bc

You are mine คุณคือของฉัน

book_age18+
817
ติดตาม
3.2K
อ่าน
เศรษฐี
วันไนท์สแตนด์
จบสุข
เพลย์บอย
ดราม่า
ชายจีบหญิง
ใจถึง
นักสืบ
วิทยาลัย
ออฟฟิศ/ที่ทำงาน
polygamy
like
intro-logo
คำนิยม

เพราะแม่สามีวางคำขาด หากหลานชายสองคนของตระกูลไม่แต่งงาน จะไม่ยกสมบัติให้แม้แต่ชิ้นเดียว

ปนิตา สะใภ้ใหญ่เลยร้อนใจ เพราะลูกชายคนเดียวที่เป็นความหวังอย่าง ปุณณภัทร ก็ดันมาเป็นเสือผู้หญิง

และไม่คิดจะแต่งงาน

เธอจึงต้องไปขอความร่วมมือจาก ขิม ญาริน ลูกสาวของเพื่อนที่เพิ่งเรียนจบ และกำลังหางานทำเพราะต้องการใช้หนี้ไถ่ไร่ที่ไปจำนองไว้กับเจ้าหนี้นอกระบบ

หญิงสาวตอบรับข้อเสนอ

คิดว่าแต่งงานแค่ในนาม เพื่อให้ประมุขใหญ่ตายใจ แล้วหย่ากันทีหลังก็น่าจะจบ

แต่ อนิจจา...เพียงแค่เห็นหน้าปุณณภัทรครั้งแรก เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่านี่แหละ พ่อของลูก!!

เมื่อได้รับภารกิจมา หญิงสาวจึงต้องเล่นละครตบตาทุกคน จัดการพวกผู้หญิงที่มาติดพันสามีจนเข็ดขยาด

โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า จริงๆ แล้วที่ทำไปเพราะเธอกำลังหาทางมัดใจเพราะตกหลุมรักเขาแล้วจริง ๆ

ถึงเขาจะเจ้าชู้และรังเกียจเธอแค่ไหน

แต่คนอย่างขิมซะอย่าง ไม่มีวันถอดใจอยู่แล้ว

สักวันเขาต้องรักเธอให้ได้...ต้องมีสักวัน

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
บทนำ
รถหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หลังงามทรงยุโรปใจกลางไร่องุ่นเบื้องหน้า ก่อนที่ร่างบางระหงของสตรีวัยห้าสิบต้น ๆ จะก้าวลงจากรถด้วยความร้อนใจ สายตาคมกริบเหลือบมองไปที่รถอีกคันแล้วจึงหันไปถามแม่บ้านที่ออกมาต้อนรับ “ภัสสรมาแล้วเหรอ” “มาแล้วค่ะ ขึ้นไปได้สักพักแล้ว” คิ้วโก่งคู่งามขมวดเข้าหากันก่อนจะขึ้นบันไดไปยังห้องนอนปีกขวาของคฤหาสน์ก่อนจะพบกับณฤดี แม่สามีที่กำลังป่วยด้วยวัยชราจนแทบจะเดินเหินไม่ได้ “อ้าว! แม่นิดมาพอดี กำลังจะให้แม่สรโทรตามอยู่แล้วเชียว” คนที่กึ่งนอนกึ่งนั่งบนเตียงกว้างเอ่ยทักพลางผันหน้าไปยังสะใภ้หมายเลขสองที่นั่งอยู่เคียงข้าง “ต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะที่มาช้า พอดีคนงานในไร่บาดเจ็บน่ะค่ะ ก็เลยต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาล” ปณิตาตอบในขณะที่ทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง “คุณพี่ก็อายุเยอะแล้ว ทำไมไม่เรียกตาปุณกลับมาช่วยงานล่ะคะ” ภัสสร สะใภ้รองเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หากแต่ในใจกลับมีแต่ความอิจฉาริษยา “ดูอย่างตาเมธสิ ขนาดไม่ใช่หลานแท้ ๆ ของคุณแม่ ยังตรากตรำทำงานหนักทุกวันเลย” “แหม...ก็เพราะว่าไม่ใช่หลานแท้ ๆ น่ะสิ ถึงต้องพยายามหน่อยไม่เหมือนกับตาปุณ สรเคยได้ยินไหมจ๊ะ ที่เขาพูดกันว่า คนที่ใช่มักไม่ต้องพยายาม” “นี่คุณพี่!” “พอได้แล้ว แก่จนจะลงโลงอยู่แล้วก็ยังทะเลาะกันอยู่ได้” ณฤดีร้องห้ามทำให้ศรีสะใภ้ทั้งสองคนต้องเงียบปากลงในทันที “มันก็จริงอย่างที่แม่สรว่านะ ตาปุณไปเรียนต่อโทมาตั้งหลายปี ถึงเวลาที่เราจะต้องเรียกตัวกลับมาได้แล้วล่ะ เราเองก็ใช่ว่าจะแข็งแรงเหมือนตอนสาว ๆ หาใครสักคนมาช่วยดูแลไร่อีกคนก็ดีเหมือนกัน ฉันเองก็กำลังจะวางมือแล้ว” “หมายความว่ายังไงคะคุณแม่” ภัสสรตาลุกวาวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น “ฉันก็แก่มากแล้ว อีกไม่นานก็คงจะตามสามีแล้วก็ลูกไป” ใบหน้าณฤดีดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงสามีและลูกชายทั้งสองคนที่เสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุรถตกเขาเมื่อหลายปีก่อน จากการสูญเสียครั้งใหญ่ในตอนนั้น ทำให้ทุกคนต่างพากันเศร้าโศกกันไปตาม ๆ กัน แต่ก็นับได้ว่ายังโชคดีเมื่อเสร็จสิ้นจากงานศพ เธอกลับได้รับข่าวดีจากปณิตาสะใภ้ใหญ่ว่ากำลังตั้งท้องหลานชายคนแรกของตระกูล ทำให้ภัสสรนึกอิจฉาเพราะเธอไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ จึงรับเลี้ยงเมธวินจากบ้านเด็กกำพร้ามาเป็นลูกบุญธรรมดูแลกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ “ฉันว่าฉันจะวางมือให้พวกเธอดูแลไร่อมรภิรมย์แทน แต่ไอ้หลานแท้ ๆ ก็ไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านติดเรือนช่วยดูแลกิจการครอบครัว” ณฤดีบ่นถึงปุณณภัทรหลานแท้ ๆ ที่ไม่กลับมาอยู่บ้านเลยนับตั้งแต่วันที่เธอประกาศให้เมธวินเข้ามาช่วยดูแลกิจการ “คุณแม่ก็ทราบดีนี่คะว่าทำไมตาปุณถึงไม่ยอมกลับมา” ปณิตาเสริม เป็นเพราะแม่สามีเห็นคนอื่นดีกว่าหลานในไส้ของตัวเอง ปุณณภัทรจึงตัดการติดต่อ อ้างว่าจะไปเรียนต่อโทที่อังกฤษ แต่เขาก็หายไปไม่กลับมาที่ไร่อีกเลย “เพราะคุณพี่ให้ท้ายตาปุณแบบนั้นไงล่ะคะ เขาถึงยังไม่ยอมกลับมา” “มันก็เข้าทางเธอไม่ใช่เหรอ เธออยากจะให้ตาเมธเข้ามาแทนที่ตาปุณอยู่แล้วนี่” ศรีสะใภ้ทั้งสองเริ่มมีปากเสียงกันอีกครั้งจนณฤดีตั้งรีบตัดบททำให้บทสนทนาของคนทั้งคู่เงียบหายไปในทันที “ถ้าตาปุณไม่กลับมา ฉันก็จะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ตาเมธเป็นคนดูแลซะ” “คุณแม่!” ปณิตาถึงกับโอดครวญ “แต่ตาปุณเป็นลูกชายของคุณกานต์ เป็นหลานแท้ ๆ ของคุณแม่นะคะ คุณแม่จะยกทุกอย่างให้ตาเมธไม่ได้นะคะ” “งั้นก็เรียกตาปุณกลับมา ทิ้งทิฐิไว้ที่นั่นแล้วมาช่วยดูแลกิจการในไร่” ณฤดีออกคำสั่งทำให้ปณิตาถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นว่าภัสสรกำลังถือไพ่เหนือกว่า “ค่ะ เดี๋ยวจะรีบติดต่อตาปุณกลับมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” “ดี...กลับมาถึงเมื่อไหร่ก็รีบพาเขามาหาฉันที่นี่ละกัน” เมื่อทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจแล้ว ณฤดีจึงลดน้ำเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อย “แล้วก็ตามตาเมธมาหาฉันด้วย ถึงจะไม่ใช่หลานแท้ ๆ แต่ตาเมธก็ช่วยดูแลงานในไร่มาตลอด ฉันเองก็อยากจะตอบแทนเขาบ้าง” “คุณแม่จะให้อะไรตาเมธเหรอคะ” ภัสสรเอ่ยถามขึ้นทันทีเพราะคิดว่าแม่สามีจะยกที่ทางหรือกิจการให้ “ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว คิดว่าก่อนตายอยากจะเห็นหลานชายทั้งสองแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน ถ้าจะให้ดีฉันก็อยากจะอุ้มเหลนเต็มทีแล้วล่ะ ใครสร้างครอบครัวที่มั่นคง มีหลานให้ฉันก่อน ฉันก็เซ็นยกไร่อมรภิรมย์ให้คนนั้นเป็นคนดูแล” คนสูงวัยคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงชีวิตในบั้นปลายที่วาดไว้ก่อนตาย อยากจะอุ้มเหลนอีกครั้งเพื่อจะได้ไปบอกสามีบนสวรรค์ว่าเธอนั้นมีอายุยืนจนได้เห็นเหลนตัวน้อย ๆ ปณิตาดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำสั่งของแม่สามี เพราะรู้ดีว่าปุณณภัทรลูกชายนั้นค่อนข้างจะรักอิสระ แค่ได้ยินคำว่าแต่งงานเขาก็ต้องอกแตกตายก่อนจะมีลูกแน่ ๆ “แล้วเรามาดูกันนะคะ ว่าระหว่างตาเมธกับตาปุณ ใครจะได้เป็นเจ้าของไร่อมรภิรมย์” ภัสสรยักยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจก่อนจะกระแทกไหล่สะใภ้ใหญ่กลับขึ้นไปบนรถเพื่อเดินทางไปบอกข่าวดีแก่ลูกชาย ปณิตาได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองตามรถของภัสสรจนหายลับไปแล้วจึงหยิบสมาร์ตโฟนออกมาต่อสายหาลูกชายในทันที เสียงรถบนท้องถนนพร้อมใจกันบีบแตรส่งสัญญาณให้คันข้างหน้าขยับตัวออกเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเหลือง ทำให้ร่างบางระหงที่กำลังนั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างต้องสะกิดเอวบอกคนขับวัยกลางคนให้เริ่มออกตัวด้วยความร้อนใจ “เร็วกว่านี้หน่อยสิลุง” “รถลุงมันเก่าแล้ว ไวสุดก็ได้เท่านี้แหละนังหนู ถ้ารีบนักทำไมไม่มารอตั้งแต่เมื่อวานล่ะวะ” เดชา คนขับตอบกลับพร้อมด้วยเสียงหัวเราะที่ดังลั่นจนรถคันข้าง ๆ หันมามอง “แหมลุง นี่ฉันเห็นว่าลุงเป็นเจ้าประจำหรอกนะถึงได้ช่วยอุดหนุน นั่งรถลุงมาเนี่ย” “เออ เดี๋ยวตอนเย็นเลิกงาน ลุงจะมารอตั้งแต่บ่ายสามเลย” “ลุงอย่ามัวแต่พูดสิ มองทางข้างหน้าด้วย เห้ย! ลุงระวังรถกำลังเลี้ยว” หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ถึงคนขับอายุจะปาเข้าเลขหกแต่เพราะถูกลูกหลานทอดทิ้งจึงต้องฝืนสังขารมาขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างหาเลี้ยงชีพ คนที่ขี้สงสารอย่างเธอจึงต้องคอยอุดหนุนอยู่ประจำแม้จะมาถึงบริษัทช้าในบางวันก็ตาม “ถึงแล้ว” “คิดว่าจะแวะเสียกลางทางซะอีก” หญิงสาวกระโดดลงจากรถพร้อมกับยื่นธนบัตรเป็นค่าตอบแทนเกินจำนวนเหมือนเช่นทุกครั้ง “ตอนเย็น ลุงอย่าลืมมารอหนูตอนบ่ายสามล่ะ เดี๋ยวหนูให้ทิป” “จัดไป” อีกฝ่ายรับหมวกกันน็อคคืนแล้วโบกมือให้ลูกค้าเจ้าประจำก่อนจะขับรถออกไป “ตายแล้ว!” หญิงสาวตาเบิกกว้าง เมื่อก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วเห็นเวลาที่เลยมาเกือบจะครึ่งชั่วโมง จึงรีบหยิบกระเป๋าเอกสารวิ่งเข้าไปในลิฟต์ทันที เสียงประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างบางระหงสวมเสื้อแขนยาวสีครีมกับกางเกงขายาวสีดำที่เดินก้มหน้าเข้ามาภายในออฟฟิศ มือเรียวกระพุ่มมือไหว้ทักทายเพื่อนร่วมงานจนกระทั่งหันไปสะดุดเข้ากับสายตาของหัวหน้า “มาสายอีกแล้วสินะยัยขิม” เสียงนวิยาหัวหน้าวัยสามสิบต้น ๆ ค้อนขวับผ่านแว่นสายตาเลนส์ใสที่สวมติดตัว “ขอโทษค่ะพี่วิ วันนี้รถติดมากเลยค่ะ” “พี่ก็เห็นรถมันติดทุกวันน่ะแหละ” อีกฝ่ายว่าพลางหยิบเอกสารกองโตวางไว้บนโต๊ะ ทำให้คนที่ยังหอบเหนื่อยถึงกับตาเบิกกว้างขึ้นมาอีกครั้ง “อะไรกันคะเนี่ย” “ก็งานที่เราต้องทำส่งภายในวันนี้ไงล่ะ” นวิยาคลี่ยิ้มพร้อมกับตบมือลงบนกองเอกสารอีกครั้ง “พี่ช่วยทำไปบ้างแล้ว แต่เดี๋ยวต้องไปเข้าประชุมต่อ ฝากเราด้วยนะ” “ค่ะพี่วิ” หญิงสาวคำสั่งก่อนจะทรุดกายนั่งลงเพื่อสะสางงานตรงหน้าให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยงแต่เธอก็ยังคงจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์จนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็น พนักงานคนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน “ทำโอเหรอขิม” เสียงลดา หนึ่งในเพื่อนร่วมงานเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังนั่งทำงานต่อ “เปล่าหรอกค่ะ แค่จะอยู่ทำงานต่อให้เสร็จ” “ให้พี่ช่วยไหม” ลดาถามต่อ “ไม่เป็นไรค่ะใกล้จะเสร็จแล้ว พี่กลับก่อนได้เลย” “งั้นสู้ ๆ นะ” อีกฝ่ายให้กำลังใจก่อนจะเดินตามคนอื่น ๆ ออกไปจนทั้งออฟฟิศเหลือเธอแค่คนเดียว ญารินเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วก้มลงจัดการกับเอกสารตรงหน้าต่ออย่างไม่มีทางเลือก เข้าใจดีว่าเธอเป็นนักศึกษาจบใหม่ที่ได้ทุนเรียนฟรีจนจบแต่ก็ต้องเข้ามาทำงานในบริษัทเครืออมรภิรมย์ด้วยเงินเดือนที่เริ่มต้นแค่หมื่นห้าเพื่อแลกกับค่าเทอมที่เธอใช้จ่ายไป ด้วยเหตุนี้พนักงานคนอื่น ๆ จึงมักจะสั่งงานเธอเยี่ยงทาส แม้ปากจะบอกว่าเห็นใจแต่ลึก ๆ เธอรู้ดีว่าไม่มีใครรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เลยสักคน “เสร็จเสียที เมื่อจะแย่อยู่แล้ว” ในที่สุดหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ถูกปิดลง ถึงจะรู้ดีว่าถูกรับน้องเพราะเธอเพิ่งเริ่มทำงานที่นี่ได้เพียงแค่เดือนกว่า ๆ เท่านั้น ไม่แปลกที่จะโดนณิชามอบหมายงานใหญ่ให้แบบนี้อยู่บ่อยครั้ง “มาแล้วเหรอ คิดว่ากลับไปแล้วเสียอีก” เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีที่เห็นหญิงสาวลงมาจากตึก ทำให้ญารินตาเบิกกว้างด้วยความตกใจที่เห็นมอเตอร์ไซค์รับจ้างเจ้าประจำกำลังนั่งคร่อมอยู่บนรถเพื่อเฝ้ารอเธอ “ลุง! ตายจริง หนูขอโทษ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้เป็นการใหญ่ด้วยความรู้สึกผิด “หนูไม่คิดว่าว่าวันนี้งานจะเยอะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ” “ไม่เป็นไร คงจะเหนื่อยแย่เลยล่ะสิ ขึ้นรถเถอะ” คนขับยิ้มกว้างพลางส่งหมวกนิรภัยให้เหมือนทุกครั้ง ญารินได้แต่ยิ้มกว้างด้วยความปลื้มปริ่มแกมรู้สึกผิดที่เดชายังคงมารับมาส่งเธอเหมือนลูกเหมือนหลานตั้งแต่ฝึกงานจนกระทั่งเรียนจบ เมื่อมาถึงหน้าหอพักเอจึงจ่ายค่าโดยสารให้ด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าอีกครั้ง “ไม่ต้องให้ลุงหรอก เมื่อเช้าหนูก็ให้มาตั้งเยอะแล้ว” “รับไปเถอะค่ะ ถือเสียว่าเป็นค่ามารอหนู” หญิงสาวพยายามยัดเงินใส่ในฝ่ามือที่หยาบกระด้างนั้นก่อนจะโบกมือลาแล้วหมุนตัวกลับขึ้นไปบนห้อง ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ร่างบางก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่มของตัวเองอย่างหมดเรี่ยวแรง รู้สึกเหมือนถูกสูบพลังจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับกาย “เหนื่อยจัง” ญารินบ่นพึมพำพลางปิดตาลงแต่ทว่าเสียงสมาร์ตโฟน ในกระเป๋าก็ร้องดังขึ้นมาเสียก่อน “แม่...” หญิงสาวอ่านชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ รีบเด้งตัวลุกนั่งแล้วกดรับสายในทันที “กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลยค่ะแม่” (แม่เองก็คิดถึง...กินข้าวกินปลาหรือยัง) เสียงปลายสายตอบรับกลับมาพร้อมกับคำถาม ทำให้ญารินต้องโป้ปดกลับไปทั้งที่เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า “เพิ่งทานเสร็จค่ะ แม่ล่ะคะ” (แม่กินแล้ว...แค่ก ๆ ๆ) เสียงปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจเพราะเสียงไอของคนข้าง ๆ ดังแทรกขึ้นมา “พ่ออาการกำเริบอีกแล้วเหรอคะแม่” ญารินเอ่ยถาม รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนสถานที่สนทนาเพื่อไม่ให้เธอได้ยินเสียงบิดา (ไม่มีอะไรหรอก มันก็ไอแบบนี้ทุกวันนั่นแหละ) (ญาติของคุณมาโนชใช่ไหมคะ) เสียงพยาบาลเอ่ยเรียกมาตามปลายสายก่อนที่นวลจันทร์จะรีบวางสายไป ถึงตอนนั้นมันก็ทำให้ญารินตระหนักได้ในทันทีว่าบิดาอาการกำเริบจนต้องหามส่งโรงพยาบาล และที่นวลจันทร์โทรมาก็คงจะขอเงินค่ารถเดินทางกลับอย่างแน่นอน “เหลืออีกสามพันจะใช้ชีวิตถึงสิ้นเดือนไหมเนี่ย” มือเรียวยกขึ้นวางพาดบนหน้าผากด้วยความกลุ้มใจเมื่อเปิดแอปพลิเคชันของธนาคารแล้วเห็นจำนวนเงินที่โชว์หราอยู่บนนั้นก่อนจะตัดสินใจโอนเงินให้นวลจันทร์ไปสองพันบาทเหลือติดบัญชีไว้แค่พันเดียว “คงต้องกินมาม่าไปก่อน” หญิงสาวพยายามมองโลกในแง่ดี ยอมอดดีกว่าปล่อยให้พ่อกับแม่ต้องลำบาก อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว หากได้รับเงินเดือนก็คงจะพอส่งไปจ่ายค่ารักษามาโนชได้ เสียงสมาร์ตโฟนดังขึ้นอีกครั้งทำให้นิ้วเรียวที่เพิ่งจะกดออกจากแอปพลิเคชั่นธนาคารต้องกดรับสายนวลจันทร์อีกครั้ง (ขิมโอนเงินมาเหรอลูก) “ค่ะแม่ ขิมรู้นะว่าแม่อยู่โรงพยาบาล ทำไมไม่บอกขิมล่ะคะ” หญิงสาวตัดพ้อเล็ก ๆ (ก็แม่ไม่อยากให้ขิมเป็นห่วง ลำพังแค่ทำงานมันก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว) “แต่นั่นก็พ่อขิมทั้งคนนะแม่ มีอะไรแม่ต้องโทรบอกขิมนะคะ” ญารินบังคับอีกครั้งก่อนที่ปลายสายจะเงียบไปชั่วอึดใจ (พ่อเราอาการกำเริบขึ้นมาอีกแล้วน่ะสิ แต่คราวนี้ไอเป็นเลือดเลย ทางโรงพยาบาลเขาเสนอว่าต้องส่งตัวไปรักษาต่อกรุงเทพฯ เครื่องมือที่นั่นเขาพร้อมมากกว่าที่นี่) “งั้นแม่ก็มาเลยค่ะ เดี๋ยวขิมจะไปรอรับ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นในทันทีเพราะเธอเองก็ทำงานในกรุงเทพฯ อยู่แล้ว (พ่อแกไม่ยอมไปน่ะสิ บอกว่ารักษาไปก็มีแต่จะเปลืองเงิน) “งั้นเดี๋ยวขิมจะลองกลับไปคุยกับพ่อเองค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ยังไงพ่อก็ต้องหาย” ญารินให้กำลังใจนวลจันทร์ก่อนที่ปลายสายจะตัดไปเพราะเงินคงจะหมด หญิงสาวพลิกตัวฟุบหน้าลงบนที่นอนอีกครั้งอย่างคนหมดเรี่ยวแรง รู้สึกเหนื่อยล้ากับปัญหาชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เหลือเกิน หากไม่ติดว่าเธอมาเรียนที่กรุงเทพฯ ด้วยทุนการศึกษาแล้วต้องทำงานให้บริษัทในเครืออมรภิรมย์แล้วล่ะก็ เธอไม่มีทางจากบ้านมาอยู่คนเดียวแบบนี้อย่างแน่นอน

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

สวาทรักใต้เพลิงแค้น

read
14.7K
bc

สะใภ้ขัดดอก

read
39.7K
bc

เมื่อฉันแอบรักซุปตาร์นายเอกซีรีส์วาย

read
13.7K
bc

Relazione เจ้าหัวใจสายใยรัก

read
4.2K
bc

เล่ห์รักนายหัว

read
6.9K
bc

ลุ้นรักสลับใจ

read
1K
bc

หวงรักเมียเด็ก

read
1K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook