(พี่ลงไปข้างล่างไม่ไหว รบกวนให้ดรีมช่วยซื้อข้าวกับผ้าพันแผลให้พี่หน่อยได้ไหมครับ?)
“อ่านอะไร คิ้วขมวดขนาดนั้น?”
“เปล่าสักหน่อย” ผมกดลบข้อความที่พี่เวย์ส่งมาทิ้ง “จ้องจับผิดผมอยู่รึเปล่าเนี่ยพี่โชว์”
“ก็เห็นทำหน้าทำตาเครียดพี่ก็เป็นห่วงไงครับ”
“เป็นห่วงรายงานในมือก่อนเถอะ” พี่โชว์หยักไหล่ใส่ผมก่อนที่เขาจะหมุนตัวกลับไปพิมพ์รายงานเหมือนก่อนหน้านี้
ผมนั่งมองแผ่นหลังกว้างที่มุ่งมั่นกับรายงานเล่มโตสักพัก ก่อนที่จะขอตัวลงมาซื้อของให้พี่เวย์ ด้วยคำโกหกที่ว่า ‘ผมอยากกินขนม’ แต่กว่าจะออกมาได้พี่โชว์ก็ไม่ยอมปล่อยผมมาคนเดียวง่ายๆ เรียกได้ว่าชักแม่น้ำทั้งสิบมาหลอกล่อสารพัด
“งั้นก็เอาโทรศัพท์ไปด้วย มีอะไรโทรมาหาพี่นะ” พี่โชว์ย้ำอีกรอบ ก่อนที่ผมจะเปิดประตูออกมาจากห้องเขา ผมเลยชูโทรศัพท์ในมือให้ดู ว่าผมไม่ได้ลืมหยิบมันมา
“ถ้ามีอะไรไม่ดีเดี๋ยวผมจะโทรหาพี่ ผมสัญญา”
‘907’ คือเลขห้องที่พี่เวย์เคยส่งมาให้ผม เมื่อตอนที่เดย์ไม่อยู่ ผมยืนเคาะประตูอยู่นานแต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากคนด้านใน
“พี่เวย์! ผมเอาของที่ฝากซื้อมาให้แล้วนะ!”
“….” หลังจากตะโกนไปสักพัก ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
“ถ้าพี่ยังเงียบแบบนี้ผมกลับแล้วนะ!” ผมตะโกนอีกครั้ง โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีคนอยู่หลังบานประตูไหม หรือผมคุยอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวสิ!” สิ้นเสียงตะโกนพี่เวย์ก็เปิดประตูออกมา เขาโผล่ออกมาแค่หน้ากับมือเพียงเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีดไม่ต่างจากผีดิบ ตาโตบวมช้ำขึ้นสีแดงกร่ำ เขาดูแย่กว่าครั้งที่แล้วที่เจอกันซะอีก
“พี่ไหวไหม ให้ผมโทรหาพี่โชว์ให้พาพี่ไปโรงบาลไหม?”
“โชว์หรอ?” พี่เวย์ทวนชื่อพี่โชว์ซ้ำ ดวงตาที่บวมช้ำเหม่อมองไปด้านหลังของผม ทั้งๆที่ด้านหลังผมไม่ได้มีอะไรให้มองสักอย่าง นอกจากผนังสีขาว “ไม่ได้หรอก ไม่ได้ ให้โชว์เห็นพี่ในสภาพนี้ไม่ได้…ไม่ได้เด็ดขาด” พี่เวย์พูดไปก็ส่ายหัวไป พร่ำบอกแค่ว่าเขาจะไม่ให้พี่โชว์เจอเขาในตอนนี้ สภาพนี้
“ก็แล้วแต่พี่เถอะ” ผมยื่นถุงของในมือส่งให้ พี่เวย์ยื่นมือออกมารับอย่างร้อนๆรนๆ แล้วรีบเอามันไปไว้ด้านหลังประตู
“เข้ามานั่งเล่นในห้องพี่ไหม?” ผมมองผ่านด้านหลังพี่เวย์เข้าไปในห้องที่มืดสนิท บรรยากาศด้านหลังพี่เวย์ให้ความรู้สึกหลอนและวังเวงจนน่ากลัว
“ไม่ดีกว่า พี่โชว์รอผมนานแล้ว”
“ทำไมต้องรอ อยู่ห้องเดียวกับโชว์หรอ?”
“พี่ถามทำไม?”
“เปล่าๆ” พี่เวย์ส่ายหน้า “นี่ค่าข้าวกับผ้าทำแผล” พี่เวย์ยื่นเงินออกมาให้ จนผมเห็นถึงผ้าพันแผลสีคล้ำที่ข้อมือข้างซ้ายของเขา พี่เวย์เห็นว่าผมมองแผลที่ข้อมือของเขา เขาเองก็รีบชักมือกลับไปไว้ด้านหลัง ดวงตาคมเข้มมองผมอย่างไม่พอใจที่ผมมองเห็นแผลของเขา
“ไม่เป็นไร ถือว่าผมชดใช้ให้พี่ ที่พี่เคยช่วยผมไว้จากผู้หญิงพวกนั้น”
“งั้นก็ขอบคุณ” พูดจบพี่เวย์ก็รีบปิดประตูหลบเข้าไปในห้อง
ผมเสียเวลาไปกับพี่เวย์เกือบครึ่งชั่วโมง แถมผมยังดื้อไม่รับสายจากพี่โชว์ ไม่แปลกเลยที่พอผมเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วจะเจอพี่โชว์นั่งทำหน้ายักษ์รอผมอยู่ที่เตียง
“ทำไมไปนาน พี่โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย”
“ก็..ผมลืมเปิดเสียง” โชคดีที่ผมกดปิดเสียงเอาไว้ก่อนเข้ามาในห้อง เพราะคิดอยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องโดนถาม
“แล้วไหนของกินที่บอกละ”
“กินหมดแล้ว” ผมรีบโกหกออกไปก่อน แล้วค่อยใช้สมองคิดอีกทีว่าจะทำยังไงให้เรื่องโกหกมันดูน่าเชื่อถือ “ผมซื้อไอติมมากินน่ะ ก็เลยรีบกินกลัวมันละลาย”
พี่โชว์ประเมินผมด้วยสายตาของเขา ซึ่งมันก็ดูไม่น่าจะเชื่อกับคำพูดผมเท่าไรนัก แต่เขาก็ยังทำเป็นเชื่อไม่ซักไซ้เรื่องราวให้มากความ
“ไอติมแบบนั้นน่ะมันละลาย ลองไอติมที่ไม่ละลายไหมละ?” พูดแล้วพี่โชว์ก็ตบมือลงที่นั่งข้างๆที่ว่าง
“ไอติมอะไรของพี่”
“ไอติมอุ่นสอดไส้ไวท์ช็อก”
หมับ!
“เชี่ย!” ตัวผมถูกกระตุกให้ล้มลงมาทับตัวพี่โชว์ไว้ทั้งตัว ด้วยแรงจากตัวเขาเองนั่นแหละ “พี่โชว์ ผมจะไม่นอนกับพี่แล้ว” ผมจะลุกขึ้นหนีจากพี่โชว์ก็ไม่ได้ ในเมื่อเขาทั้งรัดทั้งกอดผมไว้ด้วยแขนและขาที่โคตรจะแข็งแรงของเขา
“ถ้าไม่นอนแล้วอยากทำไรกับพี่ละ? จะยืนทำ นั่งทำ ตะแคงทำก็ได้ ต้นขาพี่แข็งแรง แรงดีไม่มีตก พร้อมออกรบทุกสถานการณ์” พี่โชว์พูดต่อ โดยที่มือไม้ยังเนียนมาโอบตัวผมไว้ ไม่ให้ขยับออกห่างตัวเขา
“ไอ้พี่-“
“นี่! ถ้าว่าพี่อีกพี่จะทำให้ดรีมพูดไม่ได้ด้วยลิ้นของพี่ คอยดูสิครับ” พูดแล้วพี่โชว์ก็ยื่นหน้าเอาปลายจมูกของตัวเอง มาคลอเคลียกับปลายจมูกของผม แบบที่ว่าถ้าผมว่าปุ๊ป พี่โชว์ก็พร้อมประกบปากลงมาทันที เราเคยจูบกันแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าผมอยากจูบอีกนะ!
“ผมจะไปอาบน้ำ ปล่อยเลยนะ”
1ชั่วโมงต่อมา….
ก็อกกๆ!
“พี่โชว์…ไม่เห็นมีใครเลยอ่ะพี่” ผมเดินกลับมาบอกพี่โชว์ที่นั่งพิมพ์รายงาน หลังจากที่เปิดประตูไปแล้วไม่เจอใครสักคน
ก็อกกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ครั้งนี้พี่โชว์เป็นคนลุกไปเปิดเอง แขนใหญ่กั้นตัวผมไว้แล้วดันให้ไปยืนหลบหลังแผ่นหลังกว้าง พี่โชว์เปิดประตูออกพร้อมกับเรียกชื่อใครคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก
“ไอ้ห่าพันวา! มึงเองหรอ!?”
“ก็ใช่ดิ กูคงเป็นเพลินวานมั้ง” เสียงทุ้มของผู้ชายดังตอบคำถามของพี่โชว์ “แล้วมึงมองหาอะไรวะ ข้างหลังกูมีอะไร?”
“เปล่า เข้าไปในห้องก่อน” พี่โชว์หันมาบอกผมเสียงเบา
“แอ๊ะ! ข้างหลังกูไม่มีแต่ข้างหลังมึงอ่ะมีนะ” ผมไม่รู้จักคนที่กำลังคุยกับพี่โชว์ว่าเขาคือใคร แต่รูปร่างหน้าตาเขาก็เป็นที่สะดุดตาคนหนึ่งก็ว่าได้ สูง ขาว ขายาว สวมชุดบอล “เดะนี้ยอมพามากินที่ห้องแล้วหรอมึงอะ?” คนที่ชื่อพันวายังแซวพี่โชว์ไม่หยุด แล้วคนที่โดนแซวก็ไม่ได้แก้ตัวเลยแม้แต่น้อย
“อย่าพูดมาก กวนตีนนักนะมึง มาเคาะห้องกูนี่คืออะไร ถ้าแค่มากวนตีนบอกเลยกูตามไปตบยันสนามบอลแน่”
“มีธุระสิกูถึงแวะมาหา กูคงไม่ว่างขนาดนั้นหรอก”
“แล้วมีอะไร รีบๆพูดมา”
“จะรีบอะไรนักหนา ทำไม กูไปขัดเวลาบ๊ะๆของมึงกับเด็กหรอ?” พี่โชว์ทำท่าจะยกเท้าขึ้นถีบ เพื่อนเขาถึงยอมเข้าประเด็น”แค่จะแวะมาบอกให้เตรียมตัวไว้ หาเวลาว่างไว้ด้วย กำหนดกีฬาสัมพันธ์ออกมาแล้ว”
‘กีฬาสัมพันธ์'เป็นงานใหญ่ประจำปีของม.Sเลยก็ว่าได้ เพราะมันคือการรวมตัวกันของมหา'ลัยในเครือ ผมเคยได้ยินมาบ้างว่างานนี้จะจัดยิ่งใหญ่ และจะมีการเล่นกีฬาเชื่อมสัมพันธ์ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผู้ชายที่ดีแต่หน้าตากับการถอดเสื้ออ่อยชาวบ้านเขาจะเป็นนักกีฬาด้วย
“เมื่อไร”
“กลางเดือนหน้า”
“เออๆ เดี๋ยวกูบอกพวกที่เหลือให้ แวะมาแค่นี้ใช่ไหมไปได้แหล่ะมึง”
“เดี๋ยวๆ” เพื่อนพี่โชว์ยกมือมาดันประตูที่กำลังจะปิดไว้อย่างรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า “ถ้าแค่นี้กูไลน์มาก็ได้ แต่ที่กูมาบอกมึงกับตัวเอง เพราะว่ากูต้องแวะไปขอกำลังใจจากพี่ต้นเหนือคนสวยของกูต่างหาก”
พันวาร่ายยาวถึงคนที่ชื่อ 'ต้นเหนือ' อยู่หลายประโยคก่อนจะขอตัวไปหาต้นเหนือ ที่เขาบอก
“ใครหรอพี่โชว์”
“เพื่อนที่เตะบอลด้วยกัน” พี่โชว์ตอบแล้วกลับมามองหน้าผมอย่างมีเลศนัย “เมื่อกี้เราคุยถึงไหนกันแล้วนะ พี่ให้ดรีมเลือกท่าใช่ปะ?”
“เลือกท่าที่ผมจะถีบพี่น่ะหรอ” ผมบอกกับพี่โชว์พร้อมกับขาที่ยกขึ้นเตรียมถีบเขาจริงๆ
“จะถีบก็ได้พี่ไม่ว่า แต่ถ้า…ถีบผิดท่าแล้วพี่เกิดคว้าขาเราไว้ได้ ก็ไม่รับประกันนะ ว่าพรุ่งนี้ขาดรีมจะมีแรงเดินรึเปล่า”
“พี่หมายความว่าไง” พี่โชว์ยิ้มมุมปากอย่างถูกใจกับคำถาม เขาเดินมาหยุดยืนข้างผมพร้อมกระซิบคำตอบที่แสนจะอีโรติกด้วยเสียงแหบกระเส่า!
“ขาดรีมมาก่ายเชิงกรานพี่ คิดว่าต้องทำอะไรกันล่ะถึงอยู่ท่านั้นได้”
ขาผมมีไว้เดินนะ ไม่ได้มีไว้ไปก่ายเชิงกรานใครๆอ่ะ!
@ห้องประชุมกีฬาสัมพันธ์
“ถ้าเขาลงผมไม่เล่นนะปีนี้”
เสียงดังโวยวายดังลั่นไปทั่วห้องประชุม สาเหตุหลักของเรื่องก็มาจากเดย์แล้วก็พี่โชว์ ที่เขาไม่ค่อยจะลงรอยกันแต่ดันต้องมาเล่นกีฬาทีมเดียวกัน ฝั่งพี่โชว์เขาไม่ได้โวยวายอะไรออกมา มีแค่เดย์ที่ไม่ยอมอยู่ฝ่ายเดียว แม้ว่าพี่พันวาจะเกลี้ยกล่อมยังไงเดย์ก็ไม่ยอมท่าเดียว
“เฮ้ยๆใจเย็นๆก่อน ปีที่แล้วก็เล่นด้วยกันนี่หว่า” พี่พันวาบอกกับเดย์
“นั่นมันปีก่อนไม่ใช่ปีนี้”
“มึงช่วยมีเหตุผลหน่อยดิวะ”
“คนแบบพี่ผมไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรอก หึ” เดย์หันกลับมาตวาดใส่พี่โชว์เสียงดังลั่นห้อง เขามองพี่โชว์ด้วยสายตาที่แข็งกระด้าง ก่อนที่จะไล่สายตามาสบที่ผมพอดี “น้องดรีม”
“มึงห้ามยุ่งกับดรีม” พี่โชว์เอาตัวเขาเองเข้ามาบังผมไว้ เมื่อเห็นว่าเดย์กำลังเปลี่ยนเป้าหมายมาหาผม
“พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าพี่ไม่อยู่ห้ามอยู่กับเวย์” ถึงแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นผม แต่เดย์ก็ยังจะพูดต่อแม้ว่าภาพตรงหน้าจะเป็นพี่โชว์ก็เถอะ “ทำไมถึงไม่เชื่อกันบ้าง”
“ผมไปอยู่กับพี่เวย์ตอนไหน”
“เมื่อคืนดรีมไปหาเวย์มาไม่ใช่รึไง อย่าทำเป็นไม่รู้” คำพูดของเดย์เปรียบเสมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางหัวให้ผมตายอยู่กับที่ พี่โชว์เหลือบสายตามามองผมช้าๆ แล้วหันกลับไปหาพี่พันวา
“ไอ้พันวา ปีนี่กูลงเล่น ใครไม่เล่นก็ช่าง ส่วนเรื่องวันนี้พวกมึงประชุมเลยแล้วค่อยไลน์มาบอกกู แต่ตอนนี้ก็ต้องขอตัวก่อน”
“มึงจะไปไหน”
“กูต้องไปเคลียร์ปัญหากับเด็ก” พี่โชว์จับข้อมือไว้แล้วพูดย้ำกับคนที่เหลือว่า.. “แบบสองต่อสอง”
“พี่ให้เลือก ในรถ ห้องพี่ ห้องเก็บอุปกรณ์นักกีฬา” ผมมองหน้าพี่โชว์ด้วยความตกใจ กับสถานที่ที่เขาพูดออกมา อะไรมันจะล่อแหลมได้ทุกที่ขนาดนี้ว่ะ!
ผมยืนนิ่งคิดไม่ตกว่าควรเลือกที่ไหนดี พี่โชว์เลยเป็นฝ่ายตัดสินใจให้ จับข้อมือลากผมเดินเข้าไปด้านในสุด ที่ดูแล้วน่าจะเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ เขาไม่พูดอะไรมาก เปิดประตูแล้วใช้มือดันเอวให้ผมเดินนำเข้าไปในห้องที่ทั้งอับทั้งชื้นทั้งมืด
“จะให้พี่ถามเอง รึจะเล่าเอง” พี่โชว์ดันตัวให้ถอยหลังมาติดกำแพง ในห้องเก็บอุปกรณ์นักกีฬา แล้วเอาตัวเองมาเป็นด่านป้องกัน ไม่ให้ผมหนีออกไป
“ผมเล่าเอง พี่ก็อย่าเร่งดิ” ผมผลักอกพี่โชว์ไปหนึ่งที ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะเซถอยหลังไหมหรือกำลังทำหน้าตายังไง ผมรู้แค่ว่าความมืดในห้องนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าปลอดภัยเลยสักนิด ผมกลับรู้สึกว่าผู้ชายร่างสูงตรงหน้ากำลังจ้องมองผมอยู่ทุกการขยับตัว
“เล่ามาซิครับ” ผมเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่พี่เวย์ส่งข้อความมาหายันผมกลับถึงห้อง โดยไม่โกหกหรือปกปิดแม้แต่น้อย
“เอาโทรศัพท์มา”
“พี่จะเอาโทรศัพท์ผมไปทำไร”
“ส่งมา หรือจะให้หยิบเอง พี่ไม่รู้นะว่าจะล้วงแค่โทรศัพท์รึเปล่า” แน่นอนอยู่แล้วว่าผมไม่ไว้ใจพี่โชว์มาล้วงกระเป๋ากางเกงผมแน่ๆ ผมเลยยอมส่งมันให้กับพี่โชว์พร้อมกับการปลดล็อคหน้าจอ
“พี่ทำอะไรกับโทรศัพท์ผม”
“บล็อคเบอร์ไง เบอร์ใครไม่จำเป็นก็บล็อคไป” พูดมาแบบนี้ผมก็รู้แล้ว ว่าพี่โชว์บล็อคเบอร์พี่เวย์ “เวย์พูดอะไรกับดรีมบ้าง เรื่องพี่”
“ก็ไม่ได้พูดอะไร”
“ดีแล้ว” พี่โชว์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ผมไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านี้ “ดรีมฟังพี่นะ ต่อจากนี้ไป ถ้าเวย์บอกอะไรกับดรีม ดรีมห้ามเชื่อ ห้ามฟัง ถ้าหนีให้ห่างจากผู้ชายคนนั้นได้ยิ่งดี”
“ทำไม”
“ชู่ว~” ปลายนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากผมให้เงียบเสียงลง “หยุดสนใจเรื่องเวย์แล้วมาสนใจเรื่องพี่ดีกว่า” ผมรู้ว่าพี่โชว์ใช้คำพูดกับท่าทางล่อแหลมพวกนี้เข้ามาเพื่อเบี่ยงความสนใจผมจากพี่เวย์ เขาคงคิดว่าผมไม่รู้แต่แท้จริงแล้วผมรู้ นอกจากผมจะรู้ทันผมก็ดันรู้สึกไปกับเขานี่ซิ!
“พี่โชว์ทำอะไร” ถึงแม้ว่าห้องจะมืดแต่เสียงเสียดสีกันของพลาสติกและเนื้อผ้ามันก็บ่งบอกได้ ว่าอีกฝ่ายกำลังปลดกระดุมเสื้อ อย่าลืมสิว่าผมเคยเห็นผิวเนื้อใต้ร่มผ้าพวกนั้นมาแล้ว ผมย่อมจินตนาการออกว่ามันดูดีและเพอร์เฟคแค่ไหน
แต่รู้อะไรไหม ว่าผมไม่ได้จินตนาการเลยสักนิดภาพเหล่านั้นก็วิ่งเข้ามาในหัว แถมมันยังทำให้ผมรู้สึกร้อน! ร้อนไปทั้งตัว!
“พี่ชักจะร้อนแล้วสิ” เส้นผมของผมถูกเกลี่ยให้พ้นกรอบหน้าอย่างถนุถนอมจากปลายนิ้วของพี่โชว์ เขาใช้หลังมือซับเหงื่อจำนวนไม่มากออกจากกรอบหน้าและไรผม ของผมอย่างเบามือ “รีบออกไปกันเหอะ ก่อนที่พี่จะร้อนจนต้องถอดทุกอย่าง”
เสียงกระเซ่าที่แหบพร่านี่มันคืออะไรวะ?!