ร่างสูงหิ้วหมวกกันน็อกคู่ใจออกไปจากบ้านตอนสี่ทุ่มอย่างอารมณ์ดีจนกระทั่งสายตาหันไปสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งที่กำลังเดินสวนขึ้นมาตรงบันได
“คุณแม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“จะออกไปไหน” ปณิตาไม่ได้ตอบคำถามแต่เป็นฝ่ายเอ่ยถามกลับไป
“จะออกไปสังสรรค์หน่อยน่ะครับ”
“แต่เรากำลังจะแต่งงานแล้วนะ” ผู้เป็นแม่โอดครวญอย่างคนเหนื่อยล้าในหัวใจ
“ก็นั่นแหละครับ แต่งงานแล้วไม่รู้ว่าผมจะได้ออกไปบ่อยหรือเปล่า แล้วไหนจะต้องไปรับตำแหน่งประธานบริษัทอีก ตอนนี้ผมเหลือเวลาไม่มากแล้ว ให้ผมไปเถอะนะครับ” ชายหนุ่มกะพริบตาถี่เพื่อออดอ้อนปณิตาเหมือนเช่นทุกครั้ง
“แล้วถ้าคุณย่ารู้...”
“ผมสัญญาครับว่าถ้าแต่งงานแล้วผมจะเที่ยวให้น้อยลง” ปุณณภัทรชิ่งตอบก่อนที่ผู้เป็นแม่จะพูดจบ
“ตาปุณ...”
“ดึกแล้วคุณแม่ไปนอนเถอะครับ นอนดึกเดี๋ยวไม่สวยน้า” มือหนาบีบแก้มของมารดาอย่างรักใคร่แล้วจึงเดินออกจากบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกไม่กี่วันเขาก็ต้องกลายมาเป็นประธานบริษัทที่มีภาระอันหนักอึ้งต้องรับผิดชอบพร้อมด้วยศรีภรรยาที่ผู้เป็นแม่จัดหามาเพื่อบังหน้า ไม่รู้ว่าจะมีเวลาเที่ยวอีกเมื่อไหร่ ก่อนถึงเวลานั้นเขาขอจัดหาความสุขให้ตัวเองอีกสักนิดก่อนก็แล้วกัน
ริมฝีปากบางหยักยิ้มเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่ถูกขัดสีใหม่อีกครั้งก่อนที่เขาจะสตาร์ตเครื่องแล้วทะยานไปตามถนนคดเคี้ยวภายในไร่เพื่อไปยังสถานที่นัดหมายซึ่งเป็นผับของอาทิตย์เพื่อนสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน
“ไงว่าที่เจ้าบ่าว” เจ้าของผับเอ่ยทักเมื่อเห็นปุณณภัทรเข้ามาทรุดกายนั่งลงเคียงข้าง
“เรียกแบบนั้นอีกฉันจะไม่มาร้านแกอีก จำไว้”
“แอบไปคบหากันตอนไหนวะ เพิ่งบินกลับมาก็ประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบ ไม่เห็นพามาเปิดตัวบ้างเลย” อาทิตย์เอ่ยถามพลางโบกมือเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มให้
“เปิดตัวไม่ได้หรอก คนนี้แม่ฉันหาให้”
“อ้าว ฉันก็คิดว่าเสืออย่างแกจะถอดเล็บแล้วเสียอีก”
“ไม่มีทาง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณย่า แกคิดเหรอว่าคนอย่างฉันจะยอมแต่งงาน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหน่าย ๆ พลางหยิบเครื่องดื่มสีสวยที่อาทิตย์สั่งให้กระดกเข้าปากรวดเดียวจนหมด
“งั้นคืนนี้ก็เต็มที่เลย ถือเสียว่าเป็นการเลี้ยงฉลองสละโสด”
“เสียใจด้วยว่ะ แต่ฉันมีนัดแล้ว” ริมฝีปากบางหยักยิ้มเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างบางระหงของนางแบบสาวที่อุตส่าห์บินลัดฟ้ามาจากกรุงเทพฯ เพื่อจะร่วมเตียงกับเขาในค่ำคืนนี้
“นั่นคุณเจสสิก้า นางแบบที่แกเคยคั่วนี่” อาทิตย์ยกมือผลักไหล่กว้างของปุณณภัทรเบา ๆ เพื่อชื่นชมในความร้ายกาจที่ทำให้หญิงสาวยอมบินมาถวายตัวถึงที่ “แกนี่ร้ายจริง ๆ ”
“ขอโทษด้วยนะที่อยู่ฉลองกับแกต่อไม่ได้ เอาไว้หลังแต่งงานฉันค่อยหาเวลามาใหม่ละกัน”
“เออ เชิญแกไปขึ้นสวรรค์เถอะ ฉันไม่ขัดหรอก” อีกฝ่ายโบกมือไล่ก่อนที่ปุณณภัทรจะลุกไปเกี่ยวเอวบางของเจสสิก้าไว้แล้วจุมพิตหวานฉ่ำเป็นการทักทาย
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คุณยังสวยเหมือนเดิมเลยนะเจส”
“ปากหวานอย่างนี้ ฉันอยากจะลองชิมอย่างอื่นดูบ้างแล้วล่ะค่ะ ว่ายังหวานเหมือนเดิมหรือเปล่า” นิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากบางแล้วลากสายตาลงต่ำอย่างท้าทาย เพราะเคยนัดกินกันบ่อยครั้ง ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความปุณณภัทรก็รู้อยู่แล้วว่าหล่อนต้องการอะไร
“งั้นเราไปหาที่เงียบ ๆ ดื่มกันสองคนดีกว่าไหม”
“ดีค่ะ เจสก็รอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” เจ้าของริมฝีปากสีแดงเพลิงจูงแขนกำยำออกไปจากผับเพื่อหาสถานที่ที่จะใช้สนุกกันในค่ำคืนนี้ทันที
ญารินยังคงคิดถึงงานแต่งงานที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นาน ในระหว่างนี้เธอก็ใช้เวลาหลังเลิกงานแอบไปเข้าคอร์สเจ้าสาวเพื่อบำรุงผิวหน้าดูแลตัวเองบ้าง ถึงจะเป็นการแต่งงานที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตบตาณฤดี แต่มันก็คือความใฝ่ฝันของผู้หญิงทุกคนรวมทั้งเธอด้วย
“ขิมไปทำอะไรมา ดูสวยขึ้นนะเนี่ย” มินตราเอ่ยทักเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานเข้ามานั่งลงเคียงข้าง
“มินก็ทักเกินไป เราก็เห็นหน้ากันอยู่ทุกวันนี่”
“วันก่อนฉันผ่านไปในเมือง เจอขิมที่ร้านเสริมสวยด้วย แอบไปเสริมความงามมาล่ะสิ” ปานชีวา เพื่อนอีกคนเอ่ยทัก
“ฉันแค่ไปสปาหน้าน่ะ”
“ใกล้จะถึงเวลานัดลูกค้าไว้แล้ว จะโม้กันอีกนานไหม” เสียงเขมิกาดังขึ้นทำให้บทสนทนาสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้นเมื่อปานชีวาเป็นคนแรกที่ผละจากไปเหลือแต่มินตราและญารินเท่านั้น “เธอสองคนไม่ไปเตรียมตัวหรือไง”
“ระดับนี้แล้วไม่ต้องเตรียมหรอกค่ะ” มินตราตอบทั้งที่ยังไม่เงยหน้ามองอีกฝ่ายเพราะเธอไม่ชอบขี้หน้าเขมิกาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“ทำเป็นอวดเก่ง ถ้าพลาดขึ้นมาฉันไม่เอาเธอไว้แน่”
“ใหญ่คับฟ้าจังเลยนะคะ” มินตราสวนกลับถึงคำพูดจะดูเชือดเฉือน แต่ใบหน้านั้นกลับเปื้อนรอยยิ้มอย่างท้าทาย
“นี่เธอ...”
“เรารีบไปกันเถอะขิม ป่านนี้ลูกค้าคงจะมากันแล้ว” มินตรารีบตัดบทเมื่อเห็นเขมิกากำลังจะยกนิ้วชี้หน้าเธอ
“เดี๋ยว! ทำไมต้องไปกันสองคนด้วย ลืมไปแล้วหรือไงพนักงานหนึ่งคนต่อรถรางหนึ่งคันเท่านั้น” เขมิกาเน้นย้ำอีกครั้งทำให้มินตราต้องหยุดชะงัก
“ขิมเขาเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน คุณตฤณบอกให้ขิมไปกับฉันก่อนจนกว่าจะคล่อง”
“เกือบเดือนแล้วนะยังไม่คล่องอีกเหรอ”
“ก็พอได้บ้างแล้วค่ะ แต่ยังตื่นเต้นอยู่บ้าง” ญารินตอบอย่างเกรงๆ
“ที่ยังตื่นเต้นเพราะเธอยังไม่เคยลุยเดี่ยวน่ะสิ ถ้ายังตามตูดเพื่อนแบบนี้เมื่อไหร่เธอจะเป็นล่ะ” ดวงตาคมกริบปรายมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “เธอหรือเปล่าที่คุณเมธบอกว่าย้ายมาจากกรุงเทพฯ”
“ค่ะ"
“คงยังไม่เคยทำงานบริการสินะ ถึงได้ดูประหม่าแบบนี้”
“ยังไม่เคยค่ะ” ญารินตอบไปตามความจริง
“งั้นวันนี้ฉันจะให้เธอลุยงานคนเดียว แล้วเดี๋ยวฉันจะขึ้นรถไปดูด้วย”
“ได้ค่ะ” ครั้งนี้หญิงสาวตอบด้วยความมั่นใจ แม้มินตราจะไม่เห็นด้วยแต่เธอก็ยืนยันเสียงหนักแน่นว่าจะต้องก้าวผ่านคำสบประมาทของเขมิกาให้ได้
เมื่อถึงเวลานัด ลูกค้าที่ลงทะเบียนไว้ก็มาพร้อมเพรียงกัน ญารินจึงขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งของตัวเอง พอลูกค้าและเขมิกาขึ้นรถเธอก็เริ่มอธิบายที่มาของไร่อมรภิรมย์ทันทีตั้งแต่แรกเริ่ม ไปจนถึงไร่องุ่น ไร่ชาและโรงบ่มไวน์ โดยไม่มีขาดตกบกพร่องเลยสักนิด คนที่ตั้งใจจะขึ้นรถมาเพื่อติจึงได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งรถวนกลับมาจอดที่หน้ารีสอร์ตภูภิรมย์ตามเดิม
“เป็นยังไงบ้างขิม” มินตราและตฤณรออยู่ที่หน้าแผนกด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างกับเจ้าตัวเลยสักนิด
“ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ แต่ก็ผ่านมาได้”
“ก็งั้น ๆ แหละ ยังพูดตะกุกตะกักอยู่เลย” เขมิกาเบ้ปากเล็กน้อย ตฤณจึงรีบเข้าไปให้กำลังใจน้องใหม่ในทันที
“ไม่เห็นลูกค้ามาคอมเพลนแบบนี้แสดงว่าขิมทำได้ดีมากเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ เจอคุณรินพอดี...ขิมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยน่ะค่ะ” ญารินยิ้มตอบก่อนจะปรับน้ำเสียงลงเล็กน้อยเพื่อจะคุยธุระส่วนตัว
“มีอะไรเหรอ”
“คือ...กลางเดือนหน้า ขิมจะขอลาสักอาทิตย์ได้ไหมคะ”
“ว่าไงนะ ลาไปไหนตั้งหนึ่งอาทิตย์” เขมิกาเอ่ยแทรกขึ้นทำให้ญารินชะงักไปชั่วครู่
“เอ่อ...ขิม ขิมจะลาไปแต่งงานน่ะค่ะ”
“เธอนี่นะจะแต่งงาน” เขมิกาถามกลับด้วยความตกใจเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ
“ค่ะ คือฤกษ์แต่งมันกลางเดือนหน้าน่ะค่ะ ขิมมีความจำเป็นต้องลาจริง ๆ นะคะ”
“คุณขิมจะแต่งงานแล้วเหรอครับ” ตฤณตัวชาหนึบ แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็เท่ากับว่าเขากำลังอกหักตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ
“ค่ะ ขิมลาได้ไหมคะ คุณรินจะหักเงินเดือนขิมก็ได้ ขิมจำเป็นจริง ๆ ”
“ยังเด็กอยู่แท้ ๆ จะรีบแต่งไปไหน” เขมิกาปรายตามองอย่างเหยียด ๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะเมื่อกี้เธอบอกว่างานแต่งกลางเดือนหน้าเหรอ”
“ค่ะ”
“ตรงกับงานแต่งคุณปุณณภัทรซะด้วย ช่วงนั้นหัวหน้าระดับสูงก็คงไปร่วมงานกันหมด เหลือเพียงพนักงานระดับล่างไม่กี่คนเท่านั้น เธอเลื่อนงานแต่งของเธอไปก่อนละกัน”
“เลื่อนไม่ได้หรอกค่ะ ขิมจัดการทุกอย่างไว้แล้ว” ญารินพยายามร้องขอ เธออยากจะบอกเหลือเกินว่างานของเธอกับปุณณภัทรมันก็คืองานเดียวกันนั่นแหละ
“แล้วงานที่นี่ล่ะ”
“คุณขิมไปเถอะครับ ทางนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง” ตฤณขันอาสาหลังจากที่พยายามทำใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ขอบคุณมากเลยนะคะ” ญารินกระพุ่มมือไหว้ด้วยความดีใจ มินตราอดไม่ได้จึงเอ่ยแทรกขึ้น
“นี่สิคะ ตัวอย่างของเจ้านายที่ดี”
“เหอะ!” แล้วอย่าให้มีอะไรผิดพลาดก็แล้วกัน พวกเธอรู้ใช่ไหมว่าคุณปุณณภัทรจะมารับช่วงต่อ ถ้ามีอะไรผิดพลาดฉันจะจัดการถอนรากทั้งแผนกแน่” เจ้าของดวงตาคมกริบตวาดกร้าวอีกครั้งแล้วจึงเดินจากไป ถึงตอนนั้นมินตราจึงหันมาเอ่ยถามญารินทันทีด้วยความอยากรู้
“ว่าแล้วทำไมถึงได้สวยออร่า ราศีจับแบบนี้ ที่แท้ก็กำลังเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวนี่เอง มีแฟนแล้วก็ไม่บอก”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” อยู่ ๆ ใบหน้าหวานก็เห่อแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงงานแต่งที่กำลังจะเริ่มขึ้น แต่พอคิดถึงประโยคที่เขมิกาบอกเมื่อครู่รอยยิ้มนั้นกลับมลายหายไปในทันที
“ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้เชิญ พอดีจัดแบบเงียบ ๆ มีแค่ญาติสนิทเท่านั้นน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงเชิญก็คงจะไม่ได้ไป คุณเขมนั่นคงไม่ยอมให้ลาแน่”
“ได้ยินว่างานแต่งคุณปุณณภัทร หัวหน้าที่นี่ก็ไปกันหมดเลยเหรอ” ญารินลองเอ่ยถามดูพร้อมกับส่งสายตาไปหาตฤณอีกครั้ง แต่ทางนั้นก็เอาแต่ก้มหน้าจดจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์เหมือนกำลังเก็บซ่อนอะไรบางอย่าง มินตราจึงเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นแทน
“ก็คงงั้นแหละ เสนอหน้าทุกงาน เขาเชิญหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ทำไงดี” หญิงสาวพึมพำออกมาด้วยความวิตก ถ้าเป็นอย่างนั้นพอถึงวันงานเธอจะทำยังไงไม่ให้คนที่รีสอร์ตจำเธอได้ แค่เมธวินก็หนักพออยู่แล้ว นี่ยังมีเขมิกาเข้ามาอีกคนอีก แบบนี้ความลับที่เธอเก็บไว้คงถึงเวลาต้องแตกแน่ ๆ