คุณนวลแขยังยิ้มให้เธออย่างเป็นต่อ ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรสักนิด แต่พอคิดขึ้นมา ท่านจะรู้สึกผิดได้อย่างไร เพราะนี่เป็นข้อตกลงตั้งแต่แรก คนที่ต้องรู้สึกผิดต้องเป็นมารดาเลี้ยงของเธอ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ รัตนาไม่เคยรู้สึกผิดเลยสักครั้ง
“ลองกลับไปคิดดูแล้วกัน ทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของเธอนะ ส่วนอาหารการกินเธอจะทานกับตาเขมที่บ้านหรือจะมาทานที่นี่ก็ได้ ฉันให้คนซื้อของสดและทุกอย่างเอาไว้พร้อม เห็นแม่รัตบอกว่าเธอชอบทำอาหาร”
ปิ่นปัทมาเพิ่งกระจ่างแจ้งในใจก็ตอนนี้เอง เมื่อวานเธอสงสัยว่าทำไมเครื่องปรุงและวัตถุดิบถึงยังไม่ผ่านการแกะ เปิดหรืออะไรทั้งสิ้น และที่หลงคิดไปว่าเจ้าของบ้านจะทำอาหารเองนั้น เธอก็เข้าใจผิดทั้งหมด
“ปกติตาเขมจะมาทานกับฉันที่นี่ แต่ถ้าเขามีเมีย ก็อยากให้เมียเขาทำให้กิน” คุณนวลแขฉลาดเสมอ เมื่อรับรู้ว่ารัตนาโกหกลูกเลี้ยงเรื่องการมาใช้หนี้ที่นี่ ท่านเองก็ไม่ได้ปริปากบอกปิ่นปัทมาด้วยเช่นกันว่าต้องมาเป็นเมียเขมชาติจนกว่าจะตั้งท้องและคลอดลูก เมื่อนั้นถึงจะยอมปล่อยกลับไป และหมดภาระหนี้สินจริงๆ เพราะดูท่าทางแล้วปิ่นปัทมาไม่ใช่จะยอมง่ายๆ เหมือนกัน จึงต้องใช้วิธีทำให้เธอจำต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ถึงแม้จะเห็นแก่ตัวไปนิด แต่ท่านก็มีความหวังอย่างอื่นนอกเหนือจากการผลิตทายาทให้ตระกูลดังที่หวังไว้แต่คราแรก
ปิ่นปัทมาเดินกลับมาที่บ้านของเขมชาติด้วยความรู้สึกโหวงในอก ถ้าเธอตัดสินใจหนีกลับบ้าน ทุกอย่างถือว่าเป็นโมฆะแล้วที่ดินกับบ้านก็จะถูกยึด เธอกับน้องจะไปอยู่ที่ไหน ปลายรุ้งก็ยังไม่มีงานทำ
คิดได้ดังนั้น เธอจึงปลงกับชะตาชีวิตของตัวเอง อย่างน้อยการเป็นเมียเขมชาติก็คงไม่เลวร้ายเกินไปใช่ไหม บางทีเธออาจจะมีหนทางต่อไป แต่ตอนนี้หนทางของเธอช่างมืดมนเต็มที จะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ
หญิงสาวจัดการทำความสะอาดถ้วยชามที่ใส่อาหารเมื่อคืน เธอรื้อข้าวของในตู้เย็นออกมาทำอาหารกลางวัน เพราะพุดกรองเดินมาบอกว่าให้เธอทำอาหารไปให้เขมชาติในไร่ ซึ่งนั่นเป็นคำสั่งโดยตรงจากคุณนวลแข
ปิ่นปัทมามองน้ำปลาในขวดแล้วเม้มปากแน่น อยากแกล้งคนหน้านิ่งนัก แต่กลัวว่าถ้าทำแบบนั้นอาจจะถูกเขมชาติโกรธเอาได้ ดีไม่ดีเธออาจจะถูกเขาทำร้ายรุนแรง ยิ่งชอบทำหน้าไร้อารมณ์อยู่ด้วย คงไม่คิดจะสนใจไยดีความรู้สึกของใคร
เธอยืนหันรีหันขวางอยู่เพียงครู่ พุดกรองก็เป็นคนไขความกระจ่างให้เธอโดยการนำจักรยานมาให้ถึงที่ แล้วพุดกรองก็ปั่นจักรยานอีกคันนำหน้าเธอไป เพื่อวันต่อๆ ไปจะได้รู้ว่าควรไปส่งอาหารกลางวันให้เขมชาติตรงไหน ในไร่กว้างใหญ่ทำให้หญิงสาวรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ที่นี่เป็นไร่ส้ม และผลไม้อื่นอีกหลายชนิด พุดกรองเล่าว่าเขมชาติเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมไร่ และเก็บค่าชมไร่ด้วย นี่จึงเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของที่นี่ กว่าจะปั่นไปถึงที่พักของเขมชาติก็เล่นเอาหอบไปเลยทีเดียว
“ปกติคุณเขมจะขี่ม้ามาค่ะ หรือบางทีก็ขับรถจิ๊ป ถ้าปั่นจักรยานก็ต้องเหนื่อยกันหน่อย พี่ปัทพอปั่นไหวไหมคะ เพราะต้องมาส่งอาหารกลางวันให้คุณเขมทุกวัน”
“ไหวจ้ะ แล้วเมื่อก่อนใครมาส่งอาหารให้คุณเขมเหรอคะ” ปิ่นปัทมาถามอย่างสงสัย
“โอ๊ยมีสาวๆ มาส่งอาหารให้คุณเขมไม่หวาดไม่ไหวค่ะ แต่ตอนนี้คุณเขมมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้ว พี่ปัทก็ต้องทำหน้าที่นี้ค่ะ” คำพูดของพุดกรองทำให้ปิ่นปัทมาเม้มปากเข้าหากัน
“คุณเขมมีผู้หญิงเยอะเหรอจ๊ะ” อดถามเสียไม่ได้ คนหน้านิ่งแบบนั้นนะเหรอมีผู้หญิงสนใจด้วย ขนาดเข้าใกล้เธอยังสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตอันแสนเย็นชาของเขา
“ก็เยอะค่ะ แต่พี่ปัทเป็นเมียนะคะ ตอนนี้ไม่มีใครใหญ่กว่าพี่ปัทค่ะ” เพราะเธออยากให้พุดกรองเรียกเธออย่างเป็นกันเองตั้งแต่แรก และไม่อยากทำตัวให้คนอื่นหมั่นไส้ หรือข่มใคร พุดกรองจึงเรียกเธอว่าพี่ตามคำขอ
“จริงๆ พี่ก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นเมียของคุณเขมหรอกนะคะ” เธอพูดออกมาในที่สุด
“อ้าว... ทำไมล่ะคะ ใครๆ ก็อยากเป็นเมียของคุณเขมทั้งนั้น ตอนคุณท่านบอกว่าพี่ปัทคือเมีย พวกเราก็งงเหมือนกันนะคะ เพราะว่าคุณเขมน่ะไม่อยากมีเมียหรอกค่ะ” พุดกรองถามอย่างอยากรู้ เพราะเธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก จึงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ผู้หญิงหลายคนจะนักท่องเที่ยวหรือสาวๆ ในเมืองที่พาทัวร์มาลงที่ไร่ก็คิดจะอ่อยเขมชาติกันทั้งนั้น แต่เขมชาติไม่เล่นด้วย ถ้าชั่วคราวเคยเห็น แต่ถ้าถาวรนั้นไม่มีอย่างแน่นอน
“ไม่อยากมีเมียทำไมล่ะจ๊ะ” ปิ่นปัทมาถามอย่างแปลกใจ
“ก็คุณเขมเคยมีเมีย แต่เมียของแกลักลอบมีชู้ยังไงล่ะคะ” พุดกรองกระซิบกระซิบบอกปิ่นปัทมา หันซ้ายแลขวากลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าพูด ถ้าเขมชาติหรือคุณนวลแขได้ยินเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที
“จริงเหรอจ๊ะ” ปิ่นปัทมาถือว่าเป็นความรู้ใหม่ เรื่องที่เขมชาติเคยมีภรรยามาก่อน แบบนั้นเขาก็คงมีความหลังไม่ดีเรื่องภรรยาของตัวเองสินะ แบบนี้อาจจะพาลเกลียดผู้หญิงไปด้วยหรือเปล่านะ เธอแอบคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
“อะไรจริง!” เสียงเย็นชาที่เอ่ยถามทำให้ปิ่นปัทมาและพุดกรองสะดุ้งหันขวับไปมองทางต้นเสียง ร่างสูงของเขมชาติเดินเข้าไปในบ้านพัก ปิ่นปัทมาเพิ่งสังเกตสามีโดยพฤตินัยของเธออย่างจริงใจ เขามีรูปร่างสูงใหญ่ ส่วนสูงของเขากะๆ แล้วน่าจะเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ใบหน้านั้นหล่อเหลายิ่งกว่าดารานายแบบที่เธอเคยเห็นตามหน้าหนังสือเสียอีก เขมชาติเป็นคนผิวสีแทนอาจเพราะเขาทำงานกลางแจ้ง แต่นั่นกลับดูมีเสน่ห์ น่ามอง เพราะเรือนร่างกำยำบ่งบอกถึงความสมบูรณ์แข็งแรง และสมชายชาตรี เธอไม่รู้ตัวว่าเผลอมองเขาไปนานเท่าไหร่ สะดุ้งเพราะเสียงของพุดกรองที่ทำให้เธอหลุดจากภวังค์ความคิด
“พี่ปัทรีบเข้าไปเถอะค่ะ พุดขอตัวก่อนนะคะ” พุดกรองรีบบอกก่อนจะขึ้นไปนั่งบนจักรยาน แม้จะอยากเอ่ยถามรายละเอียดเรื่องที่พุดกรองพูดยังไม่ทันจบ แต่คิดว่าคงไม่ใช่ตอนนี้
“ฉันไม่ชอบผู้หญิงจุ้นจ้าน อยากรู้เรื่องคนอื่นไปทั่ว” คำพูดของเขาทำให้ปิ่นปัทมาสะดุ้ง เธอรีบหันรีหันขวาง เพื่อหาจานชามมาจัดอาหารจากปิ่นโตให้เขา แค่เพียงหันหลังไปวางปิ่นโต อ้อมแขนแข็งแรงก็โอบกอดมาทางด้านหลัง
“อุ๊ย! คุณเขม คุณจะทำอะไรคะ” ปิ่นปัทมากรีดร้องสุดเสียงเมื่อโดนอุ้มขึ้นสู่อ้อมแขน เขาอุ้มเธอเดินผ่านเข้าไปยังห้องพัก แค่เห็นเตียงหญิงสาวก็ผวาสุดตัว คิดถึงเรื่องเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาก็ยังเจ็บไม่หาย แม้จะมีความรู้สึกแปลกใหม่หรือมีความสุขอยู่บ้าง แต่ความเจ็บนั้นมากกว่าหลายเท่านัก
“คะ... คุณถอยออกไปนะ” เธอผลักเขา แต่เหมือนผลักหินผา เขากดทับเธอเอาไว้ทั้งตัว ไม่ให้ดิ้นหนีไปไหนได้ สีหน้าของเธอทั้งหวาดหวั่นทั้งกลัวเกรงคนที่แรงเยอะกว่า
“เธอมาทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ จะดีดดิ้นทำไม” คำพูดของเขายิ่งทำให้ปิ่นปัทมาเคืองเขาหนักขึ้นไปอีก เธอไม่ใช่เขานี่นา จะได้ทำใจยอมมีอะไรด้วยได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องคิดอะไร
“ฉันไม่ได้ยินยอม คุณข่มเหงฉัน ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
“ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้” เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะไม่รู้เรื่องจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ เขาไม่ไว้ใจผู้หญิง ทุกคนเหมือนกันหมด มารยาสาไถ ชอบปั่นหัวผู้ชายเล่น พอเจอผู้ชายคนใหม่ ก็โผเข้าหา โฉบถลาบินเข้าหาไม่สนใจของเก่าที่ทิ้งอย่างไร้เยื่อใย