อมันต์ไล่อ่านผลการตรวจสารพันธุกรรมทีละบรรทัด โดยไม่ให้คลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียว หลักฐานในมือยืนยันความมั่นใจที่มีอยู่แล้วให้ยิ่งปริ่มเปรม
บุษบามินตรา...เธอเป็นลูกสาวของเขา
ก่อนหน้านี้ตอนที่เด็กหญิงประสบอุบัติเหตุและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เธอต้องได้รับการเช็กอย่างละเอียดทุกด้าน และรวมถึงผลเลือดด้วย ตอนนั้นได้ขอให้หมอตรวจดีเอ็นเอระหว่างเขากับหนูน้อย ถึงแม้ผู้เป็นแม่จะไม่ได้เซ็นยินยอมเพราะเด็กอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี เรื่องก็เลยต้องยืดเวลาออกไป กระทั่งเขาได้ให้ทนายจัดการเรื่องขอต่อศาล และเพื่อผลประโยชน์ของเด็ก เมื่อชายหนุ่มจะทำพินัยกรรมยกมรดกทั้งหมดที่เป็นชื่อเขาให้กับเธอ ศาลก็มีคำสั่งให้สามารถตรวจความเป็นผู้สืบสันดานได้
ใช้เวลานานหน่อย...แต่เขาก็อยากให้มันเป็นไปด้วยความถูกต้อง เพราะตัวเองได้ทำในสิ่งที่ผิดมหันต์มามากเหลือเกินแล้ว
และหลักฐานชิ้นนี้ มันจะทำให้หนูมิ้น...ลูกสาวของเขา มีสิทธิ์ในกองมรดกของตระกูล อย่างที่ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้ หลังจากได้พบกับเภตราอย่างเป็นทางการ และได้พูดคุยกัน แม้จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาก็เข้าใจ...สิ่งที่เขาทำกับเธอ มันน้อยไปด้วยซ้ำกับกาแฟแก้วเดียวที่ถูกสาดใส่หน้า
“แม่ต๋ามาช้าจังเยย” หนูมิ้นบ่นเมื่อเห็นหน้าแม่ กระนั้นร่างป้อมตุ้ยนุ้ยก็ยังวิ่งไปกอดผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง
“แม่เพิ่งทำงานเสร็จ ลูกค้าเขารีบก็เลยต้องใช้เวลานานหน่อย แต่แค่สามสิบนาทีเองนะคะ” เธอนั่งลงตรงหน้าลูก จูบหอมด้วยความรักใคร่
“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ครูอยู่จนถึงหกโมงเย็น...ตอนนี้เพิ่งสี่โมงเอง ถ้าคุณแม่ติดธุระก็แจ้งครูได้เลย” ครูส้มเดินออกมาจากห้องเรียนแล้วคุยกับเภตราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
พร้อมกันนั้น...ก็มีร่างสูงใหญ่เดินตามออกมาพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
“แม่ต๋า...นี่คุณพ่อค่ะ” หนูมิ้นผละจากแม่ วิ่งไปจับมือชายคนนั้นแล้วแนะนำด้วยความสนิทสนม
เภตรานิ่งอึ้งพลางยิ้มแหย อยากจะยกมือขึ้นนวดขมับด้วยความเขินอาย
“คุณพ่อกับน้องคอปเตอร์ค่ะคุณแม่ ยังไม่กลับเหมือนกันเพราะคอปเตอร์อยากอยู่เล่นกับหนูมิ้น สองคนนี้เขาสนิทกันเร็ว แล้วก็สนิทกันมากด้วยค่ะ” ครูส้มบอก
“ผมชื่อกองพลครับคุณแม่ เรียกก้องเฉยๆ ก็ได้” ชายหนุ่มเอ่ยแนะนำตัว
เขามีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ดูแข็งแรงอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ผมรองทรงเรียบร้อย เสื้อเชิ้ดสีฟ้าพับขึ้นมาถึงข้อศอกกับกางเกงสแล็กสีดำธรรมดา ส่งเสริมให้ยิ่งดูสง่าผ่าเผยได้โดยไม่ต้องประดับด้วยแบรนด์แนมใดๆ เพิ่มเติม
“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนหนูมิ้นนะคะ ฉันชื่อเภตราค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ เอ่อ...นี่จะกลับกันเลยไหมเด็กๆ” กองพลหันสายตาไปถามลูกชายของตัวเองที แล้วหันมองสาวน้อยด้วย อย่างขอความคิดเห็น
“กลับค่า”
“คอปเตอร์ก็อยากกลับบ้าน แต่ก็อยากเล่นกับหนูมิ้นด้วย พาหนู มิ้นกลับบ้านเราได้ไหมครับคุณพ่อ”
“อืม...ไม่ได้หรอก หนูมิ้นก็มีบ้านของตัวเอง เอางี้...เราไปส่งหนูมิ้นกับคุณแม่กันดีไหม คุณแม่สะดวกหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...” อันที่จริง ลุงตาบ คนขับรถแท็กซี่เจ้าประจำก็รออยู่หน้าโรงเรียนแล้ว กระนั้นเห็นท่าทีของเด็กๆ ที่ดูสนิทสนมและเหมือนจะไม่อยากจากกันก็นึกเอ็นดู ลูกสาวของเธอไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท เพราะยังเล็กมาก เด็กๆ จึงยังไม่เข้าใจกับคำว่า ‘เพื่อน’ เท่าไหร่นัก
“ผมจะพาคอปเตอร์ไปเล่นที่สวนสนุกในห้างด้วย ถ้าคุณแม่ไม่ขัดข้องเราไปด้วยกันไหมครับ แล้วค่อยแวะหาของกินก่อนกลับ” กองพลยิ้มเชื้อเชิญ
“คุณพ่อน้องคอปเตอร์ใจดีค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ครูส้มขอตัวก่อนนะคะ มีการบ้านของเด็กๆ ที่ต้องตรวจอีกหลายคนเชียว” แล้วครูส้มก็ยกมือไหว้ กล่าวลาพ่อและแม่ของเด็กในปกครองทั้งสองคน
“แม่ต๋าไปค่ะ หนูมิ้นอยากเล่น อยากเล่น อยากเล่น!” หนูมิ้นกระโดดเหยงๆ รบเร้ามารดา
“หนูมิ้น เบาๆ สิลูก เกรงใจคุณลุงเขา”
“คุณพ่อค่ะไม่ใช่คุณลุง...คอปเตอร์บอกว่าคุณพ่อของคอปเตอร์ชื่อคุณพ่อค่ะ” เด็กน้อยบอกแม่ด้วยความไสซื่อ
“ช่างแกเถอะครับ...แกอยากเรียกอะไรก็ให้แกเรียกเถอะ เด็กๆ เขายังไม่รู้เรื่องหรอกครับ”
“ขอบคุณนะคะที่เอ็นดูลูกสาวของฉัน ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ นานแล้วที่ฉันไม่ได้พาลูกไปไหนเพราะมัวแต่ทำงาน วันนี้ยังไงก็ต้องรบกวนคุณก้องด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ...เภตรา”