[SHOW] EP9

3012 คำ
“เขาให้รอที่นี้หรอ?” ผมหันไปถามปลายเมื่อเราทั้งคู่เดินมาจนถึงตึกของฝั่งอินเตอร์ เพราะปลายต้องมายืมรายงานเชิงวิชาการของคณะกับรุ่นพี่ที่ฝั่งนี้ “ใช่ พี่เขาไลน์มาบอกว่าเดี๋ยวจะให้รุ่นน้องเอาลงมาให้ อีกเดี๋ยวก็คงมา” รอไม่ถึง10นาที รุ่นน้องที่ปลายหมายถึงก็ยื่นรายงานเล่มหนามาให้ ยังไม่ทันที่ปลายจะได้ขอบคุณ คนๆนั้นก็ชิ่งหันหลังเดินหนีกลับขึ้นตึก ผมจะไม่สนใจคนที่ไม่มีมารยาทแบบนั้นเลย ถ้าหากเขาคนไม่ใช่คนที่ผมสงสัยไว้ “ปลาย เดี๋ยวนายไปหาพี่แทนก่อนเลยนะ เรามีเรื่องจะต้องไปทำก่อน” ผมปล่อยปลายไว้ใต้ตึกคนเดียว แล้ววิ่งตามหลังพีมเข้ามาในอาคาร พีมเองก็คงรู้ตัวว่าผมตามมา เขาเลยยืนล้วงกระเป๋ารอผมอยู่หน้าระเบียงชั้น2ของตึก “ตามมาทำไม ถ้าจำไม่ผิดคุณน่ะน้องพี่โชว์ใช่ไหม?” “ที่ถามมาแน่ใจนะว่าจำไม่ได้จริงๆ” ผมเล่นลิ้นใช้คำถามของพีมถามเขากลับ “หึ! คุณคิดว่าคุณสำคัญจนผมต้องจดจำสินะ” พีมเหยียดยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่โคตรจะน่าหมั่นไส้และเหย่อหยิ่งที่สุด “เราก็ไม่ได้คิดว่าเราสำคัญกับใครหรอก แต่พี่โชว์อ่ะสำคัญกับใครบางคนแถวนี้แน่ๆ” พอดึงชื่อพี่โชว์เข้ามาเกี่ยว พีมก็ให้ความสนใจผมมากขึ้นกว่าเดิม “ถ้าจะตามมาแค่คุยโวว่าพี่โชว์ให้ความสำคัญกับคุณมากขนาดไหน ก็หันหลังเดินลงบันไดไปเลย ผมไม่อยากฟัง” “เรื่องนั้นเราไม่พูดหรอก เพราะใครๆก็คงเห็นอยู่แล้ว” พีมไม่ต่อปากต่อคำกับผมต่อ ใบหน้าจิ้มลิ้มบึงตึงขึ้นในทันที “นายน่ะ คือคนที่เอาจดหมายเปื้อนเลือดไปวางที่หน้าห้องเราใช่ไหม?” คิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อผมจี้คำถามใส่ “จดหมายเขียนขู่ให้เลิกยุ่งกับพี่โชว์ แล้วก็มีรอยเลือดเปื้อนมา มันเป็นของนายใช่ไหม?” ปากบางที่แสนจะจิ้มลิ้มแสยะยิ้มออกมาเมื่อฟังจบ เสียงใสของพีมหัวเราะในลำคอ เขาปรายสายตามองมาที่ผม ก่อนที่จะขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ในระยะประชิด “อาจจะใช่ และอาจจะไม่ใช่” ใบหน้าที่จัดว่าน่ารักจัดของพีมยื่นเข้ามากระซิบข้างหูผม “คุณคิดหรอว่าการที่คุณสนิทกับพี่โชว์ แล้วพี่โชว์ให้ความสำคัญกับคุณเป็นพิเศษ มันจะมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่ชอบคุณ บางที..อาจจะเป็นใครที่ใกล้ตัวคุณก็ได้นะ” “….” “ถ้าผมจะลงมือ แค่รอยเลือดมันน้อยไปที่จะให้ใครๆกลัว ผมไม่ทำอะไรที่มันง่ายแบบนั้นหรอกนะ” เสียงกระซิบของพีมมันเยือกเย็นและดำดิ่งซะผมรู้สึกว่าขนตามร่างกายลุกชัน พีมทิ้งรอยยิ้มเหยียดเอาไว้ให้ผมจดจำ ก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าไปในห้องเรียน “พี่โชว์ พี่ยังคุยกับผู้หญิงคณะแพทย์คนนั้นอยู่ปะ?” “คนที่ตบดรีมอะหรอ?” ผมพยักหน้าตอบ “ตั้งแต่โดนตบไปวันนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกนะ” “พี่ตบผู้หญิงหรอ!?” ผมถามด้วยความตกใจ กับการใช้กำลังทำร้ายผู้หญิงของพี่โชว์ “ไม่ได้เรียกตบ แค่ทำให้มีรอยเฉยๆ” พี่โชว์ตอบกลับมาโดยที่ไม่ละสายตาไปจากถนนตรงหน้า “เขาเป็นผู้หญิงนะพี่!” “แล้วยังไง ผู้หญิงมีสิทธิ์ทำร้ายผู้ชาย แต่ผู้ชายห้ามทำร้ายผู้หญิงแบบนั้นน่ะหรอ สำหรับพี่ไม่ว่าเพศไหนก็ไม่สำคัญ ถ้ามาทำดรีมเจ็บ พี่ก็ไม่เอาไว้” พี่โชว์จริงจังเกินกว่าที่ผมจะซักถามเรื่องผู้หญิงคนนั้นต่อ “แล้วกับพีมละ? ผู้ชายคนนั้นอะ?” “ก็ไม่มีอะไร แค่เคยคุยกันเฉยๆ ก็แค่นั้น” “แต่สิ่งที่ผมได้ยินวันนั้น มันไม่ได้หมายถึงแค่คุยเฉยๆนะพี่” “แค่ยืนคุยกัน ยังไม่ถึงกับนอนคุย” พี่โชว์ตอบมาอย่างหน้าตาย คำตอบพี่โชว์มันต้องมีให้คิดลงต่ำกว่าใต้สะดือเสมอสินะ “ทะลึ่งอีกแล้วว่ะพี่โชว์” “ถ้าเราไม่อธิบายปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด คิดไปคนเดียวเรื่อยๆ มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะเชื่อพี่ ตั้งแต่ดรีมย้ายลงมาอยู่ที่นี้ พี่ไม่ได้ไปนอนคุยกับใครแน่นอน ดรีมเองก็น่าจะรู้” “แปลว่านอกจากสองคนนี้ พี่ก็ไม่ได้คุยกับใครอีกแล้วใช่ปะใช่ช่วงนี้?” พี่โชว์พยักหน้าผมเลยถามคำถามต่อไปก่อนที่รถจะเข้าไปจอดใต้หอ “งั้นถามอีกอย่างนะ พี่เป็นไบใช่ปะ?” ไบที่ผมพูดก็คือ ไบเซ็กชวล ที่ชอบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายนั่นแหล่ะ “ขึ้นไปห้องพี่ไหมละ? จะได้รู้ว่าพี่เป็นหรือไม่เป็น” “มะ…ไม่เว้ย จะกลับไปนอนแล้ว” ผมเปิดประตูรถแล้วรีบชิ่งขึ้นมาที่ห้องก่อน จดหมายซองสีแดงมันหายไปหลายวัน แต่วันนี้มันกลับมาแปะใว้ที่หน้าห้องผมเหมือนเดิม ผมแกะมันออกแล้วซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนที่พี่โชว์จะเดินตามมาเจอ แล้วรีบเดินเข้ามาอ่านในห้อง เนื้อหาในจดหมายเขียนขู่เหมือนเดิม และบอกให้ผมอย่าตามหาเขา เขาเขียนมาราวกับว่าเขาเห็นและจับตาดูผมอยู่ ผมกลับมาทบทวนกับตัวเองอีกครั้งกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับผม คำพูดของพีมวันนี้ทำให้ผมตัดเขาออกจากตัวเลือกไปในทันที ไม่ใช่เพราะผมเชื่อคนง่าย แต่เซ้นผมมันบอกว่าถ้าเป็นพีมจริงๆ เขาสามารถทำมันได้ร้ายกว่านี้และดูจากนิสัยแล้ว พีมไม่ใช่คนที่จะมาลอบกัด เขาน่าจะชอบอะไรที่มันตรงๆและชัดเจน “คนใกล้ตัวหรอ...?” แล้วคนใกล้ตัวผมมีใครบ้าง พี่แทนหรอ? ก็ไม่น่าใช่ เป็นปลายยิ่งไม่มีทางใหญ่ เพราะฝ่ายนั้นดูจะอะไรๆกับพี่แทนอยู่ พับผ่าให้ตายสิ! คิดไม่ออก! @โรงอาหาร “โชว์ไม่ได้มาด้วยหรอ?” “ถ้ามาพี่ก็คงเห็นไปแล้ว” พี่เวย์ยิ้มออกมาอย่างไม่ถือสากับคำพูดผม เขานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับผม เห็นเป็นพี่เวย์ผมเลยปล่อยให้นั่ง เพราะเขาไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบอะไร แต่ยังไม่ทันจะตักข้าวเข้าปาก น้องชายของเขาก็เดินเข้ามาสมทบ “ถ้าพี่มาคนเดียวผมจะไม่ว่าอะไรนะ แต่ถ้าน้องชายพี่จะมานั่งด้วยรบกวนย้ายไปโต๊ะอื่นครับ” เดย์ได้ยินที่ผมพูดกับพี่เวย์เขาก็เดินอ้อมโต๊ะมานั่งข้างๆผมทันที พร้อมกับยกแขนมาโอบไหล่ผมไว้หลวมๆ “อะไรกันแตะแค่นี้ก็ไม่ได้ ทีกับไอ้พี่โชว์ยังนั่งตักกันไม่ปล่อย” เดย์แขวะผมกับเรื่องในวันนั้นใต้หอ เมื่อผมสะบัดมือเขาให้หล่นพ้นไปจากร่างกาย “มีนั่งตักกันด้วยหรอ?” เวย์ทวนคำพูดของเดย์ใหม่อีกครั้ง “ใช่ ไม่ได้เล่าให้ฟังหรอ?” เดย์หันกลับไปถามเวย์ จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องที่เจอผมกับพี่โชว์ให้พี่เวย์ฟัง “เดี๋ยว! ดรีมจะไปไหนอยู่คุยกับพี่ก่อน” พี่เวย์เรียกผมไว้ทันทีที่ผมเตรียมจะลุกเดินออกมาจากโต๊ะ “คุยอะไร ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่” “แน่ใจนะว่าไม่มี” พี่เวย์ถามย้ำอีกรอบ “ไม่อยากรู้เรื่องของพี่กับพี่โชว์ของดรีมหรอ โชว์คงไม่มีทางเล่าให้ดรีมฟังแน่ๆ แต่พี่เล่าให้ฟังได้นะ” “เวย์จะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาอีกทำไมวะ!?” เดย์เริ่มโวยวายกับสิ่งที่พี่เวย์พูดออกมา “เดย์หยุดนะ” พี่เวย์หันไปดุเดย์ก่อนที่จะหันกลับมาคุยกับผม “เอาเบอร์มาสิ เดี๋ยวพี่โทรไปนัดว่าจะให้ไปฟังที่ไหน” “ถ้าจะเล่าก็เล่าตรงนี้” “แน่ใจนะว่าจะให้พี่พูดตรงนี้ ถ้ามันเป็นเรื่องดีๆโชว์คงเล่าให้ดรีมฟังไปแล้ว แต่นี่…โชว์ไม่เล่าไม่แม้แต่เอ่ยถึง ดรีมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรอ ที่จะให้พี่พูดในที่สาธารณะแบบนี้” พี่เวย์พูดอิงกับหลักความเป็นจริง พอผมคิดตามมันก็ถูกแบบที่เขาพูด พี่โชว์เป็นคนดังข่าวที่เกี่ยวกับพี่โชว์มักกระจายไปเร็วเสมอในรั้วมหา'ลัย โดยเฉพาะกับข่าวคาวๆ ผมเลยยอมที่จะรับโทรศัพท์ของพี่เวย์มาแล้วกดเบอร์ตัวเองไปให้เขา แล้วแยกตัวเดินออกมา -หลายวันต่อมา… “ออกมาคุยกับพี่หน่อยสิน้องดรีม”ผมมองค้อนเดย์ที่เดินมาสะกิดให้ผมออกไปคุยกับเขานอกโรงอาหาร “ทำไมต้องไป” “วันนี้พี่รีบมาก พี่ไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับน้องดรีมหรอกนะ แค่จะแวะมาบอกอะไรนิดหน่อยแค่นั้น เกี่ยวกับเวย์ถ้าไม่อยากรู้พี่จะได้กลับ” ผมมองกลับไปหาพี่โชว์ที่นั่งคุยกับเพื่อนในกลุ่มอยู่ข้างหลัง พอเห็นว่าพี่โชว์ก็ไม่ได้สนใจผมเท่าไรในตอนนี้ เลยตัดสินใจเดินออกไปคุยกับเดย์ “มีอะไรก็รีบๆพูดมา ผมก็ไม่ได้มีเวลาเหมือนกัน” เดย์เองก็คงรู้ว่าทำไมผมถึงไม่มีเวลา เพราะถ้าพี่โชว์รู้ว่าผมเดินออกมาคุยกับเดย์มันต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน “เวย์โทรไปนัดรึยัง?” “ยัง ทำไม นายจะมาเล่าตัดหน้าพี่ชายนายรึไง” ผมต่อปากต่อคำกับเดย์ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจคำพูดและท่าทางของผมสักนิด แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์พี่ต้องพาน้องปี1ไปค่าย ถ้าในช่วงที่พี่ไม่อยู่แล้วเวย์โทรมานัด อย่าไป ถ้าไม่มีพี่อยู่กับเวย์ห้ามไปเด็ดขาด” เดย์กำชับสั่งผม “เพื่ออะไร ถึงนายไม่อยู่พี่นายก็เล่าได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง หรือทุกคำที่พูดจะต้องผ่านหูนายด้วย” “น้องไม่เข้าใจ ถ้าพี่ไม่อยู่น้องก็-“ “ก็อะไร พูดต่อให้จบดิ กูรอฟังอยู่” เดย์ยังพูดไม่ทันจบ เสียงพี่แทนก็ดังมาขัด ด้านหลังผมมีพี่แทนเดินถอดเสื้อโชว์ผิวขาวกับหุ่นซิกแพคเต็มหน้าท้องมาพร้อมกับพี่โชว์ “พี่ไปก่อนนะครับน้องดรีม” เดย์ไม่สนใจสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผม พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกับพวกเขา แล้วบอกลาผม “พี่มึงอ่ะสบายดีใช่ไหม” พี่แทนถามเดย์ที่กำลังจะเดินออกไป “อย่ามายุ่งกับเวย์” “ก็กูอยากยุ่งมึงจะทำไม” พี่แทนเดินล้ำหน้าผมขึ้นมาประจันหน้ากับเดย์ จ้องหน้าพร้อมเอาเรื่อง โดยที่ไม่รู้เลยว่าไอ้หน้าใสๆอปป้าของพี่แทน มันไม่เหมาะกับการทำตัวนักเลงแบบนี้เลยสักนิด “ยุ่งกับเด็กเพื่อนพี่ให้รอดก่อนเถอะ ผมจะไม่อยู่1อาทิตย์” พูดจบเดย์ก็หันหลังเดินกลับ คำพูดของเดย์เปรียบเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางหัวของพี่โชว์กับพี่แทน เขาสองคนหันมองหน้ากันอัตโนมัติ เข้าใจกับสิ่งที่เดย์ต้องการสื่อ โดยมีผมคนเดียวที่ไม่เข้าใจทั้งๆที่มันเกี่ยวกับผมโดยตรง และก็จริงอย่างที่เดย์เข้ามาเตือนผม หลังจากได้ยินเพื่อนๆในคลาสพูดกันว่าวิศวะไปออกค่ายได้ไม่ถึงวัน เวย์ก็ส่งข้อความมานัดเจอ ที่ที่เขานัดไปเจอก็ไม่ได้ไกลอะไร มันห่างจากห้องนอนผมไป2ชั้น แต่ประเด็นมันอยู่ที่ผมไม่สามารถปลีกตัวออกไปเจอพี่เวย์ได้นี่แหล่ะ เพราะหลังจากที่เดย์พูดวันนั้น พี่โชว์ก็ตามผมไม่ปล่อย ถ้าไม่ว่างก็ส่งพี่แทนมา หรือไม่ก็คนอื่นในกลุ่มหรือปลายมาคอยดู ไม่ยอมให้ผมคลาดสายตา “ปลายนายจะกลับไปบ้านก่อนก็ได้นะ เราซื้อคนเดียวได้” วันนี้ผมขอพี่โชว์ออกมาซื้อพวกปากกาดินสอ ที่ห้างใกล้ๆมหา’ลัย พี่แทนเลยใช้ให้ปลายมาเป็นเพื่อนผม เพราะพวกเขาต้องอยู่ประชุมเรื่องงานของคณะ “ไม่ได้หรอก พี่แทนสั่งไว้เราต้องทำ ไม่อยากมีปัญหา” “ถามจริงนะ เชื่อฟังพี่แทนขนาดนี้ พี่แทนเขามีอิทธิพลกับนายมากหรอปลาย” แก้มขาวขึ้นสีชมเปร่งประกายเมื่อผมถามถึงเรื่องพี่แทนกับปลาย “ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าถ้าเชื่อพี่แทนเราจะปลอดภัย” ปลายพูดด้วยแววตาที่เป็นประกาย “เรารู้สึกแบบนั้น ดรีมไม่รู้สึกหรอ?” “รู้สึกอะไร” “รู้สึกปลอดภัยเวลาที่พี่โชว์อยู่ใกล้ๆไง” “ยังไง?” “ก็แบบ ถ้าไม่ใช่คนนี้อยู่กับคนไหนก็ไม่สบายใจ ไม่ปลอดภัย ไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือไม่ก็…” พูดแล้วปลายก็อมยิ้มกับตัวเอง ท่าทางที่เขินอายของปลายมันน่ารักเหมาะสมกับตัวเขามาก “แค่ได้ยินเสียงของเขาใจมันก็เต้นแรง” “บ้าแล้ว! เราจะไปรู้สึกกับพี่โชว์แบบนั้นได้ไง นั่นผู้ชายนะ” ผมตอบกลับไปอย่างร้อนรน ขณะเดียวกันหัวใจมันก็เต้นตึกตักลุ้นระทึกกลัวว่าปลายจะได้ยินเสียงหัวใจเต้น อย่างกับเด็กกำลังโกหกผู้ปกครอง “แต่เราว่าพี่โชว์รู้สึกนะ รู้สึกมากด้วย แปลกจังทำไมคนใกล้ไม่รู้สึก แต่คนที่แค่มองผ่านๆแบบเรายังรู้เลย ว่าพี่โชว์เขารู้สึกยังไงกับดรีม”ตอนนี้ไม่ใช่แค่ปลายที่แก้มเป็นสีแดง แก้มผมมันก็คงสีระเรื่อไม่ต่างกัน ผมไม่อยากให้ปลายพูดอะไรให้หวั่นไหวอีก เลยวกถามเรื่องเขากับพี่แทน “เหมือนที่นายเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกับพี่แทนมีซัมติงกันแล้วใช่ปะ?” “ไม่เหมือน เรารู้ว่าเรารู้สึกยังไง ไม่เหมือนดรีมที่ยังไม่รู้อะไรเลย” แทนที่ปลายจะเงียบไปเขากลับตอบความจริงกลับมา “นายชอบพี่แทนจริงๆสินะ” “ปากกาสวยดีนะ เอาแท่งนี้ไหมเราช่วยเลือก” คนโดนจี้คำถามใส่เบี่ยงประเด็นไปที่ปากกาใกล้ตัว ปลายไม่ใส่ใจเลยที่ผมรู้ว่าเขาคิดยังไงกับพี่แทน ต่างจากผมที่ในหัวมันเริ่มหมกหมุ่นอยู่กับคำพูดของปลาย ที่เขามองออกว่าพี่โชว์รู้สึกยังไงกับผม แล้วตัวผมล่ะ รู้สึกยังไงกับพี่โชว์ ปลายทิ้งระเบิดไว้ให้ผมถึง2ลูกเลยในวันนี้ และไอ้ระเบิดลูกนั้นกำลังจะทำให้หัวผมระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆถ้าผมหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ “พี่โชว์ ผมขอเข้าไปในห้องหน่อยได้ไหม?” และคนที่จะให้คำตอบได้ ก็มีแค่พี่โชว์คนเดียวเท่านั้น “เข้ามาสิ มีเรื่องอะไรรึเปล่า มาหาพี่ดึกขนาดนี้” พี่โชว์เดินมาเปิดประตูห้องให้ผม แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือเหมือนเดิม ผมเดินเข้ามานั่งตรงปลายเตียงมองคนโตกว่าก้มหน้าอ่านหนังสือ “ผมมีเรื่องอยากให้ช่วย” “ว่ามาสิ” พี่โชว์ตอบมาทั้งๆที่ตายังมองหนังสือไม่ละ “ช่วยกอดผมหน่อย” พี่โชว์นิ่งไปทันทีที่ผมพูดออกไป หนังสือที่เปิดกางออกก็ปิดลงไปด้วย “พี่ว่าพี่หูไม่ค่อยดีเท่าไร พี่ได้ยินว่าดรีมให้พี่-“ “กอดผมหน่อย มากอดผมที” ผมพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืนกางแขนออกกว้าง ยืนยันให้พี่โชว์มากอด “กอดแล้วมันทำไม?” “ผมอยากรู้ว่าถ้าผมกอดพี่ ผมจะรู้สึกอะไรไหม” ปกติพี่โชว์ก็ชอบถึงเนื้อถึงตัวผมอยู่แล้วเป็นประจำ แต่พอมาตอนนี้พี่โชว์มีความลังเล ว่าเขาควรจะมากอดผมอย่างที่ขอดีไหม แต่สุดท้ายก็ยอมลุกเข้ามาสวมกอด “รู้สึกอะไรไหม?” พี่โชว์ถามขึ้นหลังจากที่เขาเดินเข้ามากอดผม “ไม่รู้สิ” ถึงปากจะบอกไม่รู้แต่ร่างกายผมมันรับรู้ ใจผมเต้นแรงมาก โดยเฉพาะเวลาที่ผมได้ซบหน้าลงไปแนบตรงหน้าอกข้างซ้ายของพี่โชว์ เสียงหัวใจมันดังตึกตักจนน่ากลัว “แล้วที่มันมากกว่ากอดละ รู้สึกไหม?” พี่โชว์ใช้ความแข็งแรงของกล้ามแขน โอบเอวผมเข้าไปชิดลำตัวจนไม่มีที่ว่างให้อากาศแทรกได้ ปลายนิ้วชี้ช้อนปลายคางของผมแล้วเชิดมันขึ้นเพื่อให้เราได้สบตากัน “พี่หมายถึง-“ “อะไรก็ได้ที่มันมากกว่ากอด ดรีมจะรู้สึกอะไรไหม” ผมกำลังจะละลายไปกับสายตาที่พี่โชว์มองมา มันเต็มไปอุ่นความอบอุ่น โหยหา และแฝงไปด้วยความต้องการบางอย่าง “มะ..ไม่รู้สิพี่ ผมว่าผมกลับไปนอนดีกว่า”ผมขยับตัวออกห่าง เมื่อเริ่มรู้สึกว่าข้างในร่างกายตัวเองมันร้อนเกินไป ผมคงต้องหนีไปดับร้อนที่ห้องก่อน น่าจะดีที่สุด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม