เป็นอีกวันหนึ่งที่หนูมิ้นมีความสุขที่สุด เพราะได้เล่นกับเพื่อนในสวนสนุก ซึ่งมีของมากมายหลากสีสัน ล่อตาล่อใจ หลังจากเล่นเสร็จผู้ปกครองทั้งสองก็พาเด็กๆ ไปเดินเล่นให้หายเหนื่อย ก่อนจะพาไปรับประทานอาหาร ตบท้ายด้วยของหวานอร่อยๆ
ซึ่งมันก็นานมากแล้วที่แม่ไม่ค่อยพาเธอออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้ นอกจากพาไปเดินที่สวนสาธารณะบ้าง เพราะมันประหยัดเงินมากกว่า และเภตราก็ต้องทำงานคนเดียวด้วย โดยมากเธอจะซื้อของเล่นเพื่อพัฒนาการตามวัยมาให้ลูกได้เล่นแก้เบื่อ นานๆ สักทีจะพาไปทะเลหรือสระว่ายน้ำบ้างตามโอกาส
แต่วันนี้กองพลออกตัวขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง แม้จะเกรงใจ แต่ชายหนุ่มบอกว่าเพื่อฉลองที่คอปเตอร์มีเพื่อนสนิทกับเขาบ้าง เพราะเด็กชายก็ไม่ค่อยได้มีเพื่อนหรือออกไปไหนมาไหนบ่อยๆ เหมือนกัน เนื่องจากเขาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว โดยมีปู่กับย่าคอปเตอร์ช่วยดูแล รวมถึงตายายก็มาเยี่ยมทุกเดือน
จาการบทสนทนาคั่นเวลาตอนเด็กๆ เล่นกัน ทำให้เภตรารู้ว่าภรรยาของเขานั้น เสียชีวิตไปตั้งแต่หลังคลอดคอปเตอร์ได้เพียงสามวัน...
“หนูมิ้นง่วง...” เด็กหญิงถูกปลุกจากการขยับของผู้เป็นแม่ ขณะที่รถมาถึงหน้าอพาร์ทเมนท์แล้ว และเภตราก็กำลังอุ้มออกมาอย่างทุลักทุเล เพราะเธอหลับมาตลอดทาง พอตื่นก็ทั้งดิ้นทั้งร้องงอแง ทั้งกระเป๋าทั้งของใช้ส่วนตัวที่นำมาจากโรงเรียนก็ต้องหอบหิ้วพะรุงพะรุง
“ถึงบ้านแล้วจ้ะ เดี๋ยวก็ได้นอนแล้ว เนี่ย...เห็นไหม ซนจนหมดเรี่ยวหมดแรงเลยเชียว”
“ให้ผมอุ้มไปส่งไหมครับเภตรา...เอ่อ ไม่ได้จะละลาบละล้วงนะครับ แต่ผมอยากช่วย” กองพลที่ช่วยเปิดประตูให้และคอยยืนอยู่ข้างๆ เสนอตัว แต่สายตาก็แอบมองไปที่ลูกชายซึ่งนั่งอยู่บนคาร์ซีทด้านข้างคนขับ ซึ่งพอโดนแอร์เย็นๆ บวกกับทั้งเหนื่อยทั้งอิ่ม ก็เลยหลับปุ๋ยไปเช่นกัน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณก้อง ฉันก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว วันนี้รบกวนคุณก้องหลายอย่างเลย” แม้จะไม่ได้สนิทกันมายาวนาน แต่หญิงสาวก็สัมผัสได้ว่ากองพลเป็นผู้ชายอบอุ่นและใจดีคนหนึ่ง เขาดูเปิดเผยและยังสุภาพมากๆ เหมือนอย่างที่ครูส้มบอกเอาไว้ไม่มีผิด
“ถ้าอย่างนั้น...ฝันดีนะครับ ค่อยเจอกันพรุ่งนี้นะคะหนูมิ้น” ชายหนุ่มยิ้ม แต่ก็ยังมองสองแม่ลูกด้วยความเป็นห่วง แล้วก็แอบหยิกแก้มสาวน้อยที่ซบอยู่บนบ่าเภตราเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
ตอนนี้หนูมิ้นน้ำตานองหน้า สะอึกสะอื้นเล่นใหญ่เล่นโต
“ขอบคุณมากๆ สำหรับทุกอย่างในวันนี้นะคะคุณก้อง ฝันดีค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณเขาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เหมือนกันด้วยความเกรงใจอันท้วมท้น
แล้วเธอก็อุ้มลูกพร้อมสัมภาระของหนูมิ้นพาเดินเข้าไปในตัวอาคาร เสียงหนูมิ้นก็ดังอ้อแอ้ขึ้นพร้อมโบกมือหยิกๆ
“บ๊าย บาย ค่ะคุณพ่อขา” พูดจบก็ซุกหน้าลงนอนหลับไปสะอื้นไปอย่างเดิม
“พี่อาร์ต...” แต่แล้วร่างเล็กก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างใหญ่ค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟาสำหรับนั่งพักในอพาร์ทเมนท์ เดินมายืนดักอยู่ตรงหน้า
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม...เดาได้ว่าคงเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้าทุกอย่างแล้วด้วย
“พี่มารอตั้งแต่เย็นแล้ว” แต่ไม่อยากรบเร้าเกินไปก็เลยไม่ได้โทร.บอก ไม่คิดว่าเธอจะกลับมามืดขนาดนี้ ตั้งแต่สี่โมงเย็น...นี่ก็เกือบสามทุ่มแล้ว เขานั่งรอด้วยความกระวนกระวายแทบอยากพังตึกให้รู้แล้วรู้รอด
“มีอะไร...คิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ”
“พี่มาหาหนูมิ้น...เมื่อกี้ ทำไมเภตราให้หนูมิ้นเรียกผู้ชายคนอื่นว่าคุณพ่อ...” เขาถามแค้นๆ ในอก เพราะตัวเองยังไม่เคยได้ยินคำนั้นจากลูกในใส้แม้แต่ครั้งเดียว
“แกเรียกของแกเอง...แล้วผู้ชายคนนั้นที่คุณว่า เขาก็เต็มใจให้เรียก” เภตรารู้สึกเครียดขึ้นสมองทันที เมื่อเห็นว่าอมันต์ไม่ยอมรามือง่ายๆ แม้จะคิดว่าเอาไว้อยู่แล้ว
แต่ไม่นึกว่าเขาจะเฝ้าเช้าแล้วยังมาเฝ้าเย็นจนดึกดื่นขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งจะแต่งงานใหม่...
“พี่ช่วย...” เขาสาวเท้าเร็วไปดักหน้าเอาไว้ เมื่อเห็นหญิงสาวอุ้มลูกพาเดินหนีตัวลิ่วๆ กระเป๋าและของเล่นก็ยังต้องหอบเอาไว้ด้วยกัน
“นี่เลิกมายุ่งกับเราสักที...น่ารำคาญ” เภตรากล่าวอย่างไม่แยแส และแสดงหน้าตาท่าทางอย่างเช่นที่พูดออกมาจริงๆ
“แม่ต๋า...หิวนม...” การวิวาทะเล็กๆ น้อยๆ ของทั้งคู่ทำให้เด็กหญิงที่กำลังงังเงียเต็มทีร้องไห้จ้า
“โอ๋ๆ ลูก...ไม่ร้องนะคะ ใกล้ถึงห้องแล้วลูก”
“หนูมิ้นหิวนมค่ะ แฉบท้องไปหมดแล้ว” ทั้งที่...เมื่อกี้เพิ่งรับประทานอาหารมาหมาดๆ แท้เชียว
หนูมิ้นเอ้ย...
“พี่แค่ขอดูลูก แล้วก็คุยธุระนิดหน่อย พรุ่งนี้คงกลับกรุงเทพฯ แต่เช้า ให้พี่ช่วยเถอะ ลูกร้องไห้ใหญ่แล้ว” เขาพูดพร้อมกับเดินเข้าไปดึงสัมภาระจากมือเธอมาถือไว้เสียเอง
แม้หญิงสาวจะไม่เต็มใจ...แต่ด้วยความที่ต้องสนใจลูกมากกว่าจึงจำยอมปล่อยเขา ตอนนี้เธอห่วงหนูมิ้นมากกว่าเพราะแกดูหงุดหงิดและมีอาการเหมือนไม่สบายตัว จึงร้องไห้โยเยไม่ยอมหยุด
“ส่งแค่หน้าห้องก็พอ” เธอบอกเสียงห้วน
“พี่ไม่มีทางทำร้ายหนูกับลูกหรอก หนูก็รู้...รีบพาลูกขึ้นไปบนห้องเถอะ ขอพี่คุยด้วยสักพักก็จะกลับ” อมันต์ว่าอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย...กว่าที่เขาจะได้พบกับเธอ
“ไปแล้วค่ะหนูมิ้น แม่พากลับห้องแล้วลูก ไม่ต้องร้องแล้วนะคะ” หญิงสาวหันไปกอดปลอบโยกแล้วโยกตัวเบาๆ พลางเดินไปที่หน้าลิฟท์โดยสาร
อมันต์จึงถือว่าเขาได้รับอนุญาตเป็นนัยๆ แล้ว แม้หญิงสาวจะไม่ได้เอ่ยปาก เขาหิ้วของตามเธอไปเงียบๆ เพราะไม่อยากทำให้แม่ลูกอ่อนขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ ยิ่งลูกกวนตัวแบบนี้ด้วย ยิ่งควรอยู่เฉยให้มากที่สุด
เมื่อถึงห้อง...เธอก็บอกให้เขานั่งรออยู่ตรงชุดรับแขกเล็กๆ ติดมุม แล้วจึงชงน้ำทิ้งไว้ ก่อนจะพาหนูมิ้นเข้าไปอาบน้ำ เพียงไม่นานก็อุ้มร่างน้อยครึ่งหลับครึ่งตื่นพาดบ่าออกมา ทั้งที่ยังมีผ้าขนหนูห่อตัวอยู่
ขี้เซาได้ใครกันนะ เจ้าตัวน้อยเนี่ย...
“แกมีไข้หรือเปล่า” ชายหนุ่มเริ่มบทสนทนาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มี...ฉันวัดไข้ให้แล้ว” เธอบอกขณะวางลูกลงนอนบนเตียง แล้วพลิกไปพลิกมาเบาๆ เพื่อเปลี่ยนใส่ชุดนอนให้
“แม่ต๋านั่นใคร” หนูมิ้นเอียงคอมองผู้มาเยือนอย่างสนใจ เธอทำตาปริบๆ ใคร่รู้เป็นนักหนา ก่อนหน้าเพราะเหนื่อยและเพลียมากจึงไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้เริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
“เอ่อ...”
“พ่อเองครับ...พ่อเป็นพ่อของหนูมิ้นนะ” เขาแนะนำตัวด้วยร้อยยิ้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยความปริ่มเปรม
“แม่ต๋า...หนูมิ้นมีคูมพ่อหลายคนได้ไหมคะ” ก็มีคุณพ่อคอปเตอร์อยู่แล้วนี่นา นี่พ่อคนไหนอีกล่ะ หนูมิ้นก็อยากมีพ่อเยอะๆ นะ สนุกดี จะได้พาไปเที่ยวบ่อยๆ สลับกัน แต่ขอมีแม่ต๋าคนเดียวก็พอ
“หนูมิ้นนอนเถอะลูก นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนนะคะ เอาค่ะ นมของหนู”
“ขอหนูต่ายด้วย จุ๊บๆ ค่ะแม่ต๋า” มือป้อมน้อยๆ คว้าเอาขวดนมมานอนดูดแล้วหลับตาพริ้ม ไม่สนใจใครจะเป็นพ่อเป็นแม่อีกแล้ว
พรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่...
เภตราก้มลงจุ๊บหน้าผากลูกรัก แล้ววางตุ๊กตากระต่ายผ้าข้างๆ ก็ห่มผ้าให้ ฮัมเพลงเบาๆ โดยใช้เวลาเพียงไม่นานหนูมิ้นก็หลับไป ดีหน่อยที่วันนี้ไม่ต้องนอนบนตัก เพราะเธอยังไม่ได้อาบน้ำและรู้สึกเหนียวเนื้อเหนียวตัวเต็มที