บทที่ 1 ตอนที่ 1
ท้องฟ้ามืดครึ้ม สายฝนสาดพรมลงมาประปราย แต่ส่อเค้าให้เห็นว่ากำลังจะสาดเทห่าใหญ่ในอีกไม่ช้า เพิ่มความวุ่นวายให้กับผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตประจำวัน ต่างก็ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาและพายุที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาในอีกไม่ช้า
“หนูมิ้น...คุณแม่มารับแล้วจ้า” คุณครูสาวยิ้มหวานให้กับผู้ปกครอง แล้วเดินไปจูงมือเด็กน้อยเจ้าของชื่อพามาส่งถึงหน้าประตูห้องเรียน
“ขอบคุณค่ะครูฟ้า” เภตรายกมือไหว้ครูประจำชั้นของลูกสาวพลางยิ้ม สายตาก็มองลูกน้อยที่กำลังยิ้มร่าเดินเข้ามากอดด้วยความรักและเอ็นดู
“ไม่เลยค่ะ เริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนๆ และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนแล้ว คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ น้องเป็นเด็กน่ารัก ฉลาดด้วยค่ะ แกแค่ต้องการเวลา เพราะที่ผ่านมาไม่เคยอยู่ห่างคุณแม่เลย” คุณครูอธิบาย แล้วส่งกระเป๋าที่ถือมาด้วยให้คุณแม่
เภตรารับไว้แล้วสะพายไว้ด้านหลัง เพื่อเตรียมความพร้อมในการเดินทางกลับบ้าน
“แม่ต๋า...” บุษบามินตรากอดแม่ของเธอเอาไว้แน่นด้วยความคิดถึง หลังจากต้องต้องแยกจากอกในช่วงกลางวัน เพราะต้องมาโรงเรียนได้สองสัปดาห์แล้ว
แรกๆ เด็กหญิงก็ร้องไห้งอแงตามประสา ด้วยตั้งแต่เกิดจนอายุได้สี่ขวบแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับแม่ต้องอยู่ห่างติดต่อกันหลายชั่วโมง จิตใจนั้นโหยหาหดหู่เป็นอย่างยิ่ง ทั้งหวาดกลัวและระแวงทุกสิ่งอย่างที่ไม่คุ้นชิน ออกมาจากอ้อมกอดของแม่แล้ว มันรู้สึกไม่อบอุ่น ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย
แต่ด้วยความเอาใจใส่อย่างดีจากคุณครูและครูพี่เลี้ยง มีของเล่นและกิจกรรมมากมายไว้หลอกล่อตามช่วงวัย รวมถึงเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน ก็พอช่วยดึงความสนใจได้อยู่บ้าง กระนั้น...ลึกๆ ก็ยังคิดถึงแต่แม่อยู่ดี เฝ้ารอคอยเวลาเมื่อไหร่แม่จะมารับ เมื่อไหร่หนอ...จะได้เห็นหน้าแม่อีกครั้ง
“ฝนจะตกแล้ว...แม่ขอพาน้องกลับบ้านก่อนนะคะคุณครู ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยดูแลลูกของแม่” เภตรายกมือไหว้อีกครั้งร่ำลาครูของลูกสาว มือหนึ่งยกร่มขึ้นมากางเพื่อกันฝน ก่อนจะใช้อีกมือยกเจ้าตัวน้อยขึ้นอุ้ม แล้วพากันเดินออกไปจากอาคารเรียนโทนสีพาสเทลน่ารักหลังนั้น
“หนูมิ้นอยากกินขนมค่ะแม่ต๋า” หนูมิ้นกอดคอแม่แล้วซบหน้าอิงแอบด้วยความคุ้นเคย ก่อนจะร้องขอด้วยน้ำเสียงออดอ้อน สองเท้าก็ขยับไกวเป็นจังหวะ ไม่ได้สนใจว่าตอนนี้ท้องฟ้ากำลังโปรยสายฝนลงมาพร่างพราว
“ถึงบ้านก่อนนะลูก วันนี้เราต้องรีบกลับเพราะฝนตก ไม่งั้นเดี๋ยวลูกไม่สบาย ต้องไปหาคุณหมออีกนะคะ” “ไม่ฉะบาย ก็ต้องไปหาคูมหมอ ต้องกินยาด้วย” เธอพูดไปตามประสา ตามประสบการณ์ที่เคยเจอ “ใช่...ถ้าไม่ชอบกินยาก็ต้องอย่าดื้อนะคะวันนี้ แม่คงพาแวะซื้อขนมไม่ได้ เราต้องรีบกลับบ้านกัน”
“ได้ค่ะ หนูมิ้นไม่ดื้อก็ได้ ถ้าไม่ดื้อก็จะไม่ป่วยใช่ไหมคะ” เธอผละออกมาแล้วส่ายหน้าเป็นการยืนยัน
“จ้าคนเก่งของแม่...” แล้วจึงหอมแก้มยุ้ยๆ นั้นด้วยความชื่นอกชื่นใจ
เป็นความเคยชิน เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกวันทุกเวลาและไม่เคยแหนงหน่าย นั่นคือการได้กอดได้จูบ ได้หอมเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดนี้ และไม่ใช่เพียงลูกหรอกที่ใจหายยามต้องห่างจาก ตัวเภตราเองก็อดที่จะโหวงในอกไม่ได้เช่นกันยามต้องพาลูกมาส่งโรงเรียน
แม้จะเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม เพราะบุษบามินตราเพิ่งจะเข้าเรียนชั้นเตรียมอนุบาล แต่ด้วยความที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพียงสองคน ทั้งคู่จึงสนิทกันมาก เสมือนเป็นเงาตามตัวของกันและกันก็ว่าได้
สองแม่ลูกเดินออกจากโรงเรียนท่ามกลางผู้ปกครองและเด็กนักเรียนอีกนับร้อย บางคนมีรถส่วนตัว บางคนก็โดยสารรถประจำทางเหมือนกับเธอ
เภตราพาลูกไปยืนรอรถที่ป้ายรถเมย์ ซึ่งยามนี้ค่อนข้างแออัดจอแจ เพราะเป็นเวลาช่วงเดินทางของหลายๆ คนเช่นเดียวกัน เธอวางลูกให้ยืนด้วยตัวเอง แล้วจึงนั่งยองลงข้างๆ เพื่อให้ร่มป้องกันเม็ดฝนที่เริ่มตกหนักลงมาให้มากที่สุด เพื่อรอรถแท็กซี่เจ้าประจำ
“หนูมิ้นยืนดีๆ นะลูก แม่จะโทร.หาลุงตาบหน่อย ยังไม่เห็นมาเลยป่านนี้แล้ว” เธอว่าขณะที่มือหนึ่งล้วงกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาคนขับแท็กซี่ ซึ่งคุ้นเคยกันดี เพราะคอยรับคอยส่งเวลาเธอกับลูกไปไหนมาไหนเป็นประจำ
“ค่า...” เด็กหญิงรับคำอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นแม่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ ก็มีแอบเอามือโผล่ออกไปนอกร่ม กวักเล่นน้ำฝนสนุกสนาน
“ลุงตาบ...ใกล้ถึงยัง ฝนกำลังตกเลยตอนนี้ รีบหน่อยนะคะ” เภตราแนบสมาร์ตโฟนกับหูแล้วพยายามฟังเสียงจากปลายสาย แต่เพราะรอบๆ ตัวเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมอึกทึกจอแจ ไม่เอื้ออำนวยต่อการสื่อสารเท่าไหร่นัก
“ว้าย!” เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของผู้คนดังขึ้นพร้อมเพรียง เมื่อฝนที่ตกโปรยปรายเกิดมีลมพายุโหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีใครทันได้ตั้งตัว
“แม่ต๋า ร่ม...” หนูมิ้นกระโดดตัวลอยเมื่อร่มในมือของมารดาหลุดปลิวลอยตามแรงลม เธอวิ่งตามไปด้วยความไม่ประสา ด้วยกลัวร่มจะหาย แล้วตัวเองกับแม่คงต้องเปียกน้ำฝน
“หนูมิ้น! อย่าไปลูก” หญิงสาวที่พวงอยู่กับการพูดคุยกับคนขับรถแท็กซี่พลันลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจว่าสมาร์ตโฟนและกระเป๋าจะหล่นร่วงจากมือ เมื่อเห็นว่าร่มกำลังปลิวไปอยู่กลางถนนที่รถกำลังสัญจรไปมา และลูกน้อยของเธอก็กำลังจะก้าวตามไปอย่างไม่ลดละ ผู้คนส่งเสียงวี๊ดว้ายอีกครั้ง เมื่อทุกสายตาหันไปให้ความสนใจที่ตัวเด็กหญิง ท่ามกลางฟ้าฝนที่โหมเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย เภตรารีบวิ่งไปหาลูกอย่างไม่คิดชีวิต ทุกอย่างรอบตัวของเธอดับสนิท ไม่เห็นอะไรนอกจากร่างเล็กป้อมที่กำลังวิ่งเหยาะแหยะตากลมตากฝน ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังอะไรทั้งสิ้น เหมือนว่ารอบๆ ตัวได้ถูกหยุดเวลาเอาไว้เสียอย่างนั้น
“หนูมิ้น!” ในที่สุดเธอก็คว้าตัวลูกสาวเอาไว้ได้ แต่...
โครม! เภตรากอดลูกน้อยเอาไว้แน่น แต่เธอไม่สามารถพาลูกหลบหลีกจากอันตรายได้ เมื่อรถคันหนึ่งแล่นมาถึงตัวพอดี ทั้งสองจึงถูกชนเข้าเต็มๆ แม้ว่ารถจะพยายามเบรกแล้วก็ตาม
แรงปะทะทำให้ร่างกลิ้งขึ้นไปบนกระโปรงหน้ารถ ก่อนจะตกร่วงลงมาบนถนนอีกครั้ง ทันทีที่รถหยุดแล้วจอดนิ่ง...
“มีคนถูกรถชน ช่วยด้วย!” เสียงตะโกนดังโหวกเหวกโวยวาย เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น หลายคนรีบวิ่งเจ้าไปดูผู้ประสบเหตุทันที รวมถึงเจ้าของรถคันนั้น...ก็เปิดประตูก้าวลงมาตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังมุงดูเหตุการณ์
“ผู้หญิงยังรู้สึกตัวอยู่นี่ รีบเรียกรถพยาบาลเร็วเข้า” ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งประคองคนเจ็บซึ่งยังกอดเด็กน้อยเอาไว้ไม่ยอมปล่อยแล้วเอ่ยปากบอกคนอื่นๆ