงจนญารินล้มลงก่อนที่ร่างจะกลิ้งตกบันไดไป
“กรี๊ด!” หญิงสาวร้องลั่นรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกตรงขั้นบันไดก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลงบนพื้นชั้นหนึ่งของบ้าน ดวงตากลมโตพยายามมองผ่านความมืดขึ้นไปก่อนจะพบกับเงาดำทะมึนของใครบางคนกำลังก้าวตามลงมาเมื่อเห็นว่าเธอยังขยับลุกได้
“คุณขิม เป็นอะไรไปคะ” เสียงประภาร้องดังขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะรีบเปิดไฟจนสว่างโร่ถึงตอนนั้นเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงบันไดเมื่อครู่นั้นได้หายไปแล้ว
“หนูขิม เกิดอะไรขึ้น” ปณิตาและนวลจันทร์ลงมาจากชั้นหนึ่งด้วยความตกใจหลังจากที่ได้ยินเสียงร้อง
“ขิม หนูตกบันไดเหรอลูก”
“ค่ะแม่” ญารินตอบทั้งที่สายตายังเหลือบมองขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านด้วยความสับสน ภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่เธออาจจะตาฝาดไป และที่เธอล้มลงมาก็อาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ระวังจนลื่นล้มลงมาเองก็เป็นได้
“ตายแล้ว เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าเนี่ย” ปณิตาเอ่ยถามด้วยความร้อนใจก่อนจะสำรวจตรวจดูร่างกายของว่าที่สะใภ้ว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง
“หนูไม่เจ็บมากหรอกค่ะ โชคดีที่มันไม่ได้สูงมาก” หญิงสาวปฏิเสธแม้ว่าจะรู้สึกเคล็ดไปทั้งร่ายกายเพราะไม่อยากให้งานแต่งที่ใฝ่ฝันไว้ต้องพังทลายลง
“งั้นค่อย ๆ ยืนนะ” นวลจันทร์ว่าพลางออกแรงประคองร่างลูกสาวให้ยืนขึ้น ทว่าทันทีที่ทิ้งน้ำหนักลงบนเท้าญารินกลับรู้สึกได้ทันทีว่าความเจ็บปวดมันแล่นไปกระจุกกองอยู่ตรงนั้นจนเผลอร้องเสียงหลงออกมา
“โอ๊ย! เจ็บ หนูเจ็บเท้าค่ะแม่”
“ตายจริง แล้วแบบนี้จะทำยังไงกันล่ะเนี่ย พรุ่งนี้ก็ถึงเวลาเข้าพิธีแล้ว” ปณิตากุมขมับ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า แม่หนูนวดเส้นเก่ง เดี๋ยวแม่นวดให้ก็หายแล้วล่ะค่ะ” ญารินรีบปลอบใจเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาเดือดร้อนเพราะเธอ
“แน่ใจนะขิมว่าลูกไหว”
"นั่นน่ะสิ ไปให้หมอตรวจดูสักหน่อยไหม" ปณิตาเสริม
“แน่ใจค่ะแม่ หนูไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ ค่ะคุณป้า” หญิงสาวตอบรับเสียงหนักแน่น นวลจันทร์กับปณิตาจึงช่วยประคองเธอกลับขึ้นไปบนห้องก่อนที่ประภาจะนำน้ำขึ้นไปให้
หลังจากนวดเส้นแล้วลองขยับลุกเดินอีกครั้งก็พอจะประคองตัวเองได้ไหว ปณิตาจึงพลอยโล่งใจไปด้วย เมื่อถึงเช้าวันแต่งงานญารินจึงต้องกรอกยาแก้ปวดไปถึงสองเม็ดก่อนที่ช่างจะเดินทางมาแต่งองค์ทรงเครื่องให้เธอถึงที่บ้าน
ชุดเจ้าสาวที่ถูกตัดเย็บดัดแปลงอย่างดีถูกนำออกมาแล้วสวมให้เธอหลังจากที่แต่งหน้าทำผมให้เสร็จสรรพ พอเห็นตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจก ญารินก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่คิดว่าช่างจะเนรมิตเธอให้กลายเป็นเจ้าหญิงได้จนไม่เหลือเค้าโครงของญารินคนเดิมเลยสักนิด
“สวยจังเลยหนูขิม” ปณิตากล่าวชื่นชมด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดียวกับนวลจันทร์ที่นั่งให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ
“ถ้ามันเป็นงานแต่งงานจริง ๆ ก็คงจะดีกว่านี้นะนิด”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะนวล นี่ก็เป็นงานแต่งจริง ๆ และหนูขิมก็เป็นลูกสะใภ้ของฉันจริง ๆ ไง” อีกฝ่ายประคองใบหน้าว่าที่สะใภ้อย่างเบามือเพื่อตรวจดูว่ามีตรงไหนที่ต้องแก้อีกบ้าง “สีปากจืดไปสักนิด ช่วยเติมให้เข้มกว่านี้หน่อยได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ค่ะ” ว่าแล้วช่างแต่งหน้าจึงรีบนำลิปสติกมาเติมให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ปณิตาจึงช่วยประคองหญิงสาวไปยังรถที่จอดรอไว้เพื่อพาเจ้าสาวไปเริ่มพิธียังคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางไร่อมรภิรมย์
มือเรียวจับมือของปณิตาและนวลจันทร์ไว้แน่นคนละข้างด้วยความตื่นเต้นเมื่อรถค่อย ๆ ชะลอจอดหน้าบ้าน ยิ่งเห็นแขกเหรื่อที่เริ่มทยอยมาร่วมงานเธอก็ยิ่งรู้สึกประหม่าจนมือไม้เย็นเฉียบ
“ไม่ต้องตื่นเต้นนะจ๊ะ หายใจเข้าออกช้า ๆ เดี๋ยวป้าจะช่วยประคองเราเข้าไปเอง” ปณิตาพยายามเปิดใจก่อนจะเปิดประตูรถพาหญิงสาวเข้าไปในงานท่ามกลางสายตาของแขกที่มาร่วมแสดงความยินดี
ญารินพยายามทำใจให้สบาย ประคองตัวเองบนส้นสูงอย่างทุลักทุเลเข้าไปในบ้านเพื่อเริ่มพิธีสงฆ์
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นเจ้าบ่าวของเธอกำลังรออยู่ก่อนแล้วปณิตาจึงเอ่ยเรียก
“ตาปุณ เจ้าสาวมาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ปุณณภัทรละสายตาจากเพื่อนสนิทที่เดินทางมาร่วมยินดีเพื่อมองไปยังต้นเสียง วินาทีนั้นเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจทันทีที่เห็นเจ้าสาวที่ยืนเคียงข้างผู้เป็นแม่
ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแต่พอดี ผมที่ยาวสลวยถูกมัดรวบไว้ด้วยปิ่นสีทอง เรือนร่างงามระหงอยู่ในชุดแต่งงานของณฤดีที่ถูกตัดเย็บแต่งเติมสไบเข้าไปใหม่ดูทันสมัย ดูงดงามราวกับหลุดมาออกจากวรรณคดี
ริมฝีปากบางเคลือบด้วยลิปสติกสีสวยคลี่ยิ้มเล็กน้อยยามที่เขาประสานสายตากลับไป ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอคือคนเดียวกับยัยลูกเป็ดขี้เหร่ที่เขาเคยเจอเมื่อหลายวันก่อน
“สวยจัง...”
ปุณณภัทรพึมพำออกมาราวกับถูกสะกดก่อนที่เขาจะรีบส่ายหน้าเพื่อดึงสติตัวเองให้กลับคืนมาเมื่อญารินเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“ช่วยประคองน้องหน่อยนะ เมื่อคืนเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ข้อเท้าเลยแพง” ปณิตากำชับกับลูกชายก่อนจะวางมือเรียวลงบนวงแขนแข็งแรงเพื่อให้เขาช่วยพาเธอไปยังพิธี