ตลอดเส้นทางณิชาภัทรปลอบลูกสาวให้ยอมคล้อยตามว่าเพียงตาฝาดคอยพร่ำพูดประโยคเดิม ทำให้ยิหวาและชานนท์รู้ได้ทันทีว่าณิชาภัทรบังเอิญเจอสามี ทั้งสองได้แต่สบตากันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ตกดึกก็ต้องไปดูแลงานตามปกติทั้งบ้านจึงเหลือเพียงณิชาภัทรกับน้องเกว มีเสียงรถยนต์แล่นมาจอดเทียบหน้าบ้านเดินไปใกล้หน้าต่างเปิดม่านขึ้นแอบดูก็เห็นเขาคนนั้นยืนเกาะประตูรั้วด้อมๆ มองๆ อย่างร้อนรน
“คุณแม่ขา กอดหนูหน่อย” หนูน้อยอ้อน
ณิชาภัทรหันกลับไปมองแวบเดียวก็ดึงม่านปิดลงพร้อมเดินย้อนกลับไปล้มตัวนอนบนเตียงกอดมอบความอบอุ่นให้ลูกสาว “นอนพักนะคะ พรุ่งนี้คุณแม่จะพาออกไปเดินเที่ยวข้างนอก”
“คุณพ่อไปด้วยไหมคะ”
“คุณพ่อติดงานยังไม่ว่างไปกับพวกเราค่ะ”
กลั้นใจตอบออกไปอย่างนั้นแม้จะรู้เต็มอกว่าคำพูดนั้นทำให้ลูกเสียใจแต่ก็ต้องพูดเพราะไม่อยากให้ลูกผูกพันกับเขาไปมากกว่านี้
“น้องเกวโทรหาคุณพ่อได้ไหมคะ”
“…”
“ได้ไหมคะคุณแม่”
ณิชาภัทรมองดวงตาคู่เล็กที่มีน้ำตาเอ่อคลอ ตาแดงไปหมดแล้วลูกรัก ยกปลายนิ้วเช็ดให้หนูน้อยเบาๆ จรดจมูกลงจูบแก้มเนียนใส น้องเกวต้องการความรักจากทั้งพ่อและแม่ บางทีความรักของหล่อนคนเดียวอาจจะยังไม่พอเติมเต็มให้ลูกก็ได้
“ค่ะ คุณแม่จะโทรหาคุณพ่อให้นะคะ แต่น้องเกวต้องสัญญาก่อนว่าหลังวางสายจะนอนทันที”
หนูน้อยยื่นปากแดงจิ้มลิ้มออกมาแต่ก็ยอมพยักหน้ารับมองมารดาตาแป๋ว
ณิชาภัทรจุ๊บหน้าผากลูกส่งท้ายก่อนขยับกายลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จแบตทิ้งไว้บนโซฟา นำซิมการ์ดใหม่มาใส่ก่อนเปิดเครื่องแล้วกดโทรหาเบอร์ของสามีที่แม้ไม่เซฟชื่อไว้ก็จำได้ขึ้นใจ
ลึกๆ ในใจอยากเห็นปฏิกิริยาของเขาจึงเดินไปเปิดม่านแอบดูอีกครั้ง เขายังคงตั้งหน้าตั้งตามองเข้ามาเช่นเดิมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแวบเดียวก็เฉยเก็บใส่กระเป๋า
ณิชาภัทรมองค้อนสามีจากทางไกล กดตัดสายแล้วกระหน่ำรัวโทรไปใหม่จนเขายอมกดรับสาย
‘ใคร!’
ตอบรับเสียงห้วนเหมือนไม่เต็มใจอยากรับสายเบอร์แปลกเท่าไหร่นักส่วนสายตายังคงมองเข้ามาในบ้าน
อยากเรียกหรือเข้าไปใจจะขาดแต่กลัวว่าณิชาภัทรจะไม่ได้อยู่ในนี้แล้วหน้าแตกเหมือนหลายนาทีก่อนที่เขาบุกไปบ้านพ่อแม่ของชานนท์ด้วยความเข้าใจว่าณิชาภัทรอาจพักอยู่ที่นั่น ดีที่ทางนั้นไม่โทรเรียกตำรวจมาจับเข้าคุกฐานบุกรุกไม่อย่างนั้นเขาคงแย่
‘ถ้าโทรมาแล้วไม่พูดอะไรขอวางสายนะ ไม่ว่างมาเล่นเติมคำในช่องว่าง’
“ค่ะ อยากวางก็วาง ใครจะไปห้ามได้”
ในที่สุดก็ทนเงียบต่อไปไม่ไหวประชดประชันกลับไป
‘เอ๋ย!! เอ๋ยมาเมืองไทยจริงๆ ด้วย อยู่ข้างในบ้านยิหวาใช่ไหม ตอนนี้พี่อยู่หน้าบ้านแล้วนะเอ๋ยออกมาเปิดประตูให้ได้ไหม’ ว่าพลางเขย่าประตูแรงจนเสียงดังเข้ามาถึงในบ้าน
“ไม่ค่ะ เอ๋ยกับลูกจะเข้านอนแล้ว”
‘เอ๋ยโกรธเรื่องเมื่อกี้เหรอ มันไม่ได้มีอะไรเลยพี่แค่พาลูก เอ่อ… หมายถึงลูกของนัทตี้มาคืนแล้วนั่งรอนายภูมิเป็นเพื่อนนัทตี้เท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรนอกจากนั้นเลยนะเอ๋ย’
“อย่าพูดถึงนี้อีกเพราะเอ๋ยบอกลูกว่านั่นไม่ใช่คุณธัน” ณิชาภัทรบอกอย่างเลือดเย็น ข่มใจให้หยุดสั่นแล้วชิงช่วงที่เขาอึ้งพูดต่อ “เอ๋ยจะไปบ้านของคุณตามกำหนดที่เคยบอกไว้”
‘เอ๋ยกลับเมืองไทยก่อนกำหนดทำไมไม่บอกกันบ้าง เมียกับลูกทั้งคนเอ๋ยไม่ให้พี่เป็นห่วงยังไงไหว’
“ลูกไม่ยอมนอนบอกอยากคุยกับคุณธัน ฝากกล่อมลูกด้วยนะคะ” บ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่องคุยจากนั้นก็เดินกลับมาบนเตียงส่งโทรศัพท์ให้หนูน้อยคุยกับผู้เป็นบิดาเจื้อยแจ้ว
ณิชาภัทรได้ยินทุกบทสนทนาเพราะล้มตัวนอนใกล้ลูก อีกทั้งยังได้ยินว่าก่อนวางสายเขาขอคุยกับหล่อนต่อ
“คุณพ่ออยากคุยกับคุณแม่ค่ะ” น้องเกวส่งโทรศัพท์มาให้ณิชาภัทรก็รับมา
“ดึกแล้ว เราเข้านอนกันเถอะนะคะคุณแม่ง่วงแล้ว”
พูดจบก็กดตัดสายทิ้งพร้อมกับกดปิดสวิสต์ไฟกลับมาล้มตัวนอนข้างลูก ดวงตาคู่แป๋วนั้นยังมองมาอย่างสงสัยแต่ณิชาภัทรก็ไม่เปิดโอกาสให้ลูกพูดหรือถามอะไรทั้งนั้นหลับตานอนก่อนและกอดรัดลูกปลอบให้หลับทันที
ปิ๊ก ปิ๊ก!
เสียงแตรดังขึ้นต่อมาก็เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาภายในอาณาเขตบ้านชนานนท์สร้างความสงสัยให้คุณนายเจ้าของบ้านเป็นอย่างมากเพราะเวลานี้ถือว่าดึกมากแล้วไม่น่าจะมีแขกที่ไหน
ท่านมองฐานิดาหญิงสาวใต้การปกครองของลูกชายคนรองแวบเดียวก่อนทั้งสองจะมองผ่านไปยังชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวด้วยแววตาสงสัยใคร่อยากรู้คำตอบ
สายตาของชวินทร์ยังจับจ้องยังจอทีวีใหญ่ยักษ์ มือก็โกยเอาป็อปคอร์นเข้าปากแต่พอรู้สึกแปลกเหมือนมีคนมองก็แฉลบสายตามองหญิงต่างวัยทั้งสอง
“เอ่อ… มีอะไรครับ”
“แม่สงสัยว่าใครมาบ้านเรานี่ก็สามทุ่มกว่าแล้ว”
“ข้าวหอมก็อยากรู้ด้วยค่ะว่าใครเข้ามาบ้านเราดึกป่านนี้”
ฐานิดาทำเสียงสูงอมยิ้มแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์พลางแฉลบสายตามองผู้ปกครองหนุ่มสุดหล่อ กะพริบตาปริบๆ ให้รู้ตัวว่าเขาต้องเป็นคนเสียสละออกไปหาคำตอบ
คุณขวัญชีวายิ้มอย่างมีจริตให้แนวร่วมส่วนสายตาก็ค่อนข้างแพรวพราวแบบที่คนฟังแทบอยากจะบ้า
“จะว่าน้องชายเราก็ไม่น่าจะใช่เพราะตาธันไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ตาคีย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใหญ่ ป่านนี้คงกลายเป็นชาวเกาะไปเต็มตัวแล้วมั้ง วินช่วยออกไปดูให้แม่หน่อยนะลูก”
“ผมคิดว่าคงจะเป็นนายธันมั้งครับ มันอาจคิดถึงบ้านแล้วก็ได้ ไม่มีอะไรหรอก คุณแม่ดูละครต่อเถอะครับ”
“ก็แม่อยากรู้เร็วๆ นี่ลูก”
ชวินทร์ทำหน้าบึ้ง หาข้ออ้างไม่ได้จึงยอมลุกขึ้นโดยดีแต่ก็ไม่วายเอื้อมมือคว้าข้อมือเล็กตามไปด้วย
“อุ๊ย!”
“ออกไปดูด้วยกัน”
“ข้าวหอมไม่ไป!”
“ไม่ได้!”
ทำเฉยไม่สนใจเสียงหวานร้องบอกอยากกลับไปดูละคร โตมากแล้วแต่ยังติดละครเป็นเด็กๆ ไปได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาตามใจเกินไปหรือเปล่านะหล่อนถึงได้เอาแต่ใจแบบนี้
“ฮื่อ!” งอแงเอาแต่ใจกระตุกข้อมือออกจากอุ้งมือหนา ดวงหน้างดงามงอหงิกแต่ถึงอย่างไรในสายตาของชวินทร์หล่อนก็น่ารักน่าเอ็นดูที่สุด ใจเขาสั่นจะแย่แล้วหล่อนไม่เคยรู้ตัวหรือไง
“ทำไมคุณวินไม่ไปดูคนเดียวคะข้าวหอมอยากดูละคร เมื่อกี้พระเอกกำลังจะจุ๊บนางเอกไม่เห็นหรือไง”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าพี่ก็อยากดู อย่ามางุ้งงิ้ง”
งุ้งงิ้ง
ฟังพูดเข้า ฐานิดาขำ
“อ้าว…” หลุดเสียงอุทานในวินาทีนั้น หาเรื่อง “อมยิ้มทำไมข้าวหอม มีอะไรน่าขำนักหนา”
“เปล๊า” ปฏิเสธเสียงสูงทว่ายังอมยิ้มมุมปากนึกขำที่ชายหนุ่มชอบดูละครหลังข่าวตามตนเอง
ชวินทร์ปรายสายตามองด้วยความไม่เข้าใจที่มาของรอยยิ้มซุกซนนั้น กระชับมือนุ่มแน่นขึ้นมาอีกไม่สนใจคำตอบแล้วพาเดินต่อไปยังหน้าบ้านจัดการเปิดประตูไม้ขนาดใหญ่พอแง้มๆ ส่งตัวแทนเป็นฐานิดาโผล่ศีรษะออกไปดูลาดเลาข้างนอก ส่วนตัวเขายืนซ้อนอยู่ด้านหลังหันมองออกไปนอกบ้านเช่นเดียวกันมองไปยังโรงจอดรถ
“ไม่เห็นจะมีใครสักคนเลยหรือเขาจะไปเข้าทางหลังบ้านคะ” หญิงสาวเอียงดวงหน้าหวานหยาดฟ้าขึ้นมองผู้ปกครองหนุ่ม ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งทั้งนั้นแม้ทั้งสองจะใกล้ชิดกันมากห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร