แม้ว่าพี่โชว์มันจะพูดจาลวนลามหรือมือไม้ถึงเนื้อถึงตัวไปหน่อย ผมก็ไม่สามารถหนีเขาไปได้ไกล เพราะทั้งมหาวิทยาลัย ผมรู้จักพี่โชว์อยู่คนเดียว ไม่งั้นผมคงไม่เดินไปหาพี่โชว์ที่แปลงเกษตรหรือห้องเรียน ทุกๆพักเที่ยงหรอก เหตุผลที่ผมยังไม่มีเพื่อนก็คงเป็นเพราะไอ้พี่โชว์นี่ด้วย พอทุกคนรู้ว่าผมสนิทกับพี่โชว์ พวกเขาเลยพยายามเข้าหาผมเพื่อหวังเข้าใกล้พี่โชว์ ไม่ก็ให้ผมช่วยติดต่อเรื่องพี่โชว์ จนผมรำคาญเลยเลือกจะอยู่คนเดียวแบบนี้ไปเลยดีกว่า ผมไม่ได้ลำบากอะไรอยู่แล้ว
ผมเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในชีวิตเยอะๆ ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร บวกกับเป็นพวกชอบเอาแต่ใจ อะไรไม่ถูกใจไม่พอใจจะพูดออกมาทันที โดยที่ไม่แคร์ด้วยว่าคนๆนั้นจะรู้สึกยังไงกับคำพูดที่ผมใช้กับเขา เห็นได้ชัดจากคำพูดที่ผมใช้พูดกับพี่โชว์
ผมมีดวงตาเรียวที่ปลายเชิดขึ้นยิ่งทำให้หน้าตานั้นหยิ่งยโส แค่ปรายตามองใคร เขาก็คิดว่าผมหาเรื่องไปซะหมด เลยทำให้ไม่มีใครกล้าจะมาทำความรู้จัก ถ้าไม่ใช่เรื่องพี่โชว์ ยกเว้นบุคคลจำพวกหนึ่งที่ชอบมาเข้าหาผมจนน่ากลัว..
“ไปเรียนหรอน้อง” เสียงและประโยคคำพูดที่แสนจะคุ้นหู ทำให้ผมต้องหยุดเดินแล้วกลับหลังหันไปมอง
คนที่เรียกผมคนนั้นกำลังยืนมองผมอยู่ในชุดเสื้อช็อปสีแดง มีผิวขาวโดดเด่นกว่าใครทุกคนที่อยู่บริเวณนี้ ผมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย เพื่อนในคลาสไม่มีใครอยากจะคุยกับผม ผิดกับไอ้คนใส่เสื้อช็อปห้อยเกียร์อยู่ตรงหน้าลิบลับ เพราะมันแม่งโคตรจะทำทุกอย่างเพื่อที่ให้ผมคุยกับมันเลย
“เสือก” ผมละความสนใจจากเขา แล้วกลับมาเดินหน้าต่อ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ละความพยายาม เขาวิ่งมาตีตื้นจนเดินขนาบข้างกับผมจนได้
“เจอกันกี่ครั้งน้องไม่เคยพูดดีกับพี่เลยนะ” เขาพยายามจะเดินดักหน้าให้ผมหยุด แต่ผมก็เบี่ยงตัวหลบเขาทันทุกครั้ง
“ไม่อยากพูด”
“แต่พี่โคตรอยากคุยกับน้องอ่ะ อยากรู้จัก” อีกฝ่ายก็ยังเซ้าซี้ไม่เลิก ขนาดผมมองด้วยหางตาทำท่าทีไม่พอใจ เขาก็ยังไม่สนใจ
“นี่ จะไม่ตอบจริงๆหรอว่าไปไหน” เมื่อผมไม่ยอมตอบคำถาม เขาเลยเปลี่ยนมากระตุกกระเป๋าสะพายหลังของผมแทน เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ผมคุยด้วย
“ต้องการอะไรกันแน่ อุตสาไม่เดินผ่านตึกวิศวะแล้วนะ ยังจะตามมาได้อีกหรอ” ปกติถ้าจะไปอาคารเรียนรวมก็ต้องเดินผ่านตึกวิศวะเพราะมันใกล้สุด แต่วันนี้ผมยอมเดินอ้อมเลยนะเพื่อที่จะได้ไม่เจอเขา แต่ก็ยังจะเจอ
“ต้องการรู้จักน้องไง” สุดท้ายเขาก็สามารถดึงกระเป๋าผมไว้ จนผมเดินหนีต่อไปไม่ได้อีก
“รำคาญนะรู้ตัวไหม”
“ไม่อยากรำคาญก็บอกชื่อมาดิ พี่ตามมาเป็นอาทิตย์ๆแล้วนะ ไม่สงสารหน่อยหรอ” อีกฝ่ายพูดพร้อมกับทำหน้าตาน่าสงสาร ที่ผมเห็นแล้วโคตรรำคาญสายตา
“ถ้าตอบแล้วจะปล่อยใช่มั้ย”
“ใช่ พี่จะปล่อยน้อง”
“ปล่อยก่อนดิ ถึงจะบอก” อีกฝ่ายดูลังเลกับข้อต่อรองที่ผมบอกไป
“เร็วๆดิ อยากรู้จักชื่ออยู่มั้ยเนี่ย” ผมเริ่มเร่งเร้าให้เขารีบตัดสินใจ
“ถ้าปล่อยแล้วน้องหนีพี่ละ…. พี่จะทำไง” ทำเป็นฉลาดรู้ทันอีก!
“อย่าทำตัวให้น่ากลัวไปมากกว่านี้เลย ทุกวันนี้ยังเหมือนโรคจิตไม่พอหรอ”
“ปากร้ายจัง”
“เออ! ร้ายได้มากกว่านี้ถ้าเข้าเรียนสาย ปล่อยได้แล้ว” ผมสะบัดตัวแรงๆทำให้เขาเห็นว่าผมต้องการให้เขาปล่อยมือออกไปเร็วๆ แล้วเขาก็ยอมปล่อย ผมเลยรีบกลับหลังหันหน้ามาเผชิญกับเขา
“บอกไว้เลยนะ ถ้าผมไม่อยากรู้จักใคร ก็คือไม่อยากรู้จัก เพราะงั้นเรื่องชื่อไว้ผมอยากรู้จักผมจะบอก” พูดจบผมก็ใส่เกียร์หมาวิ่งหนีทันที เขาทำท่าจะวิ่งตามมาแต่สุดท้ายก็หยุด ถ้าวิ่งตามมาจริงๆผมคงหนีไม่พ้น ความยาวช่วงขามันบ่งบอกอยู่แล้ว
กว่าจะวิ่งมาถึงห้องเรียนก็เหงื่อท่วมหลัง โชคยังดีที่อาจารย์ยังไม่เข้าสอน ผมเลยมีเวลานั่งเล่นโทรศัพท์รับแอร์เย็นๆ โต๊ะมุมหลังสุดของห้องคือที่นั่งประจำสำหรับผม
ผมกำลังจะเสียบหูฟังเข้าโทรศัพท์ อาจารย์ก็เข้าห้องมาพอดี เลยต้องเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างลง แล้วหยิบชีทเรียนกับปากกาขึ้นมาแทน วิชานี้เป็นวิชาพื้นฐานผมเลยต้องตั้งใจ เพราะมันตัดเกรดรวมกับคณะทั้งหมดในมหา’ลัย
“ยืมปากกามั้งซิ” เสียงคนที่เพิ่งมานั่งข้างๆพร้อมกับกระซิบบอก กลัวคนอื่นได้ยินหรือกลัวโดนหักคะแนนที่เข้าห้องช้ารึเปล่าก็ไม่รู้ ผมหยิบปากกาส่งให้ไปเพื่อตัดความรำคาญกับปัญหา
“นี่ๆ ขอดูมั้งดิ” ผ่านไปสักพักเสียงกระซิบนั้นก็ดังขึ้นอีก พร้อมกับนิ้วที่จิ้มแขนผมไม่หยุด
“อะไรนักหนาว่ะ เรียนไม่ทันก็ออกไปข้างนอก” ผมกระซิบบอกเขาไปโดยที่สายตาไม่ละไปจากอาจารย์หน้าห้อง
“น้องขี้หวงอ่ะ พี่ขอดูนิดเดียวเอง” ไอ้คำว่าพี่ๆน้องๆของเขามันกระตุ้นความสนใจ จนผมต้องละสายตามามอง
“ไอ้! อื้อ!!! อื้ออๆๆ!!!” ผมลืมตัวเผลอพูดเสียงดัง จนอีกฝ่ายต้องรีบเอามือมาตะคุบปิดปากเอาไว้ เพราะกลัวอาจารย์กับคนในคลาสจะหันมามอง
นี้เท่ากับว่าที่ผมวิ่งหนีเขามามันก็เปล่าประโยชน์สิ!
“เบาๆดิน้อง เดะโดนเรียกขึ้นมาทำไง” ถึงจะไม่พอใจขนาดไหน ผมก็ต้องยอมเงียบเพราะกลัวจะโดนเรียกออกไปหน้าห้อง
“โรคจิตใช่ไหมถึงตามมายันห้อง”
“พี่เปล่า พี่มาเรียนต่างหาก” อีกฝ่ายยกชีทเรียนขึ้นให้ดู ซึ่งมันก็เป็นชีทของวิชานี้จริงๆ
“นี้มันวิชาของปี1 ปีอื่นเกี่ยวอะไรด้วย?” ที่รู้ว่าเขาไม่ใช่ปี1ก็เพราะเสื้อช็อปที่ใส่กับเกียร์ที่ห้อยมันฟ้องไง ในเมื่อวันชิงธงที่โด่งดังของวิศวะยังไม่จัดเด็กปี1จะมีเกียร์กับเสื้อได้ยังไง
“ก็..”คนข้างๆทำท่าอึกอักเหมือนไม่อยากจะพูด แต่สุดก็ยอมบอกกับท่าทางเขินอาย
“ก็เรียนตก ….ก็ต้องมาแก้ดิน้อง”
“หึ! โง่”
“ถึงจะโง่แต่ก็มีเวลาอยู่กับน้องล่ะกัน”
ถึงแม้ผมจะไม่ชอบขี้หน้าเขา แต่ก็ต้องยอมนั่งเรียนข้างๆให้หมดๆชั่วโมงไป คาบเรียนหน้าผมคงต้องหาที่นั่งใหม่ ที่ที่เขาจะตามมานั่งก่อกวนผมแบบอาทิตย์นี้ต่อไม่ได้
“เลิกเรียนแล้วไปเล่นบอลกับพี่ปะ” คนตัวสูงกว่ายืนขวางทางเดินออกกักตัวผมเอาไว้ไม่ให้เดินหนีเขาได้ หลังจากที่นั่งเรียนด้วยกันมาเป็นชั่วโมง ไม่ว่าผมจะขยับซ้ายหรือขวาเขาก็ตามไปซะทุกทิศทาง
“รำคาญวะ ถอยไป” ผมพยายามจะเดินหนีเขาออกจากห้อง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ละความพยายาม ยังคงยืนบังขวางทางผมอยู่แบบนั้น ขนาดโดนผลักไปตั้งหลายทียังจะทนอยู่
“ก็น้องผิดสัญญายังไม่ได้บอกชื่อพี่เลยนะ”
“ไปสัญญาด้วยตอนไหน” เท่าที่คุยกันผมยังไม่ได้พูดว่าสัญญาเลยสักคำ
“ทำไมลืมกันง่ายแบบนี้ล่ะ พี่เสียใจนะ”
“น่ารำคาญว่ะ” ผมผลักเขาสุดแรงอีกครั้ง จนอีกฝ่ายเซไปหลายก้าว ผมเลยรีบเดินหนีเขาออกมานอกห้อง ขื่นอยู่ในห้องต่อผมก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัย เพราะคนที่เหลือก็ออกไปกันหมดแล้ว ในห้องมันแทบจะมีแค่เราสองคน
“เฮ้ย! กันไว้!” เสียงเขาตะโกนไล่หลังผมมา
ผมไม่รู้ว่าเขาคุยกับใคร จนกระทั่งเดินออกมาถึงหน้าประตูถึงเข้าใจ ผู้ชายใส่เสื้อช็อป 4-5 คน ยืนขวางประตูจนผมไม่สามารถเดินออกไปได้ เลยได้แต่ยืนอยู่กับที่ จนเพื่อนมันที่เป็นคนสั่งเดินเข้ามาประชิดตัวผม
“ อยากรู้จักหรือว่าจะหาเรื่องกันแน่” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาให้เพื่อนตัวเองมารุมกันผมไว้แบบนี้ ในโรงอาหารเขาก็เคยทำแบบนี้ ผมเลยต้องให้พี่โชว์มานั่งเป็นเพื่อนไง
“พี่ไม่กล้าหาเรื่องน้องหรอก พี่อยากรู้จักน้องจริงๆ แต่น้องนั้นแหละที่ไม่ยอมให้พี่รู้จัก ชอบพาคนมาขวาง” เขาน่าจะหมายถึงพี่โชว์ที่มาอยู่เป็นเพื่อน กันเขาไม่ให้เข้ามาหาผมได้
“พี่ชื่อเดย์ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อีกฝ่ายแนะนำตัวพร้อมกับยกมือขึ้นมารอเชคแฮนด์ แต่โชคร้ายไปหน่อยที่โดนผมปัดมือข้างนั้นทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่ผมไม่อยากรู้จัก เข้าใจได้ยัง” เดย์เหวอไปเลยทีเดียว ที่เจอผมทำแบบนั้นใส่ เขามองผมด้วยแววตาโมโหร้ายวูบหนึ่งแล้วก็หายไป เป็นสีหน้าปกติที่มีรอยยิ้มประดับเหมือนเดิม
Rrrr…
เหมือนพี่โชว์มีตาวิเศษถึงได้โทรหาผมได้ถูกจังหวะ ไม่เคยรู้สึกโชคดีที่มีพี่โชว์เท่าตอนนี้มาก่อน ผมกำลังจะกดรับสาย แต่ก็ถูกมือของอีกคนฉวยเอาโทรศัพท์ไปก่อน แล้วกดตัดสายทิ้งไปอย่างหน้าตาเฉย
“เอามา”
“ไว้เราไปกินข้าวกันเสร็จแล้วพี่จะคืนให้น้อง”
“ไม่ไป!” เดย์มันไม่ได้ฟังคำพูดผมสักนิดเดียว เขาถือวิสาสะจับแขนแล้วลากผมออกมาจากห้องเรียน โดยที่มีเพื่อนๆของเขาคอยดูต้นทาง และคอยเป็นหูเป็นตาให้
เดย์ยังคงพยายามลากผมให้มากับเขา จนลงมาถึงหน้าตึกรวมที่เรามาเรียน ขนาดมีคนหันมามองเดย์ก็ยังคงไม่สนใจ ยังเอาแต่ลากถูผมไปตามทาง ไม่สนแม้แต่อาการที่ดิ้นรนให้หลุดพ้นของผม
“มึงทำไรน้องกูวะไอ้เด็กเศษสวะ!!” เสียงทุ้มตะโกนดังมาอย่างดุดัน
ทั้งเดย์และเพื่อนต่างต้องหยุดแล้วกลับหลังหันไปมองต้นตอของเสียงพร้อมกัน ตอนนี้ผมยืนอยู่หลังสุดกับเดย์เลยไม่เห็นว่าใครเป็นคนที่พูด แต่เดย์น่าจะเห็นเพราะเขาตัวสูงกว่าผมมาก แต่บอกเลยว่าสะใจมาก! จากวิศวะกลายเป็นเศษสวะ
“ว่าไง! เด็กต่างคณะแบบพวกมึง! แล้วก็มึง! มาทำอะไรกับน้องในคณะกู” ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกไปสักคำ เอาแต่เงียบกันหมดรวมถึงเดย์ด้วย
“ไม่พูดก็ถอยไป!” เจ้าของเสียงไม่พูดเปล่า เขาจัดการผลักไอ้พวกที่ยืนอยู่หน้าผม จนเสียหลักทั้งเซทั้งล้มกันจนหมด จนมาถึงผมกับเดย์ ผมถึงได้รู้ว่าใครที่มาช่วยไว้ ‘พี่แทน’
“เอามือมึงออกไปจากน้องกู” พี่แทนกดสายตามามองมือเดย์ ที่จับแขนผมไว้จนแน่น พี่แทนพูดแค่นั้นแล้วใช้สายตาข่มขู่ สายตาเรียบนิ่งส่งผ่านมาจากดวงตาสีเข้ม มันน่ากลัวซะจนเดย์ยอมปล่อยมือ ผมก็ยังไม่ลืมรีบดึงโทรศัพท์ตัวเองในมือเดย์ติดมือมาด้วย แล้วรีบวิ่งมาหลบหลังพี่แทนประดุจว่าผู้ชายคนนี้คือเกาะป้องกันภัยให้ผมในเวลานี้
“ไป เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่ไอ้โชว์”
พี่แทนทิ้งสายตาข่มขู่ อาฆาตใส่พวกเดย์ที่ลุกขึ้นยืนได้แล้วทีละคน และดูเหมือนจะมองเดย์ด้วยสายตาที่แรงกว่าคนอื่น เดย์เองก็ดูจะไม่ยอมสักเท่าไร แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เดย์ต้องจำใจยอมพี่แทน รวมถึงเพื่อนๆเขาด้วย ขนาดโดนพี่แทนผลักพวกเขายังไม่ยอมตอบโต้ ไหนจะคำพูดหยาบคายที่พี่แทนว่าพวกนั้นด้วย ไม่มีใครกล้าต่อปากสักคำ
‘พี่แทน’ เป็นหนึ่งในกลุ่มพี่โชว์ ที่เรียกได้ว่าความฮอตไม่แพ้กัน แต่นิสัยค่อนข้างจะแตกต่างกันลิบลับ จำลองเหตุการณ์ได้ก็จะประมาณนี้ ถ้ามีหนอนมากัดต้นไม้ที่พี่โชว์ปลูก เขาก็จะจับหนอนมาปล่อยที่อื่น ให้มันเติบโตและมีชีวิต แต่ถ้าเป็นพี่แทน ก็จะบี้มันให้ตายแหลกเหลว จนหาซากไม่เจอ นั้นแหล่ะคือนิสัยของผู้ชายที่ชื่อแทน พี่โชว์จะเป็นคนสุภาพ พูดจาไพเราะไปทั่ว ต่างกับพี่แทนที่เลี้ยงหมาไว้เต็มปาก คำพูดที่หลุดออกมาจากปากพี่แทนแทบจะไม่ผ่านการกลั่นจากสมองว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควร แค่คิดออกแล้วก็พูดมันออกมา
“ทำไมถึงยอมให้มันลากมา” พี่แทนชวนผมคุยในขณะที่เรากำลังเดินไปหาพี่โชว์ ซึ่งน้ำเสียงที่เขาพูดกับผมก็ดุดัน น่ากลัว…
ผมไม่ได้สนิทกับพี่แทนเท่าพี่โชว์ แต่ก็พอพูดคุยด้วยได้ในระดับหนึ่ง เพราะผมไปรอพี่โชว์บ่อยๆเลยทำให้รู้จักกับรุ่นพี่คนอื่นๆในกลุ่มของเขาไปด้วย แต่ถ้านอกจากพี่แทนผมก็แทบจะไม่คุยกับใครเลย
“อะ…อะไร”
“พี่ถามว่าทำไมถึงยอมให้มันลากมา” พี่แทนถามย้ำอีกครั้ง ช้าๆชัดๆ
“สภาพผมดูเต็มใจหรอ” ผมแทบอยากจะเปลี่ยนคำพูดทันที เมื่อเห็นสายตาที่น่ากลัวของพี่แทนมองมาที่ผม “ก็พวกมันบังคับผมไง จะให้สู้เหมือนพี่ผมก็ทำไม่เป็นหรอกนะ”
“ให้ไอ้โชว์สอนซะซิ จะได้ป้องกันตัวได้”
“หึ อย่างพี่โชว์เขาสู้ใครเป็นด้วยหรอ นึกว่าขายอ้อยเป็นอย่างเดียว” ไม่เคยเห็นพี่โชว์มีเรื่องกับใครสักที มีแต่ฉีกยิ้มหวานไม่ก็ถอดเสื้อโชว์ชาวบ้าน ให้สมกับชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้
“ถ้าไอ้โชว์ไม่สอนก็บอก เดี๋ยวพี่สอนให้เอง” ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับไปโดยไม่พูดอะไร ถ้าให้พี่แทนสอนผมว่ากระดูกผมน่าจะหักก่อนจะต่อสู้เป็น ขนาดผู้ชายตัวใหญ่ๆพี่แกยังผลักซะปลิว
พี่แทนพาผมเดินมาจนถึงโรงอาหารคณะเกษตร ผมก็เห็นพี่โชว์กับเหล่ากลุ่มเพื่อนกำลังตั้งแก๊งค์นั่งกินขนมกันอยู่ บางคนก็ปลดกระดุมเสื้อ บางคนก็ใส่เสื้อยืดธรรมดา แต่ตัวพ่อนี่หนักสุดเลยเพราะแม่งเล่นถอดเสื้อจนเห็นเนื้อนมหนัง ถอดเสื้อไม่พอกางเกงยังโหลดเอวต่ำ เสียจนผมเสียวจะหลุดลงมาจากเอว ดีหน่อยที่ช่วงนี้เย็นแล้วคนในโรงอาหารเลยน้อย ไม่งั้นสาวๆคงมารุมล้อมความฮอตพี่โชว์จนเต็มพื้นที่
“ไอ้โชว์กูพาเด็กมาส่ง” ดวงตาสีเข้มแสดงความงุนงงบวกกับความไม่พอใจอย่างมากที่ผมมากับพี่แทนสองคน พร้อมกับเสียงเข้มที่เปิดปากถาม
“มึงไปเจอดรีมได้ไง”
“ไปเจอตอนผ่านตึกรวมไง เห็นไอ้พวกเศษสวะมันกำลังฉุดกระชากใครอยู่ ดีหน่อยที่จำกระเป๋าน้องมันได้กูเลยเข้าไปช่วย ถ้าไม่งั้นนะ หึ! ลองคิดเอาเองแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น” พอได้ยินที่พี่แทนพูด จากที่กำลังยิ้มแย้ม หัวเราะคิกคักกับเพื่อน พี่โชว์ก็หน้าบึ้งตึง รีบลุกขึ้นเดินมาหาผมทันที
“มันทำอะไรดรีมอีก ทำไมพี่โทรไปดรีมไม่รับสายละ พี่จะได้ไปช่วย”
“อยากรับจะตาย แต่มันแย่งไปไงผมจะทำไงได้”
“ไหนมันจับตรงไหน? เจ็บรึเปล่ามาดูซิ” พี่โชว์เริ่มสำรวจร่างกาย มองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า มองจากเท้าขึ้นมาที่ใบหน้าเหมือนกับเล่นเกมส์จับผิดว่ามีจุดไหนของผมที่เสียหายหรือแปลกไปบ้าง
“นี่ๆ แขนนี้เลย” พี่แทนที่อยู่ข้างๆก็ช่วยพี่โชว์อีกแรง ด้วยการชี้จุดที่ผมโดยเดย์จับแล้วลากไปกับเขา
“ไหนมาดูซิ!” พี่โชว์จัดการปลดกระดุมแขนเสื้อผมขึ้น แล้วถลกมันขึ้นจนเลยจุดที่ผมโดนจับ พอเห็นว่าบริเวณนั้นขึ้นรอยแดงเป็นรูปนิ้วมือ พี่โชว์ก็ยิ่งโมโห บ่นมายาวเหยียดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นพี่โชว์เป็นมาก่อน
“ทำไมต้องรุนแรงด้วยวะ ผิวดรีมบางขนาดนี้แค่จับเบาๆก็แดงแล้ว ต้องจับแรงขนาดไหนมันถึงขึ้นรอยนิ้วมือได้ขนาดนี้ว่ะ!” พี่โชว์ไม่ใช่คนที่จะหัวร้อนหรือใจร้อนกับเรื่องอะไรง่ายๆ มีครั้งนี้แหล่ะที่ผมเห็นเขาเป็นแบบนี้ครั้งแรก
“ผมไม่ได้เจ็บอะไรแล้ว” ผมพยายามดึงแขนตัวเองกลับมา แต่พี่โชว์กลับไม่ยอมปล่อย ยังคงมองรอยนิ้วมือนั่นไม่วางตา
“มันไปเจอดรีมได้ไง เด็กที่ไม่ใช่ปี1มันไม่ต้องเรียนตึกรวมไม่ใช่รึไง หรือว่ามันสะกดรอยตามดรีม”
“เปล่าหรอก เขาไม่ได้ตามผม”
“ทำไมมันถึงเจอดรีมที่ตึกได้?”
“ก็ไปเรียนคลาสเดียวกับผมไง มันก็เลยลากผมมาได้แบบนี้” ผมรู้สึกไม่ค่อยชินที่พี่โชว์เขาให้ความสนใจ และเป็นห่วงผมมากขนาดนี้ มากกว่าที่พี่น้องเขาจะเป็นห่วงกัน
คิดอะไรอยู่วะไอ้ดรีม!?
“ห้องเดียวกันใช่ไหม?” พี่โชว์ถามย้ำอีกครั้ง
“ใช่”
“งั้นดี! เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่ไปนั่งเรียนด้วย ดูดิ๊มันจะมาตามตอแยดรีมได้อีกไหม?” คำพูดของพี่โชว์เล่นทำเพื่อนๆของเขาตกใจไม่น้อย หน้าตาเหวอกันไปหมด ยกเว้นก็แต่พี่แทนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียว
“เฮ้ยไอ้โชว์! แล้วแปลงเพาะกล้ามึงละ? ไม่สนใจแล้วหรอรึไง”
“มึงก็ดูแลให้กูด้วยดิ กูมีต้นกล้าอีกต้นที่ต้องดูแล” ผมจะไม่รู้สึกเสียววูบที่สันหลังเลย ถ้าคำว่าต้นกล้าอีกต้นของพี่โชว์ ไม่มีสายตากรุ้มกริ่มของเขามองมาที่ผม
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ไหมพี่โชว์?”
“ไม่ได้หรอก เกิดดรีมโดนฉุดไป พ่อดรีมก็มาแหกอกพี่ตายพอดี พี่ยังไม่อยากคุยกับลูกซองพ่อเรานะ แล้วพี่ก็ไม่มีปัญญาหาลูกชายแบบดรีมมาชดใช้ด้วย เพราะ..” พี่โชว์เว้นวรรคคำพูดแล้วปล่อยแขนผมกลับที่เดิม ก่อนจะย่อตัวใช้มือยันหัวเข่าเพื่อทรงตัวให้ระดับสายตาเราสบกันได้พอดี
“ลูกพี่คงน่ารักไม่ได้เท่าดรีม”