อึก!
ขนาดกลื่นน้ำลายผมยังสะดุดเลยเมื่อสบตากับพี่โชว์ เขาชอบทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ อย่างเช่นตอนนี้ไง ผมกำลังทำตัวไม่ถูกกับคำชมว่า ‘น่ารัก’ จากผู้ชายสุดฮอตคนนี้
บ้าชะมัด!
ตลอดช่วงเย็นผมนั่งอยู่กับกลุ่มพี่โชว์ ดูเขาเพาะต้นกล้า ดูแลต้นกล้า ฟังพวกพี่เขาเล่าเรื่องต่างๆ ตลกบ้าง หื่นกรามตามประสาผู้ชายบ้างแต่นานๆที ผมที่เป็นน้องสุดก็ทำได้แค่นั่งฟัง ไม่รู้จะออกความเห็นหรือพูดเสริมว่าอะไร รอจนตะวันใกล้ตกดินถึงแยกย้ายกันกลับ และแน่นอนผมกลับกับพี่โชว์ เพราะเราอยู่หอเดียวกัน ห้องก็ติดกัน
@ห้อง701
“พี่โชว์! พี่โชว์! เปิดประตูให้ผมหน่อย” ผมทั้งเคาะทั้งตะโกนเรียกพี่โชว์อยู่หน้าห้องเขามาเป็นพัก ก็ไม่เห็นว่าจะมีเสียงตอบรับมาสักที
“พี่โชว์! ยังมีชีวิตอยู่ไหมเนี่ย!”
ปังงงๆ!!
ตอนนี้เรียกได้ว่าทั้งเตะ ทั้งเคาะ ตั้งตบประตู จนเสียงดังไปทั่วทั้งชั้น ในที่สุดเสียงก๊อกแก๊กจากข้างในก็ดังขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าคนที่ผมกำลังเรียกหายังมีชีวิตอยู่
“อยากลองของเด็ดหรอถึงได้มาเคาะห้องพี่ได้ดุเด็ดเผ็ดมันขนาดนี้?”
“จะเห็นผมเป็นน้องเป็นนุ่งสักวันจะได้ไหมพี่โ-“
อึกก!!..
ผมถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นชุดที่พี่โชว์ใส่ออกมาเปิดประตูให้ผม ผ้าขนหนูที่ผูกหมิ่นเหม่อยู่ที่เอว มันดูหลวมและต่ำจนแทบจะลงมากองที่พื้น ถ้าหมกเจ้าของร่างกายขยับตัวเร็วเกินไป เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำ เวลาที่หยดน้ำพวกนั้นมันเกาะอยู่ตามกล้ามอก กล้ามแขน แล้วสะท้อนแสงไฟ มันโคตรจะทำให้ผู้ชายตรงหน้าผมโซฮอต! อยู่ๆผมก็ดันรู้สึกร้อนไปทั่วร่างกาย พี่โชว์กลายเป็นไฟรึไงกัน ทำไมอยู่ใกล้แล้วมันร้อนรุ่ม?!
“เป็นน้องแต่ไม่นุ่งได้ปะ?” สงสัยพี่โชว์เขาจะรู้ว่าตัวในลุคนี้มันดูฮอตร้อนแรงขนาดไหน เขาถึงได้ยืนแอ๊คท่า เอาหน้าหล่อๆมองดูผมแบบนี้
“ผะ..ผมว่านะ พี่ต่างหากที่จะไม่นุ่ง” ผมรู้ว่าเสียงผมมันสั่น บังคับให้หายสั่นแล้วแต่มันทำไม่ได้
“อะไรกันเรา เห็นแค่นี้ก็เสียงสั่นซะแล้ว ถ้าเห็นมากกว่านี้จะเป็นลมไหมน่าา?”
“หะ..เห็นอะไร ที่มากกว่านี้อะ?”
“ก็…เห็นนี่ไง” พี่โชว์ทำท่าจะกระตุกปมผ้าขนหนูที่นุ่งไว้ออก ผมเลยต้องรีบเอามือขึ้นมาปิดตา กลัวว่าจะสั่นไปทั้งตัวตามที่พี่โชว์บอกจริงๆ
“ไอ้พี่บ้า! ผมยังไม่อยากตาบอดเพราะเห็นหางจิ้งจกพี่นะ”
“ใครบอกหางจิ้งจก ของพี่เนี่ยโบอาร์งูยักษ์รู้จักเปล่า” ผมบอกว่าเกลียดเขาได้ไหม? ไม่ใช่เกลียดพี่โชว์นะ แต่เกลียดคำเปรียบเปรยที่ผมนึกภาพตามนั่นต่างหาก
“พอเหอะผมจะอ้วก นุ่งผ้าให้มันดีๆเลย”
“ก็เปิดตาดูดิ พี่ยังไม่ทันจะแก้สักหน่อย ดรีมต่างหากที่คิดไปเอง” คำพูดของเขามันล่อแหลมขนาดนั้น มีใครบ้างจะไม่คิด ดีนะที่พี่โชว์ยังมีความอายหลงเหลืออยู่บ้าง เขาถึงยังยืนนุ่งผ้าขนหนูด้วยท่าทางโคตรจะอ่อยเหมือนเดิม
“มาหาพี่ยามวิกาลหมายความว่าไง” พี่โชว์เลิกคิ้วมองมาที่ผม
“ก็จะมาคุยเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไง แต่ก่อนคุยพี่ไปใส่เสื้อผ้าให้มันดีๆก่อนไป”
“ใส่แบบนี้มันไม่ดีตรงไหน?”
“ทุกตรงอ่ะ จะใส่ไม่ใส่ ไม่ใส่ผมกลับห้องนะ” ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมทำจริง ขาข้างขวาผมมันเตรียมก้าวเดินกลับห้องทันทีถ้าพี่โชว์ยังเล่นตัว
“ก็ได้ๆ งั้นเข้ามาก่อน เดี๋ยวไปใส่เสื้อผ้าให้”
ผมเดินตามเข้ามาในห้องที่เพิ่งจะเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก ห้องพี่โชว์สมกับเป็นห้องผู้ชายที่แท้จริง เสื้อผ้าวางเกะกะไปทั่วห้อง จนหาความดูดีไม่เจอ ส่วนที่นอนก็หมอนไปทาง ผ้าห่มไปทาง นอกจากหน้าตาเจ้าของห้อง ผมขอพูดเลยว่าห้องนี้ไม่มีอะไรดูดี
“รกหน่อยนะดรีม พี่ไม่ได้เก็บมาเป็นอาทิตย์ๆล่ะ”
“ผมเชื่อพี่โชว์” ไม่เชื่อก็บ้าแล้ว ขนาดกางเกงในยังพาดอยู่บนพนักพิงเก้าอี้เลย ให้ตายเถอะ!
“พี่โชว์ ช่วยเอากางเกงตัวน้อยของพี่ไปใส่ตะกร้าได้ปะ ผมจะได้นั่งเก้าอี้” พี่โชว์ในชุดนอนเรียบร้อย รีบเดินมาหยิบกางเกงตัวน้อยไปเก็บทันที ด้วยท่าทีเขินๆอายๆ พี่โชว์ก็คงไม่คิดมั้งว่าจะมีคนเข้ามาในห้องในเวลาแบบนี้ เลยปล่อยให้น้องมาพาดเก้าอี้เล่นๆ
“ว่าไงเรา มีไรจะคุยกับพี่” พี่โชว์กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มหลังจากที่เอากางเกงไปเก็บแล้วเรียบร้อย
“เรื่องวันนี้พี่โชว์อย่าเล่าให้พ่อผมฟังได้ไหมพี่”
“ทำไมละ”
“เรื่องนี้มันไม่ได้หนักหนาอะไร จนถึงขั้นที่จะต้องบอกพ่อไงพี่โชว์ ถ้าพ่อรู้พี่โชว์ก็จะเหนื่อยเพิ่มขึ้นนะ เพราะยังไงพ่อก็ต้องให้พี่โชว์มาคอยตามติดดูแลผมยิ่งกว่าเดิม พี่ชอบหรอแบบนี้” ไม่รู้ว่าพ่อผมไปติดสินบนอะไรให้พี่โชว์ พี่โชว์ถึงได้ดูแลทำตามที่ผมบอกได้ดีขนาดนี้ ตามดูแลแทบจะทุกฝีก้าว
“ดรีม พี่จะบอกอะไรให้นะ” สายตาพี่โชว์มองผมด้วยความจริงจัง ผิดจากปกติที่จะเป็นสายตาขี้เล่น จ้องจะลวนลาม “พี่ไม่เคยเหนื่อยที่ต้องดูแลดรีม” ทั้งคำพูดน้ำเสียงพี่โชว์จริงจังมาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาเจ้าเล่ห์กับน้ำเสียงยียวน ในประโยคต่อมา “แค่ดรีมให้พี่ลูบๆคลำๆก็พอแล้วแหล่ะ”
“โอ๊ย! ตอนแรกก็เป็นคนดีนะ แต่พอฟังจนจบ พี่โชว์แม่งก็เหมือนเดิมอ่ะ! ทุกวันนี้ผมยังสงสัยอยู่เลย ว่าเมื่อ3เดือนที่แล้วพ่อเห็นอะไรในตัวพี่ ถึงได้มั่นอกมั่นใจ ไว้ใจพี่ขนาดนี้”
3เดือนที่แล้วก็คือช่วงที่พ่อผมกับพ่อพี่โชว์มาเจอกัน พอรู้ว่าผมจะเรียนคณะเกษตร ลุงเชพ่อพี่โชว์ก็เลยให้พี่โชว์มาติวให้ผม จนสอบติดมหา’ลัยเดียวกัน หลังจากนั้นพ่อก็มอบหมายผมให้พี่โชว์ดูแลผมจนถึงตอนนี้ เรียกได้ว่าทุกอย่างในชีวิตผมที่นี้ อยู่ในสายตาพี่โชว์ทั้งหมด
“พี่ก็เป็นคนดีไง พ่อดรีมเลยไว้ใจพี่” คนหล่อยังคงลอยหน้าลอยตาตอบอย่างหน้าหมั่นไส้
“ไม่คุยด้วยแล้ว ผมจะกลับห้อง”
“เดี๋ยวซิ พี่ยังคุยกับดรีมไม่จบเลย” พี่โชว์จับข้อมือยื้อผมไว้ ไม่ยอมให้ผมกลับห้อง ไม่รู้ว่ามือจะไวไปไหน
“ปล่อยพี่โชว์ ผมจะกลับไปนอน”
“พี่ยังไม่ให้กลับ เจ้าของห้องยังไม่อนุญาตจะออกได้ไง” แรงดึงจากมือหนาฉุดให้ตัวผมขยับเข้าไปใกล้เขายิ่งกว่าเดิม นอกจากมือจะไวแรงยังเยอะอีกต่างหาก
“ตรรกะอะไรของพี่เนี่ย ปล่อยผม” เราสองคนยื้อกันไปกันมา ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายแพ้ เสียหลักเซลงไปนั่งทับตักพี่โชว์ และดูเหมือนพี่โชว์จะอยากให้สถานการณ์มันเป็นแบบนี้หรือเขาวางแผนไว้แต่แรกก็ไม่รู้ เพราะหลังจากผมล้มลงไปเขาก็รีบใช้แขนทั้งสองข้างมากักตัวผมไว้ กลายเป็นเราแทบจะสิงร่างกันอยู่บนเตียงนอนรกๆของพี่โชว์
“ทำอะไรเนี่ย มากอดผมทำไมพี่โชว์ ปล่อยเลยนะ”
“ถ้าปล่อยกะหนีดิ พี่พูดดีๆแล้วดรีมไม่อยู่ พี่ก็ต้องใช้กำลัง” เสียงทุ้มที่นุ่มนวลดังอยู่ใกล้ๆหูผมพร้อมกับเสียงลมหายใจที่ได้ยินแล้วขนลุกไปทั้งตัว
ไม่ว่าผมจะดิ้นแรงแค่ไหน แขนพี่โชว์ก็ยังกอดผมไว้ได้แน่นเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าจะแข็งแรงไปไหน
“ดรีมหยุดดิ้นก่อน” เสียงพี่โชว์เข้มขึ้นเมื่อผมดิ้นไม่หยุดอยู่บนตักเขา
“ไม่หยุด! พี่ก็ปล่อยผมก่อนดิ!” ยิ่งบอกให้หยุดผมก็ยิ่งดิ้นตามประสาเด็กหัวดื้อไม่ฟังอะไรง่ายๆ
“ยิ่งดรีมดิ้นมันก็ยิ่งเสียดสีนะ ถ้าชอบก็ดิ้นต่อไป” เสียงพี่โชว์เข้มจนแทบจะกัดฟันพูด ผมหยุดขยับตัวแทบจะทันทีกับคำว่า ‘เสียดสี’
“อะ..อะไรเสียดสี”
“ดรีมนั่งทับพี่แบบนี้ อะไรเราเสียดสีกันอยู่ ก็อันนั้นแหล่ะ”
ผมนั่งทับตักพี่โชว์อยู่แบบนี้ จะบอกว่าแขนผมไปเสียดสีหน้าอกเขาก็คงจะไม่ใช่ จากที่ดิ้นสุดชีวิต ตอนนี้ผมนั่งนิ่งสงบไปเลย บรรยากาศในห้องก็เงียบตามไปด้วย ผมเลยต้องหาคำพูดมาทำให้ระหว่างเราสองคนไม่เงียบอีกต่อไป
“จะคุยอะไรก็รีบๆคุยดิ ผมง่วงแล้ว”
“เอาแขนที่โดนจับมาให้ดูหน่อย” ผมรีบยกแขนส่งให้พี่โชว์ดู เผื่อเขาดูสมใจจะได้ปล่อยผมไป
“เริ่มขึ้นรอยช้ำแล้ว เจ็บรึเปล่า?” พี่โชว์เอามือตัวเองมาลูบๆแขนผม ตรงที่มันขึ้นรอยช้ำ โดยที่มืออีกข้างก็ยังคงรั้งเอวผมไปกอดไว้ไม่ปล่อย
“นิดหน่อย” โดนจับจนขึ้นเป็นรอยช้ำสีม่วงขนาดนี้ จะบอกว่าไม่เจ็บเลยก็โกหกเกินไป
“เพี้ยงง!~ เดี๋ยวก็หายพี่เป่าให้แล้ว”
“พะ..พี่โชว์ ทำอะไรเนี่ย”
การสูญเสียอาการจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าพี่โชว์ไม่ก้มหน้าลงมาเป่าลมหายใจอุ่นๆรดบริเวณที่ผมเจ็บ แล้วยังกดริมฝีปากจูบลงไปในตำแหน่งนั้นอีก ให้ตายเถอะ!
“ยาวิเศษ ตอนเด็กๆแม่พี่ก็ทำให้แบบนี้ เวลาวิ่งล้มจะได้ไม่เจ็บ” คนที่ถอนจูบแล้วเงยหน้ามาอธิบาย
“แต่ผมไม่เด็กแล้วนะ ปล่อยเลย” คราวนี้พี่โชว์ว่าง่าย พอบอกให้ปล่อย ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ผมเลยรีบวิ่งกลับห้องตัวเองทันที
ตึก..ตึก..ตึก..ตึก
“ทำไมหน้ากูร้อนแบบนี้วะ” พอกลับมาถึงห้อง สิ่งแรกที่รู้สึกเลยคือหน้าตัวเองมันร้อนมาก จนผมต้องรีบไปส่องกระจกดู
“ทำไมแดงแบบนี้ด้วยวะ” นอกจากหน้าจะแดง มันยังลามไปถึงหู ที่แดงอย่างปิดไม่มิด ให้ตายเถอะ เพราะไอ้พี่โชว์แน่ๆเลย เพราะยาวิเศษเพี้ยงนั่นแน่ๆเลยผมถึงเป็นแบบนี้
@มหา'ลัยS
ผมรีบแหกขี้ตาตื่นมามหา’ลัยแต่เช้าก่อนจะเจอพี่โชว์ ปกติผมกับพี่โชว์จะมาด้วยกันตลอด เพราะตารางเรียนเรามีเรียนพร้อมกันทุกวัน และที่สำคัญพี่โชว์มีรถและผมขับรถไม่เป็น เลยต้องอาศัยเขาเวลาจะไปไหนมาไหน แต่เป็นเพราะเรื่องที่เขาจูบแขนผมเมื่อคืนไง ผมเลยรู้สึกกระดากกระเดื่อง ถ้าต้องมาเห็นหน้าพี่โชว์แต่เช้าแบบนี้ ขอหนีนั่งรถประจำทางอย่างลำบากมามหา'ลัยเองดีกว่า
ผลั่ก!
“ขอโทษครับ” ผมรีบขอโทษคนที่ผมเดินไปชนเขาแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะมัวนึกถึงฉากที่ริมฝีปากพี่โชว์จรดลงบนแขนผมเมื่อคืนจนไม่ได้มองคนรอบข้าง
“ไม่เป็นไร เพราะพี่ตั้งใจมาคุยกับน้อง” เสียงเล็กสไตล์ผู้หญิงดังขึ้น พร้อมกับมือเธอที่เอื้อมมาจับแขนผมเอาไว้ เหมือนกลัวว่าผมจะหนีเธอ
“ผมกับพี่เคยรู้จักกันหรอ?” ในเมื่อเธอแทนตัวเองว่าพี่ ผมก็เรียกเธอว่าพี่ไปซะเลย
“เราไม่เคยเจอกัน แต่เพื่อนพี่เคยเจอน้อง” พูดจบเธอก็ออกแรงดึงแขนให้ผมเดินตามเธอไป ถึงแม้จะไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป เพราะเธอแรงเยอะซะเหลือเกิน ขนาดผมสะบัดแขนแรงๆมือเธอยังไม่หลุด แรงเยอะขนาดนี้หญิงแท้หรือหญิงเทียมกันแน่วะเนี่ย?
“แล้วไง พี่เป็นทาสเขาหรอถึงต้องมาพาตัวผมไปเจอเพื่อนพี่”
“มันเรื่องของฉัน เดินตามมาเร็วๆก็พออย่าขัดขืน บางทีวิชามวยไทยพี่อาจจะเอามาใช้กับน้องก็ได้นะ” เรียนมวยไทยมานี่เอง มิน่าแรงเธอถึงเยอะ ผมปล่อยให้เธอลากผมมาจนถึงหลังตึกแพทย์ ที่ไม่ค่อยมีใครผ่านมาสักเท่าไร เพราะเป็นตึกที่อยู่ท้ายสุดของมหา’ลัย พอมาถึงเพื่อนเธอคนที่ว่าก็ยืนรออยู่แล้ว พร้อมกับเพื่อนอีก2คน
ผู้หญิงผมสั้นที่ผมเจอเมื่อวานนั่นเอง แค่มองหน้าผมก็พอรู้ว่าคงไม่พ้นเรื่องผู้ชายที่ชื่อโชว์ ทำไมเขาชอบไปอ่อยเรี่ยราดแล้วมาวุ่นวายที่ผมแบบนี้ด้วย!
“พี่มีอะไรถึงได้ลากผมมายันนี่ เรื่องพี่โชว์งั้นหรอ?”
“งั้นพูดตรงๆเลยแล้วกันนะ พี่เป็นเมียโชว์ นายเป็นอะไรกับโชว์?” ผมไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงเรียนแพทย์ปีสูง จะกล้าพูดบอกคนอื่นว่าเป็นเมียได้หน้าตาเฉยแบบนี้ คราบสาวน้อยเรียนแพทย์ที่ผมเห็นเมื่อวานไม่หลงเหลือเลยสักนิด
“ผมจะบอกให้นะ” ผมขยับเข้าไปใกล้เธอ “พี่ไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่พี่โชว์เขานอนด้วย และก็ไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย” อันนี้ผมพูดจริง แต่ไม่รู้ว่าเธอจะเชื่อไหม
“วิวจัดมันเลยไหม” เพื่อนเธอที่จับผมมาแทบจะต่อยผมทันที ที่ผมพูดจาไม่ให้เกียรติเพื่อนเธอ เพื่อนที่เหลืออยู่ก็แลเป็นเดือดเป็นร้อน ทำท่าจะเข้ามาตบผมให้ตายคามือ
“ผมเป็นอะไรกับพี่โชว์มันก็ไม่เกี่ยวกับพี่ จะทำอะไรก็หัดเกรงใจชุดกราวน์ที่ใส่อยู่บ้างนะถ้าพี่มีสมองมากพอที่จะคิดไตร่ตรอง” คราวนี้ผมยืนกอดอกมองหน้าพวกเธอทุกคน เหอะ! ไม่รู้ซะแล้วว่าปากผมมันร้ายขนาดไหน “และอีกอย่างถึงพี่จะตบผมทำร้ายผมไป คนอย่างพี่โชว์ก็ไม่กลับไปหาพี่อยู่ดี พี่ก็น่าจะรู้คำตอบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ หรือแค่ยังไม่รับความจริง”
“…..”
“แล้วการที่พี่ไปลากผมมาถามว่าเป็นอะไรกับพี่โชว์ แล้วประกาศว่าตัวเองมีความง่ายในการถ่างขาขนาดไหน รู้ไหมครับว่ามันไม่ได้ทำให้ตัวพี่ดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ให้เกียรติเสื้อกาวน์สีขาวบ้างนะครับ” ผมจบประโยคนี้ด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดส่งไปให้กับเธอ
เธอคิดอะไรอยู่ว่าคนที่ฮอตระดับพี่โชว์ จะหวนกลับไปกินของเดิม ถึงพี่โชว์มันจะไม่ใช่ผู้ชายแบดบอย เจ้าชู้คบหลายคน ฟันแล้วทิ้งเหมือนคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะชอบกินของซ้ำๆจำเจสักหน่อย แต่พี่โชว์จะเป็นประเภทกินเงียบๆกินทีละคน พอกินสมใจแล้วพี่มันก็จะสลัดทิ้งแบบนี้ไง จะกินนานหรือเร็วก็อยู่ที่ว่าอีกคนถูกใจพี่เขาขนาดไหนก็แค่นั้น
เพี้ยะ!
หน้าผมหันไปตามแรงมือที่มาปะทะกับแก้ม ความรู้สึกเจ็บแล้วก็แสบบนผิวตามมาติดๆ คนที่ตบผมก็ไม่ใช่คนอื่นเป็นเธอนั้นแหล่ะ พอผมพูดแทงใจดำเธอก็เก็บอาการไม่อยู่ เลยลงไม้ลงมือแบบนี้ ดวงตาโตแดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตามองผมอย่างโกรธแค้น และผมก็แค้นเธอไม่ต่างกัน เกิดมาจากท้องแม่แม้แต่พ่อยังไม่เคยตี เธอกล้าดียังไงกันว่ะ
ผลั่ก!!
ผมผลักเธอกลับทันที เธอเป็นผู้หญิงที่ตัวเล็กคนหนึ่ง พอโดนแรงผู้ชายแบบผมเข้าไปก็เซล้มไม่เป็นท่า เพื่อนเธอที่เหลือก็รีบเข้าไปประคอง ทำตัวเหมือนคนใช้ไม่ใช่แค่เพื่อน
“เป็นผู้ชายอะไรรังแกผู้หญิง” เพื่อนเธอก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเธอจริงๆ คนที่โดนผลักไม่พูดอะไรสักคำ
“จะบอกไว้ให้นะ ผมไม่ตบเพื่อนพี่คืนก็ดีเท่าไรแล้ว อย่าเอาคำว่าผู้หญิงผู้ชายมาอ้าง คนแบบผมไม่สนเพศสนอะไรทั้งนั้นแหล่ะ” เพื่อนเธอแค่เซแล้วล้มลงไป มีแค่ฝุ่นที่เปื้อนตามเสื้อผ้า แต่ผมนี้ดิ รอยนิ้วมือขึ้นที่แก้มแล้วมั้ง
ผู้หญิงคนที่ลากผมมาที่นี้ เดินเข้ามาหาทำท่าจะจัดการกับผม ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่น และเตรียมปล่อยหมัดใส่หน้า โชคดีที่ผมอ่านเกมออกเลยหลบหมัดเธอได้ทันและอาศัยจังหวะที่เธอต่อยพลาดถีบเข้ากลางลำตัว จนล้มไม่เป็นท่าไปอีกคน จะลุกก็ลุกไม่ขึ้นเพราะผมถีบโดนท้องเธอไป คงน่าจะจุกไม่น้อย
“ไปคุยกับพี่โชว์เอาเองแล้วกัน ผมจะไปเรียน” ผมไม่อยู่รอให้พวกเธอมารุมหรอกนะ พูดจบก็รีบวิ่งหนีออกมา รู้งี้อยู่เจอหน้าพี่โชว์ยังดีกว่ามาเจอฝ่ามือซะอีก แรงเยอะชะมัด!
ผมหันหลังวิ่งหนีออกมาจากตรงนั้นโดยไม่หันกลับไปมองอีกเลยว่ามีใครวิ่งตามมารึเปล่า
หมับบ!
ตัวผมลอยไปตามแรงกระชากจากข้างทาง เข้าไปซอกแคบๆข้างตึก จะร้องให้ใครช่วยก็ไม่ได้ในเมื่อไอ้คนที่ลากมามันเอามือมาปิดปากไว้ ผมทำได้แค่ดิ้นและจิกมือไปตามหลังมือที่ปิดปากผมเอาไว้
“อื้อๆๆๆ!! อื้อออ!!”
“ชู่ววว~ เบาเสียงสิ” เสียงทุ้มที่ติดจะนุ่มนวลพูดกับผมเบาๆ
ผมพยายามจะมองหน้าเขาว่าคือใคร ถึงได้ฉุดผมเข้ามาในซอกที่ทั้งเล็กทั้งแคบแบบนี้ แต่ด้วยส่วนสูงและระยะที่เรายืนชิดกัน ผมทำได้แค่มองหน้าอกเขาเท่านั้นจริงๆ
“ไปทำไรมาพวกวิวถึงวิ่งตามเรามาแบบนี้” เสียงฝีเท้าหลายคู่เพิ่งวิ่งผ่านซอกที่เรายืนกันอยู่ไป ผมเดาก็คงไม่พ้นผู้หญิงกลุ่มนั้น
“โทษทีๆ” อีกฝ่ายปล่อยมือที่ปิดปากผมเอาไว้ออก เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าทำไมผมไม่ตอบคำถามเขา
“เรื่องไร้สาระ แล้วดึงเข้ามาทำไม โรคจิตปะเนี่ย” ผมขยับตัวทำท่าจะหาทางหนีเมื่อรู้ว่าที่ตรงนี้อาจจะไม่ปลอดภัย
“พี่ช่วยเราอยู่นะเนี่ย จะเป็นโรคจิตได้ไง” เขาตอบผมด้วยน้ำเสียงที่กลั้วหัวเราะ “ถ้าพี่ไม่ช่วยพวกวิวตามเราทันไปตั้งนานแล้ว”
“เออๆ ขอบคุณแล้วกัน” ผมมัวแต่พะวงกับผู้หญิงพวกนั้นเลยไม่ได้สนใจผู้ชายที่ยืนตรงหน้าเท่าที่ควร “ไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน” อีกฝ่ายดึงข้อมือผมเอาไว้ รั้งให้ผมอยู่กับเขาต่อ
ผมแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ด้วยการสะบัดมือนั่นทิ้ง คนตรงหน้าจบการกระทำทุกอย่างของผมด้วยการขยับระห่างของเราให้เหลือน้อยยิ่งกว่าเก่า ขยับโน้มใบหน้าที่สุดแสนจะคุ้นตาเข้ามาใกล้ผม
“เดย์..”
“เดย์อะไร พี่ชื่อเวย์ เดย์นั่นน้องพี่เอง” คนที่เพิ่งแนะนำตัวจบส่งยิ้มบางมาให้
ถ้าหากมองแค่ผ่านตาผมก็ต้องยอมรับว่าเหมือนเดย์ ถ้าพอลองมองดีๆ เขาแค่คล้ายไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น ทั้งแววตาที่มองมา ทรงผมที่ต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะเครื่องแบบที่คนตรงหน้าผมสวม เดย์ใส่ช็อป ส่วนคนนี้สวมกาวน์สีขาวสะอาดตา แถมตรงริมฝีปากหยักยังประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาที่เราสนทนากัน
“งั้น..ไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน” บุคคลที่ชื่อว่าเวย์ดึงกระเป๋าเป้ผมไว้ “รู้จักเดย์ด้วยหรอ” ผมพยักหน้าตอบเขา และอยากจะบอกเพิ่มไปด้วย ว่าไม่ได้อยากรู้จัก แต่น้องชายเขาต่างหากที่อยากจะรู้จักผมจนตัวสั่น
“ไม่ได้อยากจะรู้จัก” พอได้ยินคำตอบของผมริมฝีปากของเวย์ยกยิ้มขึ้นอย่างขำขัน พร้อมกับเคลื่อนใบหน้าที่ดูดีของเขาเข้ามาสบตาผม
“แล้วอยากรู้จักเวย์ปะ”