การแต่งงานทำให้องค์หญิงสบายใจขึ้น นางให้ซูเจินนำบัญชีสินเดิมออกมาตรวจสอบอีกครั้ง จากนั้นก็จดสิ่งของและทรัพย์ที่ได้เพิ่มมาจากแขกเหรื่อของท่านอ๋องที่มอบให้ ท่านอ๋องเลือกไว้เพียงของโปรดบางชิ้นที่เหลือยกให้นางทั้งหมด
“แม้เขาจะไม่ไยดีเปิ่นกง แต่ยกสมบัติให้แบบนี้ดียิ่งนัก”
“องค์หญิงจะทำเช่นใดกับของพวกนี้เพคะ”
“ขายให้หมด เราต้องการเงินเท่านั้น” หานซู่ลี่ลอบใช้วิชาพรางตัวและวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศของนางแฝงกายออกไปข้างนอก นางให้เจ้าสำนักคุ้มภัยหงส์ไฟเป็นผู้ไปขายสิ่งของมีค่าเหล่านั้นที่โรงจำนำให้
“ท่านขายเยอะขนาดนี้ ข้าเกรงจะผิดปกติ”
“เอาเถิด เจ้าก็สลับให้คนของเจ้าเข้าไปขายบ้างสิ เปิ่นกงร้อนเงินเจ้าต้องเข้าใจ”
ด้วยความเป็นเพื่อนกันมาในวัยเด็ก เจ้าสำนักหงจึงจำยอมช่วยเหลือองค์หญิงเพราะเกรงว่า นางจะถูกจับได้ รูปร่างของนางนั้น คนทั้งเมืองคงจะรู้อยู่แล้วว่า เป็นผู้ใด?
“เจ้าอย่าลืมหางานให้ข้าด้วย เหมือนเดิม งานที่มิต้องเห็นรูปร่างหรือเห็นหน้าข้า”
“เอาไว้ข้าได้งานแล้ว จะส่งพิราบไปให้ท่าน”
องค์หญิงหานซู่ลี่เตรียมที่ซ่อนเงินอย่างดี นางเจาะพื้นใต้ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ ทำช่องเปิดจากด้านใน หากไม่สังเกตให้ดีจริงๆ ย่อมดูไม่ออก นางเก็บตั๋วเงินและตำลึงทองแยกหีบกัน
องค์หญิงไปแจ้งต่อพ่อบ้านใหญ่ที่ดูแลวังว่า ต้องการเบิกเงินเบี้ยหวัดล่วงหน้าหนึ่งเดือนเพื่อนำไปซื้อเมล็ดพันธุ์ผักกับลูกเจี๊ยบมาเลี้ยงดู จากนั้นจึงเขียนจดหมายฝากไปขออนุญาตจากท่านอ๋อง
“เหตุใดองค์หญิงถึงไม่มาพบเปิ่นหวางเองเล่า?” อ๋องเก้าบ่นแค่นั้น พ่อบ้านก็รีบให้คนไปเชิญเสด็จองค์หญิงทันที
หานซู่ลี่ต้องสะกดใจตนเองให้เคลื่อนตัวอืดอาดเชื่องช้า วิชาเคลื่อนย้ายที่รวดเร็วทำให้นางเคยชินกับการเคลื่อนไหวคล้ายเหาะเหิน
“คารวะท่านอ๋อง” นางทำทีชดช้อย
“เรียกข้าว่า ท่านพี่เถิด น้องหญิง” อ๋องเก้าปรายตามองใบหน้าอวบอูมนั้น แววตานางดูอยู่ดีมีสุขจนเขารู้สึกไม่พอใจ
“เพคะ ท่านพี่”
“พ่อบ้าน เจ้าให้คนเตรียมรถม้ากับเงินให้พร้อม เปิ่นหวางจะพาพระชายาไปซื้อของที่ตลาด”
ใบหน้าขององค์หญิงดูแตกตื่น ‘จะอยากไปกับข้าด้วยเหตุใด? หรือว่า อยากจะทำให้ผู้คนเย้ยหยันว่า ข้าได้สามีหน้าตาดี จนตัวข้าน่าสมเพช’
“จะดีหรือเพคะ ชาวบ้านจะค่อนขอดเอาได้”
“สามีอยากพาภรรยาไปซื้อของ ผิดปกติที่ใดกัน?” หน้าตาของเขายังราบเรียบไม่ส่ออารมณ์ใดๆ ยากยิ่งจะเดาว่า คนผู้นี้ต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่
อ๋องเก้านึกขำในใจที่นางกลอกตาดูราวกำลังหาทางออก
“ไปกันเถิด น้องหญิง จะได้มีเวลาเลือกให้สาแก่ใจเจ้า”
องค์หญิงเคลื่อนตัวตามหลังท่านอ๋องพลางไตร่ตรองหาเหตุผล นางก็มิได้แสดงพิรุธใด ของที่เอาไปขายท่านอ๋องก็มิได้เหลือบแล ช่วงนี้นางยังมิได้รับงานนอก คิดไปคิดมา จนถึงรถม้า นางลืมตัวกำลังจะเกร็งพลังเพื่อขึ้นรถม้า
“เจ้าขึ้นไหวหรือไม่? ให้ข้าช่วยจะดีกว่า”
อ๋องเก้าแสร้งโอบช่วงเอวที่หนาใหญ่จนแขนเขาไม่รอบ เกร็งลมปราณผลักร่างของนางขึ้นไปบนรถม้าคันใหญ่ ทั้งสองต้องนั่งคนละทางเพื่อถ่วงน้ำหนัก นางนั่งชันเข่าไม่ได้ จึงต้องเหยียดขามาถึงที่นั่งฝั่งเขา ชายหนุ่มมองเห็นความอวบอ้วนของนางเป็นสิ่งน่าขบขัน ‘ตัวนางนุ่มนิ่มนัก เหมาะที่จะกอดเล่นในยามอากาศหนาว’
ครั้นคิดเช่นนั้น อ๋องเก้ากลับตกใจที่ตนคิดอยากจะกอดนาง แต่ผิวแก้มขาวผ่องจนกลายเป็นสีชมพูระเรื่อและมืออวบอูมของนางน่าลูบเล่นนัก ที่เขาพานางออกมาก็เพราะอยากรู้ว่า องค์หญิงแคว้นแพ้สงครามอย่างนางจะทำสวนผักกับเลี้ยงสัตว์ได้สักกี่วันกัน เติบโตมาในวังหลวงอย่างนั้น
ทีแรกเขาเพียงไม่อยากให้นางมายุ่งกับตนเอง จึงได้ขีดอาณาเขตให้นางไปหาเรื่องยุ่งยากทำที่หลังวัง
“ท่านอ๋อง องค์หญิงเริ่มเกณฑ์คนงานเตรียมดินปลูกผักแล้ว ทรงพาคนงานทำด้วยตนเอง เช้าจรดเย็น พะยะค่ะ” แทบไม่เชื่อว่า เรือนร่างใหญ่โตของนางคล่องแคล่วขนาดนั้น เมื่อองครักษ์รายงานกิจวัตรของนาง เขาก็นึกภาพตามแล้วอดขำไม่ได้
‘หมีขาวตัวใหญ่ปลูกผัก ทำสวน แล้วยังคิดจะเลี้ยงสัตว์ขายอีก’
องค์หญิงขอไปร้านตำราเพื่อเลือกซื้อตำราปลูกผักและเลี้ยงสัตว์หลายเล่มไปอ่านเพิ่มเติม ท่านอ๋องเห็นเช่นนั้น จึงให้ตงชางเป็นผู้ไปจ่ายเงิน
“ถ้าท่านอ๋องจ่ายเงินให้ หม่อมฉันขอเพิ่มอีกสี่ห้าเล่มนะ เพคะ” นางไร้ซึ่งความเกรงใจ รีบเลือกรีบหอบส่งให้ซูเจินอย่างรวดเร็ว
หานซู่ลี่ควักเอาโพยใบน้อยที่จดรายชื่อเมล็ดผัก และลักษณะของลูกเป็ดและลูกไก่ที่ควรเลือกซื้อ แล้วตั้งใจคัดลูกสัตว์อย่างแข็งขัน องค์หญิงทรงย่อองค์ลงนั่งยองๆมิได้ จึงได้แต่ก้มตัวลง
“ซูเจินเอาตัวนั้น....ตัวนั้น ซูเมิ่ง ตัวข้างเจ้าน่ะสวย ลักษณะดี” นางก้มชี้สั่งการไปเรื่อยๆ อ๋องเก้าเห็นนางยืนอยู่ท่าเดิมนาน จึงเดินเข้ามาใกล้
“น้องหญิง เจ้าปวดหลังหรือไม่?”
องค์หญิงเพิ่งรู้ตัว ด้านหลังนางรู้สึกชาเป็นแถบ “หม่อมฉันเป็นตะคริวแล้ว”
ท่านอ๋องหัวเราะหึๆ เอื้อมมือไปกดเส้นด้านหลังช่วยนาง พอกดไล่จากบนลงล่างครู่หนึ่ง อาการชาก็หายไป กลายเป็นอาการร้อนแปลบๆ มาตามนิ้วเรียวใหญ่นั้น
“หม่อมฉันดีขึ้นแล้ว ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
เมื่อนางได้ทุกอย่างครบตามที่เขียนมา ท่านอ๋องจึงพานางกลับ สัตว์ทั้งหมดจะถูกส่งถึงวังในเย็นวันนี้
นางขึ้นไปบนรถม้า เหงื่อไหลไคลย้อย ใบหน้าอวบอูมนั้นกลายเป็นสีแดงก่ำ
“ท่านมีพัดหรือไม่? หม่อมฉันร้อนมาก”
ท่านอ๋องเปิดหีบใต้ที่นั่งออกมา เปิดเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ให้นางซับเหงื่อและพัดแบบพับ “เจ้าดูคล้ายคนจะเป็นลม”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันอ้วนมาก หากอยู่ในที่คับแคบจะร้อนอึดอัด จึงหน้าแดงกว่าคนทั่วไป”
นางแหงนหน้าขึ้น คลี่พัดออกพัดใต้คอที่มีไขมันพอกอยู่ก้อนโต
“เจ้าจะคลายเสื้อผ้าสักหน่อยไหม? จะได้หายใจคล่องขึ้น”
ในรถม้านี้คับแคบเกินไปสำหรับคนรูปร่างอย่างนาง แม้จะเป็นรถม้าคันใหญ่กว่ารถม้าของวังอื่นมากแล้ว นางได้ยินพระสวามีกล่าวเช่นนั้นก็คิดจะโต้แย้งแต่ไม่ทันเสียแล้ว ท่านอ๋องเอื้อมแขนยาวเรียวสองข้างมาปลดสายรัดเอวนางออก เสื้อตัวนอกที่แน่นอยู่จึงคลายลง นางที่กำลังถือพัดโบกให้ตนเองอยู่ถึงกับอ้าปากค้าง อ๋องเก้ายังยื่นมือมาซับเหงื่อที่คางอวบอูมให้นางอีก
“ข้าแค่ดูแลหมีที่ตนเลี้ยงดู” ใบหน้าเรียบเฉย และกริยาที่เป็นธรรมชาติของเขา ทำเอานางพูดไม่ออก
“ดูสิ เหงื่อของเจ้าเปื้อนคอเสื้อไปหมดแล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาทำเคร่งขรึมกว่าเดิม ขณะเลื่อนผ้าเช็ดหน้าเข้าไปซับเหงื่อในคอเสื้อของนาง
“ประเดี๋ยวก่อน!”
*****************