ร่างบางระหงสวมชุดยูนิฟอร์มของรีสอร์ตสีแดงเลือดนกกับกระโปรงสั้นเลยเข่ากำลังตรวจนับจำนวนแขกที่ต้องการเยี่ยมชมไร่และอาณาจักรอมรภิรมย์อีกครั้งแล้วจึงหันไปกรอกรายละเอียดในระบบ
การทำงานในสัปดาห์แรกผ่านไปได้ด้วยดี โชคดีที่ปุณณภัทรเองก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาเลยนับตั้งแต่วันที่ไปหาณฤดี ญารินจึงมีโอกาสได้เรียนรู้และทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลัง
“เป็นยังไงบ้างขิม พอทำได้หรือเปล่า” มินตรา เพื่อนใหม่ที่ทำงานแผนกเดียวกันเอ่ยถามหลังจากที่สอนงานอีกฝ่ายไป ถึงจะเป็นเพิ่งทำครั้งแรกแต่ก็ดูเหมือนว่าญารินก็สามารถเรียนรู้งานได้เร็วจนอดชื่นชมเสียไม่ได้
“คิดว่าได้นะ แต่ก็ยังกลัวผิดอยู่ดี”
“ไม่เป็นไรหรอก คุณรินเขาใจดี เขาไม่ว่าหรอก ยกเว้นก็แต่...” เสียงมินตราเงียบหายไปทันทีเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างบางระหงของเขมิกาที่เดินเคียงคู่มากับเมธวิน “หน้าบานมาเชียว”
“คนนั้น...ใช่คุณเขมหรือเปล่า”
“อือ นั่นแหละ คุณเขมิกา เธอเป็นหุ้นส่วนของที่นี่น่ะ ก็เลยเข้ามาทำงานช่วยคุณเมธ” อีกฝ่ายตอบด้วยท่าทางไม่ชอบใจนัก “ตัวติดกับคุณเมธเสียยิ่งกว่าปลิง”
“ไม่เอาน่า เรารีบไปทำงานของเรากันดีกว่านะ” ญารินรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา ถึงจะเพิ่งมาทำงานที่ได้ไม่กี่วันแต่เธอก็พอจะเดาออกว่าพนักงานส่วนใหญ่ที่นี่ไม่มีใครชอบเขมิกาเลยสักคน เธอเองก็ไม่รู้สาเหตุเพราะยังไม่เคยปะหน้ากันเลยสักครั้ง
หญิงสาวละสายตาจากเขมิกาที่กำลังตามเมธวินเข้าออฟฟิศแล้วเตรียมสมุดโน้ตก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถรางไฟฟ้าเคียงข้างมินตราเพื่อพาลูกค้าไปเที่ยวชมไร่และอาณาจักรอมรภิรมย์
เพราะยังเป็นพนักงานใหม่จึงต้องเรียนรู้งานจากตฤณและมินตราก่อนที่เธอจะได้ลงสนามเอง การทำงานในช่วงแรกจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนอกจากต้องคอยหลบหน้าภัสสรที่มักจะมาหาเมธวินอยู่บ่อย ๆ เท่านั้น
“พรุ่งนี้สะดวกหรือเปล่า คุณแม่จะให้พาไปดูชุดแต่งงาน”
เสียงข้อความจากปุณณภัทรดังขึ้นในขณะที่ญารินกำลังจะเลิกงานในตอนบ่าย
“ไวจัง ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแฮะ” หญิงสาวบ่นพึมพำพร้อมกับพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
“เป็นห้าโมงเย็นได้ไหมคะ”
“ได้”
เขาตอบกลับมาแต่เพียงสั้น ๆ ญารินยังคงมีสีหน้ากังวลจนคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันมาเอ่ยถาม
“เป็นอะไรเหรอขิม”
“เอ่อ...ฉันมีธุระต้องไปทำน่ะ มันจะเป็นไปได้ไหมที่ฉันจะขอลาสักสองสามวันน่ะ” เธอหันไปขอคำปรึกษาจากมินตราเรื่องวันลาในตอนที่เธอต้องไปเข้าพิธีแต่งงาน
“ได้สิ ช่วงนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ คุณตฤณน่าจะให้ลาอยู่แล้ว”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ญารินยิ้มออกมาอย่างพอใจ อย่างน้อยก็พอจะหาเวลาปลีกตัวไปแต่งงานได้ เมื่อเลิกงานในบ่ายของอีกวัน ปุณณภัทรจึงเดินทางไปรับเธอที่บ้านตามเวลาที่นัดหมายไว้
“วันก่อนเธอบอกฉันว่าทำงานที่ไหนนะ” ปุณณภัทรเอ่ยถามในขณะที่ขับรถไปยังร้านชุดแต่งงาน
“เอ่อ...ตอนนั้นหนูทำที่บริษัทส่งออกไวน์ของอมรภิรมย์ค่ะ แต่ตอนนี้ลาออกมาทำที่ใหม่แล้ว” หญิงสาวตอบเขาไปแต่เพียงเท่านั้น
“เธอมีงานทำก็ดี เราจะได้ไม่ต้องตัวติดกันตลอด”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับแต่เพียงสั้น ๆ เมื่อเขาไม่ได้ถามอะไรต่อเธอจึงไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดออกไป เพียงไม่นานรถก็มาจอดยังที่หมายก่อนที่เธอจะพบกับปณิตาที่มารออยู่ก่อนแล้ว
“คุณแม่ฉันตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าฉันซะอีก” ปุณณภัทรกระซิบบอกเมื่อเข้ามาในร้านแล้วพบว่าผู้เป็นแม่กำลังตรวจดูชุดที่ให้ช่างตัดให้เป็นพิเศษ
“อ้าว มากันแล้วเหรอ” ปณิตาละสายตาจากชุดแล้วรีบโบกไม้โบกมือให้ญารินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เพื่อจะอวดชุดที่เธอกับณฤดีช่วยกันออกแบบ “ชุดนี้สวยไหมหนูขิม เป็นชุดเก่าของคุณย่า ท่านรักชุดนี้มากเลยนะ แต่มันอาจจะดูเชยไปป้าก็เลยให้ช่างออกแบบเป็นพิเศษต้อนรับว่าที่สะใภ้เลยน้า”
“สวยมากเลยค่ะ” หญิงสาวจ้องมองชุดเจ้าสาวแบบไทยประยุกต์สีขาวสะอาดตา ประดับด้วยสังวาลสีทองดูเข้ากันแม้มันจะเคยเป็นชุดเก่าเมื่อในอดีต แต่พอออกแบบใหม่มันกลับดูสวยงามจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยสักนิด
มือเรียวลูบไล้ไปบนเนื้อผ้าราวกับต้องมนตร์ นี่คือการแต่งงานครั้งแรกของเธอ ความฝันที่จะได้ใส่ชุดเจ้าสาวเคียงข้างกับชายหนุ่มในฝันกำลังจะเป็นจริงแล้วสินะ
ใบหน้าหวานฉาบรอยยิ้มจาง ๆ เมื่อนึกถึงความฝัน ทำให้คนที่นั่งอยู่เคียงข้าง เอียงคอถามอย่างนึกเอ็นดู
“ชอบไหมจ๊ะ”
“ชอบค่ะ มันสวยมาก แต่มันจะเหมาะกับหนูหรือเปล่าคะ” ญารินตอบอย่างเกรง ๆ แค่ดูสังวาลที่วางเคียงคู่กันเธอก็แทบจะเดาราคาของมันไม่ถูกแล้ว
“งั้นเราเข้าไปลองใส่กันดูไหม เดี๋ยวป้าเข้าไปช่วยดูให้”
“ค่ะคุณป้า” หญิงสาวยิ้มปริ่มก่อนที่ทั้งสองจะพาชุดนั้นเข้าไปในห้องแต่งตัว ญารินใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อจะสวมมันโดยที่ปณิตาและพนักงานอีกคนคอยช่วย
“สวยมากหนูขิม สวยจริง ๆ ” คนสูงวัยกว่ากล่าวชื่นชม เมื่อเห็นญารินสวมชุดนั้นได้แบบพอดีเป๊ะ
“ขอบคุณคุณป้ามากนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ่ะ ฉันเองต่างหากที่ต้องขอบคุณหนู” ปณิตาจับไหล่เล็กไว้ก่อนจะดันร่างเธอให้หันไปที่กระจก “เห็นหรือยังว่าหนูสวยแค่ไหน เพียงแต่หนูไม่เคยเห็นมันต่างหาก”
“...” หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งจ้องมองตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจกราวกับต้องมนตร์ ไม่คิดเลยว่าในชีวิตเธอจะได้ใส่ชุดที่มีราคาสูงลิ่วเพื่อแต่งงานกับผู้ชายที่ใครหลายคนหมายปอง
“ป้าเชื่อว่าสักวันความสวยและความดีของหนูจะมัดใจตาปุณได้ สิ่งที่ป้าบอกก่อนหน้าป้ายังยืนยันคำเดิมนะว่าป้าอยากได้หนูเป็นลูกสะใภ้จริง ๆ ทำให้ตาปุณหยุดให้ได้”
“...”
“เสร็จจากงานแต่งแล้ว ป้าคงต้องบินกลับอังกฤษไปสะสางงานที่นั่นสักพัก ป้ากลัวว่าถ้าไม่มีป้า จะไม่มีใครเอาตาปุณอยู่ ป้าฝากความหวังไว้กับหนูได้ใช่ไหม” ปณิตาเน้นย้ำอีกครั้งอย่างมีความหวัง
เพราะพ่อกับแม่เพิ่งจะจากไปไม่นาน มีธุรกิจมากมายที่บิดาทิ้งไว้ที่นั่น เธอจึงต้องบินไปกลับอยู่บ่อยครั้งจนกระทั่งปุณณภัทรผิดใจกับณฤดีจนต้องบินไปอยู่ที่นั่นนานถึงสองปี และตอนนี้ลูกชายกลับมาบริหารงานในไทย เธอเป็นลูกคนเดียวจึงต้องบินกลับไปรับช่วงต่อ
คิดว่าจะกลับไปขายทุกอย่างทอดตลาดเสียให้หมดแล้วกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดเสียที
“ได้ค่ะคุณป้า หนูจะพยายามนะคะ”
“มันต้องอย่างนี้สิ ลูกสะใภ้ของแม่” ปณิตาบีบแก้มเนียนใสของญารินด้วยความรักก่อนจะเปิดม่านเพื่อให้เจ้าสาวไปยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวที่เพิ่งจะแต่งตัวเสร็จเช่นกัน
วินาทีที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของปุณณภัทร หัวใจดวงน้อยของญารินเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ค่อนไปทางยุโรปสวมชุดไทยประยุกต์โทนสีเดียวกันที่ถูกตัดเย็บมาเป็นอย่างดี เขาดูดีมากแม้ว่าหน้าตากับชุดที่ใส่จะไปคนละทางก็ตาม
“ทั้งสวยทั้งหล่อ เหมาะสมกันมากเลยค่ะ” พนักงานกล่าวชื่นชมเมื่อทั้งสองยืนเคียงข้างกัน ประโยคนั้นทำให้หญิงสาวยิ่งเกิดอาการประหม่าจนรู้สึกได้ว่ามือไม้มันเกะกะไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน
“งั้นก็เอาชุดนี้ได้เลย ไม่ต้องแก้ตรงไหนแล้วล่ะจ่ะ” ปณิตาหันไปบอกพนักงานก่อนจะนึกขึ้นได้จึงหันมาถามญารินดู “หรือว่าหนูขิมจะแก้หรือเพิ่มตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่แล้วล่ะค่ะ ชุดนี้สวยที่สุดแล้ว”
“งั้นก็ตกลงตามนี้เลยนะ” คนสูงวัยกว่าบอกพนักงานอีกครั้ง ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงหมุนตัวกลับไปเปลี่ยนชุดเพื่อจะกลับมาคุยรายละเอียดวันงานต่อ
“คุณย่าเขาวางไว้กลางเดือนหน้า หนูขิมสะดวกหรือเปล่าจ๊ะ” ปณิตาเอ่ยถาม
“สะ...สะดวกค่ะ” ญารินตอบรับถึงแม้จะดูปุบปับไปหน่อยแต่เธอก็เข้าใจดีว่าเป็นงานเร่ง
“วันงาน ฉันอยากจะจัดแบบเรียบง่ายภายในครอบครัวที่บ้านอมรภิรมย์ มีแค่ญาติสองฝ่ายไม่กี่คนเพราะถึงยังไงมันก็เป็นงานแต่งที่สร้างขึ้นมาตบตาคุณย่าเท่านั้น เธอตกลงหรือเปล่า” ปุณณภัทรเน้นย้ำอย่างไม่มีเยื่อใยทำให้ญารินใจแป้วไปชั่วครู่ แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาของปณิตาเธอกลับต้องรีบตอบรับในทันที
“ได้ค่ะ หนูไม่มีปัญหาเลย” หญิงสาวตอบรับอย่างว่าง่าย ถึงไม่มีภาพถ่ายพรีเวดดิ้ง ไม่ได้จัดงานใหญ่โตหรูหรา วินาทีนี้ขอแค่ได้เป็นเจ้าสาวของปุณณภัทรให้ทำอะไรเธอก็ยอมทั้งนั้น ถึงเขาจะเย็นชาแค่ไหน อย่างน้อยเธอก็ยังมีคุณแม่ของว่าที่สามีช่วยผลักดัน ไม่เห็นต้องยอมแพ้เลยนี่
สู้เค้านะขิม ตอนหน้าจะได้แต่งงานเข้าหอแล้วน้าาา