สายวันต่อมา องค์หญิงหานซู่ลี่ก็ย้ายไปพำนักยังเรือนใหญ่ในสวนหลังจวน อ๋องเก้าเรียกว่า ตำหนักหมีขาว สร้างขึ้นเพื่อให้องค์หญิงอยู่อาศัยโดยเฉพาะ ด้านหลังเป็นพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ มีสระน้ำใหญ่อยู่ด้านหลัง ท่านอ๋องให้บริวารขนเตียงนอนใหญ่ อ่างอาบน้ำที่สั่งทำพิเศษ และโต๊ะเก้าอี้ขนาดใหญ่ไปให้นางตามที่ได้บอกไว้ ส่วนตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สองตู้นั้น เตรียมไว้ในเรือนนี้ก่อนแล้ว ที่ไม่ใช่เรือนนี้เป็นเรือนหอเพราะอยู่ห่างไกลเรือนอื่น เกรงผู้คนจะนินทา
“เปิ่นหวางเตรียมบ่าวรับใช้และนางกำนัลสำหรับงานหนักและงานครัวไว้ให้เจ้าแล้ว อาณาเขตของเจ้าคือด้านหลังนี้ทั้งหมด เพื่อความประหยัดพวกเจ้าจงปลูกผักและเลี้ยงสัตว์”
อ๋องเก้าหันไปดูสีหน้านาง เจ้าหมีขาวกลับยิ้มแย้มยินดี “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด และเลี้ยงหมูได้หรือไม่?”
ท่านอ๋องชะงักไปครู่ “หากเจ้าอยากเลี้ยงหมู จงไปทำคอกที่สุดด้านนู้น อย่าให้กลิ่นขี้หมูส่งไปถึงตำหนักของท่านแม่”
“พื้นที่นี้ทั้งหมดข้าทำแปลงผักได้ใช่หรือไม่?”
“ได้ ที่ดินส่วนนี้ข้าให้สิทธิ์เจ้า ไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาก้าวก่าย ฮ่องเต้ทรงพระราชทานข้าวสารมาให้เจ้าแล้ว เงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวเจ้า ข้าจะให้เป็นรายเดือน เงินเดือนของบ่าวไพร่และนางกำนัลไปเบิกที่พ่อบ้านได้”
องค์หญิงลอบเบ้ปาก เงินเบี้ยหวัดรายเดือนที่เขาให้นางนั้น ย่อมพอเพียงแค่ใช้ชีวิตในเรือนเท่านั้น แต่นางมีภารกิจที่บอกผู้ใดไม่ได้ ท่านอ๋องยกเรือนให้นางก็ดีแล้ว นางจะได้ใช้ที่นี่เป็นแหล่งสะสมเงินทอง มองดูป่าที่ขวางกั้นระหว่างส่วนหน้าวัง กับหลังวังแล้ว มองอย่างไรก็คงไม่มีผู้นึกออกว่า จะมีเรือนทำสวนอยู่หลังวังเช่นนี้
ท่านอ๋องเห็นอาการลิงโลดของนางแล้วก็นึกแปลกใจ ให้นางอยู่อย่างนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก เห็นท่าหมีขาวเองก็ชอบสวนหลังวัง
“หากเจ้ามีปัญหา ค่อยให้คนไปบอกข้า” อ๋องเก้าเห็นบริวารของนางจัดการบ้านเรือนเรียบร้อยแล้ว ก็กลับตำหนักของตนไป
ก่อนย้ายเรือนในยามเช้าตรู่ อ๋องเก้าพาองค์หญิงมายกน้ำชาคารวะแม่สามี พระสนมโจวอนุญาตให้นางไม่ต้องมาทำพิธีนี้ทุกเช้า
“ต่อไป เจ้าไปอยู่ตำหนักโน้นแล้ว ไกลจากที่นี่มาก ไม่ต้องทำพิธีคารวะแม่สามีทุกเช้าหรอกนะ” ความจริงในใจพระสนมโจวก็นึกเบื่อหน่ายเรื่องนี้ คราที่นางเข้าวังใหม่ๆ ก็ไม่อยากไปคารวะฮองไทเฮาและฮองเฮาเช่นกัน เมื่อตนเองไม่ชอบแล้วจะบังคับผู้อื่นทำเพื่อการใด
องค์หญิงหานซู่ลี่รีบคำนับขอบพระทัยแม่สามี ‘ข้ามีดาวโชคนำทางหรือไร จึงไม่ต้องทำเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้’
“เจ้าตัวใหญ่คงเคลื่อนไหวลำบาก กว่าจะเดินมาอีก เอาไว้วันไหนเปิ่นกงอยากพบเจ้า จะส่งคนไปตามมาเอง”
พระสนมโจวได้ยินแม่นมหลินรายงานเรื่องท่านอ๋องเก้าเข้าห้องหอกับองค์หญิงหานซู่ลี่ก็ตกพระทัย ครั้งเมื่อตบแต่งชายาเอกเฉินหนิงอวี่ และชายารองเว่ยอันฉี เขาไม่แม้แต่จะก้าวเท้าเข้าห้องหอ ปล่อยให้สองนางรอเก้อ มาจนบัดนี้ พระโอรสของนางก็ยังไม่ชายตาแลชายาคนงาม
“องค์หญิงหมีนั่นมีอะไรดี? นางรูปร่างใหญ่โตอัปลักษณ์เพียงนั้น กลับทำให้ท่านอ๋องยอมเข้าห้องหอ ซ้ำยังร่วมเตียงบรรทมได้”
“ใจเย็นเถิดเพคะ พระสนม อย่างน้อยก็ยังไม่มีผ้าพรหมจรรย์ออกมายืนยัน” แมนมหลินเลี้ยงดูอ๋องเก้ามาแต่เล็กแต่น้อย นางเองก็ไม่เชื่อว่า ท่านอ๋องจะร่วมหอกับหมีขาวตัวนั้น
“ชายาทั้งสองรู้เรื่องแล้วหรือ?”
“เพคะ”
คนภายนอกต่างเชื่อว่า พระสนมโจวเป็นผู้เห็นชอบให้โอรสตบแต่งชายาทั้งสอง แต่ความจริงแล้วนางเองก็ถูกบีบคั้น เฉินหนิงอวี่เป็นคนของฮองไทเฮา ส่งให้แต่งงานมาเพื่อสอดแนมองค์ชายเก้าที่เกิดจากพระสนมเชื้อสายราชวงศ์โจวจากแคว้นผิง ส่วนเว่ยอันฉีเป็นคนของฮองเฮาที่ส่งมาคานอำนาจกับฮองไทเฮา
พระสนมโจวทรงกล้ำกลืนรับนางทั้งสองไว้ โดยเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายเก้าในช่วงนั้น ยอมตบแต่งเพื่อมิให้สองขั้วอำนาจเกิดความคลางแคลงใจ แม้นางทั้งสองจะได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูที่รูปโฉมมิด้อย แต่องค์ชายเก้ากลับมิเคยใส่ใจ
“ท่านแม่เพคะ หม่อมฉันอยากไปตำหนักหมีขาว อยากรู้ว่า นางกล้าดีอย่างไรถึงบังคับท่านอ๋องให้เข้าหอได้” ชายาเอกเต้นเร่าๆ
“องค์หญิงเป็นพระชายาเอก เจ้าเป็นแค่ชายาเอก เจ้าควรไปคารวะน้ำชานางถึงจะถูก” ได้ยินเช่นนั้น เฉินหนิงอวี่กับเว่ยอันฉี จึงต้องถ่อสังขารเดินไกลไปถึงตำหนักหมีขาวเพื่อคารวะองค์หญิงหานซู่ลี่
เมื่อได้พบร่างสูงใหญ่ ผิวขาวจัดที่ยืนถมึงทึงต่อหน้า ชายาทั้งสองก็พูดไม่ออก แม้ตนเองจะนำเอานางกำนัลมาด้วยอีกหกคน เมื่อเทียบเหล่านางกำนัลที่เรือนร่างสูงใหญ่ขององค์หญิงแล้ว เกรงว่าจะเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยน
เฉินหนิงอวี่พระชายาเอกแสร้งทำอ่อนหวานคารวะน้ำชาองค์หญิงอย่างดี ส่วนเว่ยอันฉีเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของเฉินหนิงอวี่นางตัวแสบคนนั้น จึงจำต้องทำตาม
หานซู่ลี่ก็นำคำพูดของพระสนมโจวมาพูดต่อ นั่นคือ ไม่ต้องมาคารวะนางตอนเช้า ให้ถือว่าต่างคนต่างอยู่ หากนางอยากพบเมื่อใดจะให้คนไปตามเอง เมื่อสนมรูปงามทั้งสองเดินชดช้อยจากไป องค์หญิงก็หัวเราะคิกคักออกมา
“ท่านขำเรื่องใดหรือองค์หญิง?”
“ดูพวกนางสิ คงอยู่กับเหล่าสตรีที่ตบตีแย่งชิงผู้ชายมากเกินไป จึงหวังจะมาหาเรื่องเปิ่นกง แต่พอเห็นรูปร่างนี้เข้า สติกระเจิดกระเจิงไปเสียก่อน”
เป่ยซูเจินมองดูรูปร่างอ้วนใหญ่ขององค์หญิงแล้วอมยิ้ม “น่ารักออกเพคะ น่ากอด ดูนุ่มดี”
“ใครว่าเล่าพี่ซูเจิน? เมื่อกี้องค์หญิงทำหน้าบึ้งตึงขนาดนั้น พวกนางคงกลัวองค์หญิงจะกระทืบเอา”
“หึๆ ดีแล้ว พวกนางจะได้ไม่มายุ่งกับเปิ่นกง ภารกิจเราจะได้เริ่มต้นสักที” องค์หญิงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้ากรุยกรายเป็นทะมัดทะแมง “พวกเราเป็นคนแคว้นยากจน ได้เวลาทำมาหากินเอาเงินไปฟื้นฟูบ้านเมืองแล้ว”
องค์หญิงสั่งบ่าวไพร่ที่ทำงานหนักไปช่วยกันเตรียมพื้นที่ปลูกผัก “เปิ่นกงกินจุขนาดนี้ ห้องครัววังคงส่งอาหารมาให้ไม่พอเป็นแน่”
“คอกสัตว์เล่าเพคะ?”
“ไปหาซื้อลูกสัตว์ให้ได้ก่อน ค่อยวางแผนทำคอกเถิด”
บรรดาคนรับใช้ชายและนางกำนัลในวังที่รับมาใหม่มีคนที่มาจากชนบทหลายคนพวกนางและพวกเขาจึงช่วยองค์หญิงเตรียมดินปลูกผักได้อย่างสบาย
“รายได้ของเปิ่นกงสองทางคงไม่พอ ได้เวลาออกไปรับจ้างส่งของอีกแล้ว”
“ให้หม่อมฉันออกไปช่วยไหมเพคะ?” เป่ยซูเจินเองก็มีวิชาพอตัว ส่วนเป่ยซูเมิ่งนั้นเก่งเพียงงานบ้านงานครัว
“เปิ่นกงไปคนเดียวดีกว่า ให้เจ้าสองคนช่วยดูแลคนที่นี่ จัดการสวนผักและคอกสัตว์ของเราให้เรียบร้อย อีกอย่างพวกเจ้าจะได้คอยรับหน้า หากมีคนบุกเข้ามาถึงตำหนัก”
*******************