@02.50นาฬิกา.
ก็อกๆ…ก็อกๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังและถี่รัวทำให้ผมต้องฝืนลืมตา ลุกขึ้นมาเปิดประตู ทั้งๆที่เวลาตอนนี้ก็ล่วงเลยข้ามมาอีกวัน ผมลุกขึ้นมายืนนิ่งอยู่หน้าประตูลังเลกับการที่จะต้องเปิดประตูออกไปในเวลาดึกดื่นขนาดนี้
“ใครครับ พี่โชว์หรอ?”
“ไม่ใช่โชว์นี่พี่แทนเอง” เสียงคุ้นเคยดังข้ามมาจากที่ฝั่งของประตู ผมเปิดประตูแง้มออกเล็กน้อยเพื่อออกไปคุยกับพี่แทน แต่แทนที่อีกฝ่ายจะบอกกล่าวอะไรออกมากลับทิ้งร่างหนักๆของพี่โชว์ทุ่มใส่ตัวผมที่เล็กกว่าเกือบเท่าตัว
“เฮ้ย! ทำไมถึงเป็นงี้ละพี่แทน?”
“ของที่พ่อดรีมส่งมาให้ไง มันดีจัดจนไอ้โชว์เป็นอย่างที่เห็นนี่แหล่ะ”
“แล้วทำไมพี่ไม่พาไปที่ห้องพี่โชว์ละ จะเอามาปล่อยไว้ที่ห้องผมทำไมเนี่ย?” ผมถามอย่างหัวเสีย
จะให้ผมมาดูแลคนเมาในเวลาพักผ่อนแบบนี้ผมก็ไม่ไหวนะ และดูจากสภาพพี่โชว์ไม่น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้เลย ร่างสูงยืนคอโอนเอนไปซ้ายทีขวาที แถมน้ำหนักตัวทั้งหมดก็ทิ้งมาที่ผมเพียงคนเดียวที่เป็นหลักค้ำไม่ให้ล่วงลงไปนอนที่พื้นเย็นๆ
“อยู่ห้องดรีมอ่ะดีแล้วมีคนคอยดูแล และก็..”
“ก็อะไรพี่แทน” พี่แทนทิ้งคำพูดที่ว่างเปล่าไว้เป็นปริศนา ปลายตาคมของพี่แทนเหล่มองมาที่ผมกับพี่โชว์สลับกัน ก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วหันหลังเดินออกไป
ผมเสียพลังงานไปมากมายกับการพยุงร่างสูงใหญ่ให้มาถึงเตียงนอนกว้างของตัวเอง พี่โชว์เมามายมากเกินกว่าจะช่วยก้าวเท้า หรือประคับประคองตัวเองได้
ใบหน้าหล่อจัดตามแบบหนุ่มไทยนอนหลับตาพริ้มไม่ได้สติ ริมฝีปากหยักเผยอเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำเป็นริ้วด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ กระดุมเสื้อเม็ดบนถูกปลดออกจนโชว์แผงอกรำไรให้น่าค้นหา ภาพรวมของผู้ชายตรงหน้าผมตอนนี้คงไม่พ้นคำว่าเซ็กซี่ มีแรงดึงดูดโคตรสูงโดยที่ไม่ต้องออกแรงขยับตัวด้วยซ้ำ
ถ้าหากว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ผม เป็นคนอื่นเช่น..พีมละ? พี่โชว์จะเป็นยังไง? แล้วคนอื่นละ จะได้เห็นมุมที่ดูดีแม้กระทั่งตอนเมาของพี่โชว์แบบผมไหม?
ในหัวสมองผมมีความคิดที่ผิดแปลกผุดพรายขึ้นมามากมาย แต่จุดประสงค์หลักของความคิดเหล่านั้นไม่ได้พ้นจากคนตัวโตที่นอนอยู่ด้านหน้าผมเลย ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องคิดแต่เรื่องเขา ไอ้พี่โชว์บ้า!
“ไอ้พี่บ้า ทำตัวให้มันดูดีน้อยลงไม่ได้รึไงวะ” ผมพูดบ่นกับตัวเองเพียงลำพัง แล้วปล่อยให้ร่างใหญ่โตข้างๆได้นอนหลับต่อไป โดยที่ผมก็ขึ้นไปนอนอยู่ข้างๆบนเตียงเดียวกัน
ร้อน..อึดอัด..
ผมไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นของแอร์ที่เปิดอยู่ ลำตัวก็อึดอัดราวกับถูกสิ่งมีชีวิตมาโอบรัด ความมืดจากดวงไฟที่ดับสนิททำให้ผมต้องเพ่งสายตาไม่น้อยเพื่อมองฝ่าความมืดดูสิ่งรอบกายที่เกิดขึ้น
“พี่โชว์” คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้ว ตอนนี้กำลังนอนตะแคงจ้องหน้าผมอย่างไม่วางสายตา
“ชู่วว~” ปลายนิ้วชี้เรียวอุ่นแตะลงบนริมฝีปากผมเบาๆให้เงียบเสียงลง แสงที่ส่องผ่านเข้ามา ทำให้ผมเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังยกยิ้มอย่างพอใจแค่ไหนที่ผมเงียบอย่างที่เขาต้องการ
ความอึดอัดที่ผมรู้สึกเมื่อก่อนหน้านี้เริ่มคลายออกไป เมื่อมือหนาและแขนแกร่งคลายอ้อมกอดออกจากเอวบางของผม ดวงตาคู่คมหลุบมองผมอย่างไม่วางตา ไออุ่นร้อนเป่ารดผิวเนื้อนอกร่มผ้าผมเป็นระยะ เมื่ออีกฝ่ายหายใจหนักหน่วงออกมา
“พี่โชว์ พี่จะทำอะไรกันแน่” ผมถามคนที่จ้องมองผมไม่วางตา พี่โชว์ไม่พูดอะไรออกมา สายตาคู่นั้นก้มมองมาที่ริมฝีปากของผม เขาจดจ้องมองมันราวกับเป็นของกินชิ้นโปรดที่พร้อมจะฉกชิมทุกวินาที
“ดรีมจริงๆใช่ไหม?” เสียงทุ้มที่แหบกว่าปกติถามออกมา ริมฝีปากคู่นั้นขบเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจกลืนกินทุกลมหายใจของผมด้วยริมฝีปากของเขาเอง
“อื้อ!..”
เสียงพูดของผมจมหายไปในลำคอขาว เมื่อถูกทาบทับด้วยริมฝีปากอุ่นตรงหน้า พี่โชว์กลืนกินทุกเสียงร้องคำรามของผม ริมฝีปากอุ่นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความร้อน แล้วไล่ต้อนบดขยี้ทุกอณูพื้นผิวที่นุ่มนิ่ม….
-พี่โชว์-
เหมือนฝัน…ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังฝันอยู่เลย รู้สึกดีมาก..โดยเฉพาะเวลาที่ผมได้สัมผัสความนิ่มละมุนของริมฝีปากตรงหน้า ไม่ว่าผมจะกดริมฝีปากสัมผัสลงไปสักกี่ครั้ง ความหวานหอมสัมผัสนุ่มนิ่มตรงหน้าก็ไม่ลดน้อยลงเลย มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมันเริ่มที่จะบวมเจ่อ จากการรุกล้ำบุกรุกอย่างเอาแต่ใจของผม
นี่ผมกำลังจูบกับน้องอยู่จริงใช่ไหม? ไม่ใช่แค่เมาแล้วฝันละเมอนะ
“อื๊มม..”
ผมจูบคนตรงหน้าซ้ำๆ ย้ำสัมผัสให้ลงลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ตอกย้ำความร้อนแรงจากริมฝีปากคู่ร้อนของผมให้คนตัวเล็กในอ้อมกอดจดจำจนยากจะลืมเลือน ปลายลิ้นเรียวหลบหลีกเงอะงะเมื่อถูกผมตวัดกวาดต้อนจนจนมุม
หน้าท้องแบนราบเกร็งแข็งขึ้นเลข11ที่แสนจะเซ็กซี่เมื่อปลายลิ้นเราสัมผัสกัน น้ำใสหวานหอมจากโพรงปากหวาน ถูกผมกวาดต้อนและดื่มด่ำอย่างไม่รู้สึกเบื่อ เสียงอื้ออึงในลำคอของคนตัวเล็กไม่ได้ทำให้ผมอยากจะหยุดการกระทำในเวลานี้แม้แต่น้อย มีแต่จะกระตุ้นความกระหายที่ผมกักเก็บไว้ให้ทลายออกมา
“อ๊ะ!” ร่างเล็กเกร็งไปทั้งตัวเมื่อมือหยาบของผมมันไม่อยู่สุข เลื้อยไล้ผ่านเนื้อผ้าบางเบาเข้ามาใต้สะดือ แล้วหลุบหายเข้าไปใต้กางเกงนอนตัวสั้นของน้อง
“พี่โชว์..” ดรีมเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว เมื่อผมได้ปล่อยให้ริมฝีปากบางพักหายใจหายคอกันบ้าง
ผมมัวเมาอยู่กับความหวานฉ่ำของริมฝีปากบางที่ผมโหยหาและรอคอยมานาน ร่างเล็กตรงหน้านอนแน่นิ่งอยู่ภายใต้ร่างกำยำของผมอย่างไร้ทางหนี ถึงอยากจะหนีผมก็ไม่ให้ไป ผมจะกักน้องไว้ด้วยสองแขนที่แข็งแกร่ง สองขาที่แข็งแรง ใช้ร่างกายที่ทนทานเหนี่ยวรั้งร่างบางให้นอนทอดกาย ปล่อยเรือนร่างให้ผมได้เชยชมแค่คนเดียวเท่านั้น
“ครับ”
“ละ..ลงไปก่อน ดีมะ- อื้อ!” ผมจบคำพูดนั่นด้วยริมฝีปากของตัวเอง ก่อนที่กายบางใต้ร่างจะพูดประโยคที่เหมือนจะหนีผมไปออกมาจนจบ
ริมฝีปากบางคู่นั้นไม่ควรเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา น้องควรที่จะนอนรอสัมผัสที่มันจะทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆจากผมมากกว่า
“อื้มม..” ผมจูบน้องอีกครั้ง เพิ่มความต้องการทวีคูณเป็นเท่าตัว
ลิ้นน้อยพยายามสอดส่ายหาทางหนีได้อย่างน่าเอ็นดู เจ้าของร่างกายจะรู้บ้างไหมว่าการที่เขาทำแบบนี้มันไม่ได้ทำให้หลบผมพ้นเลย มีแต่อยากจะดึงมันมาดูดดึงตวัดต้อนให้อ่อนยวบคาปาก น้ำใสจำนวนไม่น้อยไหลเยิ้มเคลือบทั่วริมฝีปากและลำคอขาว มันยั่วยวนชวนให้ผมตามไปลิ้มชิมรส ซึ่งมันต้องหวานไม่ต่างจากในปากแน่นอน
ร่างเล็กบิดส่ายไปมาเมื่อผมแสดงความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ จากจูบที่โหยหาและเร่าร้อน มือหยาบของผมแตะลงอย่างแผ่วเบายังปลายส่วนที่เริ่มจะแสดงอารมณ์ ผมอยากจะจับมันไว้ทั้งมือแล้วรูดรั้งให้คนใต้ร่างสะอื้นขอความเห็นใจจากผมทั้งน้ำตา อยากตอกย้ำตัวตนเข้าร่างเล็กให้น้องต้องสั่นคลอนไปทั้งตัว อยากทำให้เจ้าของร่างกายเป็นของผมแค่เพียงคนเดียว
แต่ผมก็ทำได้แค่อยาก แล้วหยุดทุกอย่างลงแค่จูบที่บ้าคลั่ง แม้ว่าร่างนกน้อยตรงหน้าจะชวนให้หักปีกแล้วกลืนกินแค่ไหน ผมก็ต้องชั่งใจเอาไว้ เพราะ..ของอร่อยผมไม่ควรกินหมดในครั้งเดียว
ฟอด~
ผมหอมแก้มนิ่มก่อนที่จะตัดใจผละตัวออกไปจากร่างนุ่มนิ่ม ที่แม่งโคตรน่าจะรุนแรงใส่ ดรีมมองผมอย่างไม่เข้าใจการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก่อนที่ร่างเล็กตรงหน้าจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายจนมิดแล้วหันหลังใส่ผม
แสงตะวันส่องผ่านผ้าม่านสีอ่อนกระทบกับเรือนผมสีน้ำตาลที่ผมนอนเล่นมาตั้งแต่เมื่อคืน ผมทำใจข่มตานอนไม่หลับแม้แต่นาทีเดียว ทุกอย่างเริ่มทำให้ผมคิดมากเมื่อฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มซา คนตรงหน้าจะโอเคกับการกระทำของผมเมื่อคืนรึเปล่า? รังเกียจผมไหม? นี้สินะที่เขาบอกว่าเวลาเมาจะกล้าดั่งนักรบ พอฤทธิ์สงบสยบดั่งหมา
ผมแกล้งนอนหลับเมื่อน้องเริ่มขยับตัว ร่างเล็กลุกเดินออกไปจากเตียง เสียงเปิดประตูห้องน้ำเกิดขึ้นหลังจากนั้น ผมเสแสร้งว่านอนหลับสนิทแล้วแอบมองคนตัวบางแต่งตัวผ่านผ้าห่มผืนใหญ่ คนตัวเล็กค่อยๆแต่งตัวด้วยความระมัดระวัง คงกลัวว่าจะทำผมตื่น
“ดรีม..” ผมเรียกน้องเอาไว้ก่อนที่จะเปิดประตูเดินออกไป ใบหน้าใสค่อยๆหันมามองผมช้าๆ ด้วยแววตาระคนตกใจ
“อะ..อะไร”
“ดึงพี่หน่อย พี่ลุกไม่ไหว” ดรีมหลุบตาต่ำมองพื้นแล้วเดินดุ่มๆมาหาผมที่เตียง โดยไม่ยอมสบตา มือเรียวสองข้างยื่นมาดึงแขนผมให้ลุกขึ้น
“หลบตาพี่ทำไม พี่ทำอะไรให้ดรีมไม่พอใจรึเปล่าเมื่อคืน?” ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองไปทำอะไรไว้ ผมก็ยังจะลองเชิงถามอีกคนที่มีท่าทีเปลี่ยนไป
“เปล่า” น้องยังคงหลบตาผมเช่นเดิม “เมาเป็นหมาจะทำอะไรผมได้”
“แต่ตอนนี้พี่ไม่เมานะ” ผมฉวยโอกาสที่น้องไม่มองและไม่ได้ให้ความสนใจผม รั้งร่างบางให้ล้มลงมานอนข้างๆ สอดมือเกี่ยวเอวบางเอาไว้ไม่ให้ลุกหนี
“พะ..พี่โชว์ จะทำอะไร”
“เมื่อคืนน่ะพี่เป็นหมาแต่ตอนนี้เป็นคนแล้วครับ งั้น…พี่ก็ทำได้แล้วสิ”
“ทะ..ทำอะไรพี่โชว์?!”
“แล้ว…อยู่บนเตียงแบบนี้มันทำอะไรได้บ้างละ?”
สีหน้าที่มีอาการตกใจไม่น้อยของน้องแสดงออกมาอย่างชัดเจน สายตาสวยสอดส่ายมองหาทางหนีทีไล่เพื่อจะไปให้พ้นจากสถานการณ์เสี่ยงเสียตัวเช่นนี้
“นอนไงพี่ นอนไปเลย” น้องทำท่าจะลุกแต่ก็โดนผมรั้งเอว ให้กลับมานอนเหมือนเดิม
“ไม่นอนกับพี่ก่อนหรอ” ดรีมทำท่าจะปฏิเสธผม ซึ่งผมไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นแน่ๆ “พี่ขออยู่แบบนี้สักพักนะ”
-จบพาร์ทพี่โชว์-
ปกติผมมักจะตามไปหาพี่โชว์ทุกพักเที่ยง นับตั้งแต่เกิดเหตุคืนนั้นขึ้นผมก็เลิกตามติดพี่โชว์จนเพื่อนๆในกลุ่มพี่โชว์ยังสงสัย ว่ามันมีซัมติงอะไรเกิดขึ้น ผมถึงได้แยกตัวออกมานั่งกินข้าวคนเดียว บางวันก็ไปอยู่กับปลายบ้าง ส่วนตอนเย็นผมก็มักจะหนีนั่งรถประจำทางกลับหอมาก่อน เลี่ยงการเจอหน้าเท่าทีจะทำได้
“ดรีมจะไปไหน ขึ้นรถมาเดี๋ยวนี้” พี่โชว์จอดรถมาสด้าสีแดงของเขาเทียบกับริมฟุตบาทที่ผมกำลังเดินอยู่
“ไม่เป็นไร ผมจะไปซื้อของ” ผมตอบพร้อมกับเดินหนีให้ห่างจากตัวรถของพี่โชว์
“พี่บอกให้ขึ้นมาไง เดี๋ยวพี่พาไป”
“ไม่เป็นไร ผมอยากไปเอง” ผมเดินทิ้งระยะห่างออกจากพี่โชว์มากขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าให้พี่ดุนะดรีม จะขึ้นมาดีๆหรือจะให้พี่ลงไปพาขึ้นมา” คนตัวโตเปิดประตูลงจากรถแล้วเลือกที่จะเดินตามผมมา
แขนผมโดนรั้งเอาไว้ไม่ให้เดินหนีไปได้อีก พี่โชว์กึ่งดึงกึ่งบังคับตัวผมให้กลับมายืนที่รถเขา ร่างสูงเปิดประตูฝั่งข้างคนขับออกอย่างหัวเสียก่อนจะหันหน้าที่ไม่สบอารมณ์มาหาผม
“ขึ้นรถดีๆ หรือจะต้องให้อุ้ม”
“ผม..”
“ดรีม” พี่โชว์กดเสียงต่ำใส่ผม ผมเลยต้องจำใจก้าวขาขึ้นมานั่งบนรถอยู่ข้างๆเขา
“จะไปซื้ออะไรครับ”
“ผมไม่อยากซื้อแล้ว” ผมตอบพร้อมกับเบือนหน้าหนีเขาไปมองข้างทาง ที่ไม่ได้มีอะไรน่าดูเลยสักนิดนอกจากการจราจรที่ติดขัด บ่งบอกถึงความไม่พอใจที่ผมมีให้กับเขา
ผมนั่งตัวลีบแบนติดประตูรถ เว้นระยะห่างกับพี่โชว์อย่างชัดเจน ความเงียบเกิดขึ้นตลอดเวลาที่รถแล่นตามท้องถนน จนกระทั่งมันจอดแน่นิ่งอยู่ใต้หอพักของเราทั้งคู่
“ผมขึ้นห้องก่อนนะ”
“พี่ไม่ให้ไป ถึงดรีมจะไปก็ลงจากรถไม่ได้หรอกนะ” ผมลองเปิดประตูรถดูก็ปรากฎว่ามันล็อค “ขยับเข้ามา” ผมนั่งนิ่งอยู่แบบเดิม เลยกลายเป็นว่าพี่โชว์ต้องปลดสายเบลล์ออกเพื่อขยับมาเข้าใกล้ผมเอง
“เป็นอะไรไป พี่ทำอะไรให้ดรีมไม่พอใจงั้นหรอ” ปากผมยังปิดสนิทไม่มีคำตอบให้พี่โชว์เหมือนเดิม “ดรีม พี่บอกให้ตอบ จะเอางี้ใช่ปะ?”
“พี่โชว์! ทำอะไรของพี่เนี่ย ปล่อยเลยนะ!” พี่โชว์ใช้โอกาสที่ผมเบือนหน้ามองไปนอกกระจกให้เป็นประโยชน์ โดยการปลดสายเบลล์ผมออกแล้วรั้งตัวผมให้ขึ้นมานั่งเกยอยู่บนหน้าขาของเขา
ตัวผมเล็กกว่าพี่โชว์อยู่เกือบเท่าตัวพอโดนดึงมานั่งอยู่บนตัก เลยกลายเป็นว่าทั้งตัวผมโดนโอบรัดเอาไว้ ออกแรงดิ้นได้ก็แค่ขา
“ตอบพี่มาก่อน ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปไหน อยู่กันท่านี้แหล่ะ”
“มันอึดอัดนะพี่โชว์”
“อยู่ใกล้พี่มันอึดอัดขนาดนั้นเลยหรอ?”
จากคนที่พยายามรั้งให้อยู่กับเขาเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่ ตอนนี้กลับคลายอ้อมแขนนั้นออกแล้วนั่งนิ่ง น้ำเสียงเรียบนิ่งเปล่งเสียงออกมาจนผมใจหายวูบ ผมสามารถขยับตัวลงไปนั่งที่เดิมได้โดยไม่มีอะไรมาขัดด้วยซ้ำในเวลานี้ แต่บางอย่างในใจมันบอกให้ผมต้องนั่งอยู่บนตักนี้ต่อไป ห้ามขยับหนีไปไหนจากผู้ชายคนนี้
“…”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น พี่โชว์กำลังเข้าใจผิด”
ก็อกๆ!
ก่อนที่ผมจะได้อธิบายให้พี่โชว์เข้าใจ เสียงเคาะกระจกรถจากด้านนอกก็ดังขัดขึ้นมาก่อน พี่โชว์ขยับตัวกดปุ่มเพื่อลดระดับกระจกลง โดยที่ผมยังนั่งอยู่บนตัก ระดับกระจกลดลงจนเห็นว่าเดย์คือคนที่มาเคาะ ท่านั่งที่ล่อแหลมเป็นที่ดึงดูดใจของเดย์ที่สุดในเวลานี้
“อ๊ะ?!” ท่อนแขนใหญ่เกี่ยวรั้งเอวผมอย่างแน่นหนาโดยไม่ทันตั้งตัว แตกต่างกับก่อนหน้านี้ลิบลับ
“มีอะไร” พี่โชว์ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างในรถที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องปกติ และเดย์คือสิ่งที่ไม่ปกติที่มาก่อกวนผมกับเขา
“เปล่าหรอกครับ ผมแค่เห็นว่ารถจอดนานแล้วแต่ยังไม่มีใครลงมา นึกว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นเลยแวะมาดูก็แค่นั้น”
“เป็นคนดีกับเขาก็เป็นงั้นสินะ” เดย์ไม่ตอบอะไรแค่หยักไหล่ใส่แบบไม่ค่อยสนใจเท่าไร
“ก็เห็นแล้วว่าไม่เกิดเหตุร้ายอะไรก็รีบไปซะสิ” พี่โชว์พูดไล่เดย์พร้อมกับกดปิดกระจกให้สนิทเหมือนเดิม
ผมกับพี่โชว์เราขึ้นมาคุยกันต่อบนห้องของพี่โชว์ เพราะคิดว่าใต้หอพักมันไม่ใช่สถานที่ที่จะมาพูดคุยเจรจาหรือทำอะไรได้สะดวกในความคิดของพี่โชว์
ผมนั่งอยู่ปลายเตียง มีพี่โชว์นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสือ ตอนนี้ผมมั่นใจมากว่าพี่โชว์กำลังตั้งใจที่จะทิ้งระยะห่างของเราสองคน
“ทำไมพี่ถึงไปนั่งตรงนั้น”
“แล้วจะให้พี่นั่งตรงไหน” อีกฝ่ายตอบผมโดยที่ไม่หันมามอง
“พี่โชว์แปลกไป พี่ไม่เหมือนปกติ”
“งั้นดรีมปกติกับพี่งั้นสิ?” กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเถียงอะไรพี่โชว์ไม่ออก ได้แค่นั่งก้มหน้ามองเท้าตัวเอง
“ไม่พอใจอะไร โกรธอะไรทำไม่พูดมันออกมา ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้ แบบนี้พี่ไม่ชอบเลยนะดรีม” เสียงทุ้มพูดประโยคยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ จบด้วยการถอนหายใจแรงๆออกมา
“ผมบอกพี่หรอ ว่าผมโตแล้ว”
“ว่าไงนะ?” พี่โชว์ก้าวเข้ามาประชิดตัวผมในทันทีที่ผมตอบออกไปแบบนั้น ทั้งที่คำตอบผมมันไม่ได้น่าโมโหอะไรเลย
“จะทำอะไรพี่โชว์..” ใจคอผมเริ่มไม่สู้ดีนัก เมื่อคนพี่กำลังเข้ามาใกล้ผมมากเกินไป
สองมือหนาทาบลงกับพื้นที่นอนจนมันยวบลงไปตามน้ำหนัก สองแขนใหญ่กักล้อมตัวผมไว้ไม่ให้ขยับหนี ใบหน้าหล่อคมก้มต่ำลงมามากเกินความจำเป็น จนสัมผัสได้ถึงแรงลมหายใจที่เป่ารดทั่วทั้งใบหน้าของผม
“นอนลงไป”
“นอนทำมะ-”
“พี่บอกให้นอนก็นอน ดรีมพูดเองไม่ใช่หรอว่าเป็นเด็ก เด็กก็ควรเชื่อผู้ใหญ่ นอนลงไป” พี่โชว์ตอกย้ำว่าเขาจริงจังในคำพูดนี้มากแค่ไหน ด้วยคำสั่งที่โคตรจะหนักแน่นในน้ำเสียง “เดี๋ยวนี้”
สายตากดดันที่มองมาทำให้ผมค่อยๆเอนตัวลงนอนจนหลังแนบสนิทกับเตียงนอน โดยมีพี่โชว์ที่ขยับขึ้นมาคร่อมผมไว้เต็มตัวเหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด
“กลัวรึเปล่า?” ผมส่ายหน้าให้พี่โชว์เป็นคำตอบ
“แล้วหายใจแรงทำไม” ถ้าพี่โชว์ขยับเข้ามาใกล้ผมมากกว่าอีกหน่อย จะรู้เลยว่าไม่ใช่แค่ลมหายใจที่แรงแต่ใจผมมันก็เต้นแรงไม่ต่างกันเลย
“มะ..มะ.ไม่รู้”
“ระหว่างอยู่ใกล้ๆแบบนี้ กับอยู่ไกลๆแบบนั้น ดรีมชอบแบบไหน?”
“ก็ไม่ควรใกล้ขนาดนี้รึเปล่าวะ?” ผมดันหน้าอกพี่โชว์เบาๆ เพื่อให้เขาขยับห่างออกไปหน่อย
“จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหม ถ้าไม่เราก็อยู่กันท่านี้แหล่ะ” พี่โชว์หมายถึงท่าที่เขากำลังคร่อมผมไว้ทั้งตัว กับสายตาที่พร้อมจะเขมือบผมลงท้องทุกเมื่อ
“พี่ไม่เมื่อยแขนรึไง ถ้าต้องค้างอยู่ท่านี้”
“แขนพี่แข็งแรงจะตาย อุ้มเราค้างไว้ท่าอื่นก็ยังไหว”
“พี่โชว์!” ผมถลึงตาโตใส่คนด้านบน เขาไม่เคยพาผมไปพ้นเรื่อง18+ได้เลย “ทำไมเป็นคนที่ทะลึ่งได้แบบนี้ว่ะ ผมรู้นะว่ามันหมายถึงอะไร”
“ว่าพี่ได้แบบนี้ แปลว่าเป็นปกติแล้วสินะ ชอบให้ง้อแบบถึงเนื้อถึงตัวก็ไม่บอก”
“บ้าแล้วเหอะพี่ ผมชอบตอนไหนกัน”
“ที่ในรถงี้นั่งตักพี่ไม่ยอมลงเลยนะ ใครก็ไม่รู้” ไอ้ตอนที่นั่งตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย แค่รู้สึกว่าต้องนั่งต่อไป แต่พอมาทบทวนดูแล้วโคตรอายตัวเองเลยว่ะ ความเห่อร้อนเริ่มทำงานกระจายไปทั่วใบหน้า ซะจนผมไม่กล้าจะเงยหน้าสู้กับพี่โชว์ได้อีก
“มันไม่ใช่แบบนั้นเว้ย ไอ้พี่บ้าลงไปเลย!” พี่โชว์ระเบิดหัวเราะเสียงดังกับการตะเกียกตะกายให้ร่างกายผมหลุดพ้นจากตัวของเขา ผมจะหนีเขาไม่ได้เลยถ้าเขาไม่ยอมขยับตัวออกห่างให้
“ไปไหน นอนด้วยกันก่อนนนน”
“นอนกับพี่ คงได้นอนสบายหรอก”
“นอนกับพี่ไม่สบายหรอก แต่สนุกมากกว่า” ผมถลึงตาใส่เขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะวิ่งกลับห้อง