ญารินพยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้จนกระทั่งเสร็จพิธีสงฆ์แล้วเริ่มพิธีสวมแหวนหมั้น หญิงสาวพยายามนั่งพับเพียบอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้นั่งทับขาตัวเอง
พิธีสวมแหวนหมั้นผ่านไปอย่างชื่นมื่นโดยที่ญาติฝั่งเจ้าสาวมีเพียงแค่นวลจันทร์และนภาเท่านั้น ผู้เป็นป้าแอบกลืนน้ำลายลงคอเสียอึกใหญ่เมื่อเห็นธนบัตรจำนวนมากที่ถูกจัดวางไว้บนพานอย่างเป็นระเบียบ
แขกในงานต่างจ้องมองภาพนั้นด้วยความชื่นชม ยกเว้นแต่ภัสสรเท่านั้นที่ยังริษยาเพราะงานแต่งงานของปุณณภัทรครั้งนี้มันเท่ากับชัยชนะที่ปณิตาได้รับด้วย
ญารินกระพุ่มมือไหว้เจ้าบ่าวตามธรรมเนียมหลังจากที่เขาบรรจงสวมแหวนให้เธอก่อนที่ช่างภาพจะถ่ายรูปนั้นไว้ คิดไม่ถึงว่าวินาทีนั้นภัสสรจะตะโกนขึ้นมาทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบในทันที
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวดูห่างเหินกันจัง อยากเห็นจ้าวสาวหอมแก้มเจ้าบ่าวบ้าง คงเป็นภาพที่น่าดูมาก ๆ แน่เลย”
ประโยคนั้นทำให้ปุณณภัทรแอบขบกรามแน่นเพราะรู้ดีว่าอาสะใภ้ต้องการจะพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้จ้างญารินมาเพื่อเป็นเจ้าสาวกำมะลอ
“เอาไงดีคะ” คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แกล้งก้มหน้ายิ้มด้วยความเขินอายเพื่อใช้จังหวะนั้นหันไปขอความคิดเห็นจากเขา
ใช่ว่าเธอจะไม่อยากทำ แต่กลัวทำไปแล้วเขาจะโกรธต่างหาก
“เธอไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวฉันทำเอง” พูดจบมือหนาก็โอบตวัดรั้งต้นคอเล็กเพื่อให้ใบหน้าของญารินเข้ามาใกล้ ก่อนที่เขาจะโน้มลงจุมพิตลงบนริมฝีปากสีสวยนั้นเพื่อแสดงละครให้สมจริง ทำเอาช่างภาพต่างก็รีบรัวชัตเตอร์กันพัลวัน
ตึก ตัก ตึก ตัก
เสียงหัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามจนกลบเสียงฮือฮาของแขกเหรื่อในทันที ไม่อยากคิดเลยว่าเขาจะกล้าจูบเธอต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ทั้งที่ภัสสรบอกแค่ให้เธอหอมแก้มเขาเท่านั้น
“เขมว่า เขมรู้สึกคุ้นหน้าเจ้าสาวยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน คุณเมธคิดเหมือนกันไหมคะ” เขมิกาจ้องมองภาพนั้นด้วยสายที่กำลังลุกเป็นไฟเช่นเดียวกับหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่เดินทางมาร่วมงาน แต่ถึงปุณณภัทรจะดูดีแค่ไหนในสายตาของเธอก็ยังคงมีแต่เมธวินเท่านั้น
“...” อีกฝ่ายไม่ได้สนใจจะตอบคำถามนั้น เขาเพียงแต่จับจ้องไปบนเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีอารมณ์ร่วมใด ๆ ทั้งสิ้น
หลังจากเสร็จพิธีบนเวที ก็เป็นพิธีรดน้ำสังข์ต่อ คู่บ่าวสาวถูกเจิมแป้งบนหน้าผากเพื่อเตรียมรับพรจากแขกที่มาร่วมงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากญารินที่ต้องคอยก้มหน้าหลบซ่อนจากพนักงานของภูภิรมย์โดยเฉพาะเมธวินและเขมิกา
“อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับย่าล่ะ ย่ายังอยากอุ้มเหลนอยู่นะ” ณฤดีกล่าวอวยพรพลางเน้นย้ำถึงสัญญาอีกครั้งก่อนที่ตรีเนตรพยาบาลประจำตัวจะเข็นวีลแชร์ออกไปแล้วปณิตาก็เข้ามาอวยพรต่อ
“มัดใจลูกชายแม่ให้ได้นะหนูขิม”
“คุณแม่หมายความว่ายังไงครับ” ปุณณภัทรแย้งขึ้นทันทีเพราะเขายังไม่ทราบความต้องการที่แท้จริงของผู้เป็นแม่
“แม่ก็ให้พรไงจ๊ะ แม่ขอให้เราหยุดเจ้าชู้แล้วก็ขอให้หนูขิมมัดใจเราให้ได้ แม่จะรออุ้มหลานนะจ๊ะ”
“แต่มันไม่ได้อยู่ข้อตกลงนะครับ” เขากระซิบบอก
“แล้วไง แม่ไม่เคยสัญญาอะไรไว้กับเรานี่” ปณิตายิ้มตอบอย่างผู้ชนะแล้วเดินจากไป ถึงตอนนั้นภัสสรจึงเข้ามารดน้ำสังข์ต่อ ทว่ากลับไม่ได้กล่าวให้พรอะไรเลยสักคำ หลังจากนั้นญาติคนอื่น ๆ ก็ต่างทยอยมาอวยพรพร้อมกับรดน้ำสังข์ บ้างก็ถือโอกาสถ่ายรูปเป็นที่ระลึกจนกระทั่งเมธวินเดินเข้ามา หญิงสาวจึงรีบก้มหน้างุดลงอีกครั้ง
“ยินดีด้วยนะครับพี่ปุณ”
“ขอบใจแต่ฉันไม่มีน้องชาย” ปุณณภัทรตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนญารินอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ จังหวะนั้นเองที่เธอเผลอสบตากับเมธวินเข้าเต็ม ๆ
ชายหนุ่มได้แค่คลี่ยิ้มจาง ๆ เหมือนได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นจนชินก่อนจะหันมาอวยพรเจ้าสาวบ้าง
“ยินดีต้อนรับสู่อมรภิรมย์นะขิม”
“คะ!? คุณเมธจำหนูได้ด้วยเหรอคะ” หญิงสาวหน้าเหลอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำได้เพราะเขาไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย
“จำได้สิ แต่ไม่ต้องกลัวนะ ฉันไม่บอกใครหรอก” เขายิ้มให้อีกครั้งแล้วจึงเดินจากไป ปุณณภัทรจึงหันมาเอ่ยถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ไปรู้จักกับหมอนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“คุณเมธเขาเป็นผู้จัดการบริษัทในเครืออมรภิรมย์นี่คะ หนูเคยทำงานที่กรุงเทพฯ เจอเขาแค่ครั้งสองครั้งค่ะ” ญารินตอบไปตามความจริง
“งั้นก็เก็บอาการหน่อย เราเพิ่งแต่งงานกันวันแรกแต่เธอดันไปยิ้มหน้าระรื่นกับผู้ชายคนอื่นแบบนี้ มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงของเรานะ”
“ค่ะ” หญิงสาวก้มหน้ารับคำซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่เขมิกาเข้ามาอวยพรพอดี เธอจึงรีบก้มหน้างุดทันที
“ยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยนะคะ” เขมิกากล่าวอวยพร โชคดีที่เธอไม่ได้นึกเอะใจอะไร ญารินจึงลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความโล่งอก
เสร็จจากพิธี ปุณณภัทรก็ออกไปต้อนรับและพูดคุยกับแขกภายในงาน ส่วนเจ้าสาวซึ่งยังปวดขาอยู่จึงได้แต่นั่งซ่อนตัวอยู่ข้างเวทีเงียบ ๆ ดีเสียอีกเธอจะได้ไม่ต้องคอยหลบหน้าจากพนักงานของภูภิรมย์รีสอร์ตที่เดินทางมาร่วมงานด้วย
บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างราบรื่นโดยที่ณฤดีก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไร ส่วนปณิตาก็ยิ้มหน้าบานยินดีต้อนรับลูกสะใภ้อย่างเธอ
“อ่ะนี่ ของขวัญ” กอแก้วยื่นกล่องของขวัญให้พร้อมกับทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง “แย่จังเลยเนาะ วันแต่งงานแท้ ๆ เจ้าสาวกลับเดินไม่ไหว ไปทำเอาท่าไหนล่ะเนี่ย”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ”
“ยังไงก็ดีใจด้วยนะ ดูสิ เจ้าบ่าวแกดูดีมากเลยอ่ะ” กอแก้วคลี่ยิ้มในขณะที่ทอดสายตาไปยังร่างสูงที่กำลังทักทายแขกในงาน “ทั้งหล่อทั้งรวย ขอเคล็ดลับบ้างสิว่าไปมูจากไหน ฉันอยากได้แบบนี้บ้างจัง”
“มูที่ไหนกันล่ะ เขาเรียกพรหมลิขิตต่างหาก”
“จ้า แม่คนคลั่งรัก” คนเป็นพี่ใช้นิ้วจิ้มลงบนแก้มเนียนใสเบา ๆ อย่างรักใคร่ “ขอให้แกรักกันนาน ๆ ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรนะน้องรัก”
“ขอบคุณมากนะพี่แก้ว”
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะ เดี๋ยวต้องกลับไปช่วยแม่เปิดร้านอีก”
“จ่ะ ยังไงขิมฝากดูแม่ด้วยนะพี่ เดี๋ยวจะหาโอกาสกลับไปเยี่ยม”
“อื้ม ไม่ต้องเป็นห่วง ไปก่อนนะ” กอแก้วโบกมือลาก่อนจะขอตัวเดินทางกลับบ้านไป
หลังจากเสร็จพิธีในตอนกลางวัน แขกเหรื่อต่างทยอยกลับกันไปจนหมดจนเหลือแค่ญาติผู้ใหญ่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอส่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าพิธีเรียงหมอนส่งตัว
เมื่อทุกคนให้พรเสร็จแล้วจึงพากันกลับออกไปเหลือเพียงแค่นวลจันทร์ที่ออกไปเป็นคนสุดท้าย
“ฉันรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก แต่คุณสัญญากับฉันได้ไหมคะว่าคุณจะไม่ทำให้ขิมเสียใจหรือร้องไห้เพราะคุณ” นวลจันทร์หันไปบอกลูกเขยในนามด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ ในเมื่อมันไม่ได้เกิดขึ้นจากความรัก ขิมเขาไม่มีทางมาเสียใจให้คนอย่างผมแน่นอน”
คำตอบของปุณณภัทรทำให้นวลจันทร์นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจเพราะเขาไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วญารินนั้นตกหลุมรักเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
“ได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจ ถ้าเสร็จเรื่องเมื่อไหร่ถึงตอนนั้นคุณยังไม่ได้รักขิม ฉันก็ขอให้คุณพาขิมกลับไปส่งให้ฉันนะคะ”
“ครับคุณน้า แต่ผมไม่รับปากนะครับว่าเป็นเมื่อไหร่” เขารับปากแบบส่ง ๆ ก่อนจะลุกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า นวลจันทร์จึงหันมาบอกลาลูกสาวแทน
“ในเมื่อขิมเลือกแล้วแม่ก็ขอให้ขิมมีความสุขกับสิ่งที่ขิมเลือกนะ แต่อย่าลืมที่บอกนะ...เผื่อใจไว้บ้าง ดูท่าแล้วเขาคงไม่ยอมหยุดหรอก”
“ค่ะแม่” ญารินกระพุ่มมือไหว้แล้วจึงสวมกอดผู้เป็นแม่อีกครั้ง “ขอบคุณแม่มากนะคะที่เข้าใจหนู”
“ดูแลตัวเองด้วยจะขิม ไม่ไหวก็กลับไปหาแม่นะ” นวลจันทร์ลูบศีรษะเล็กด้วยความรักแล้วจึงขอตัวลากลับไป ถึงตอนนั้นภายในห้องจึงมีแค่เธอและปุณณภัทรที่กำลังอาบน้ำอยู่เท่านั้น
ร่างบางระหงทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้หน้ากระจก จ้องมองตัวเองผ่านเงาสะท้อนอีกครั้งแล้วจึงหันไปหยิบสมาร์ตโฟนใน กระเป๋าสัมภาระที่ปณิตาเตรียมไว้ให้ขึ้นมากดถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก อย่างน้อยครั้งนี้มันก็เป็นงานแต่งงานครั้งแรกของเธอ
หญิงสาวดูรูปถ่ายของตัวเองอย่างพอใจก่อนจะเริ่มแกะปิ่นปักผมและเครื่องประดับบนศีรษะออกจนเหลือเพียงแค่ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะถอดยากเอาการ
“ซิปแน่นจัง...” มือเรียวพยายามเอื้อมไปรูดซิปด้านหลังลงด้วยการเอียงตัวแล้วเหลือมองผ่านเงาะสะท้อนในกระจกแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเจ้าบ่าวหมาด ๆ ของเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” ปุณณภัทรเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังเอี้ยวตัวเพื่อถอดซิปอย่างทุลักทุเล ทว่าอีกฝ่ายกลับรีบปฏิเสธ
“ปละ...เปล่าค่ะ”
“เปล่าได้ไงก็เห็นอยู่ว่ารูดซิปไม่ได้” เขาส่ายหน้านิด ๆ ก่อนจะเข้ามาหยุดยืนข้างหลังแล้วเป็นฝ่ายรูดซิปให้เธอเสียเอง
“อ๊ะ!” ญารินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่านิ้วของเขาสะกิดโดนเนื้อจนกระทั่งรับรู้ถึงความเย็นที่วิ่งปราดมาทั่วแผ่นหลังเพราะซิปมันทอดยาวไปจนถึงเอว “เสร็จหรือยังคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปโดยที่เธอไม่รู้เลยว่าปุณณภัทรกำลังจ้องมองแผ่นหลังเนียนละเอียดนั่นด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาก่อนจะเผลอยกมือขึ้นสัมผัสมันแต่อีกฝ่ายกลับหมุนตัวหันกลับมาถามเสียก่อน เขาจึงรีบชักมือกลับในทันที
“เสร็จแล้วใช่ไหมคะ”
“อืม” ชายหนุ่มพยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดแล้วจึงรีบเดินกลับไปที่เตียง ทิ้งตัวนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ญารินจึงยกมือจับชุดที่หนักอึ้งเอาไว้แล้วหยิบกระเป๋าสัมภาระหายเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากที่อาบน้ำและจัดการกับเครื่องสำอางบนใบหน้าจนสะอาดเธอจึงเปิดดูเสื้อผ้าที่ปณิตาอาสาเตรียมไว้ให้เพื่อมาค้างที่บ้านอมรภิรมย์ในคืนแรก
“คุณป้า...” หญิงสาวโอดครวญทันทีที่เห็นชุดนอนที่แม่สามีเตรียมไว้ให้เพราะมันเป็นชุดซาตินเนื้อผ้าบางเบาที่สั้นและเว้าลึกจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน
แล้วแบบนี้เธอจะกล้าใส่มันได้ยังไง ถึงจะแต่งงานกันถูกต้องตามประเพณีแต่เธอก็ไม่กล้าพอที่จะใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นต่อหน้าเขาแบบนี้หรอกนะ