ตอนที่ 10
“อ๊ะๆ ไม่ได้นะพระจันทร์ ไหนสัญญากับฉันแล้วไง ถ้าฉันช่วยทำรายงานจนเสร็จและติวหนังสือให้ พระจันทร์ก็พร้อมจะตามใจฉันทุกอย่างไง”
เมื่อถูกทวงคำสัญญาศศิกานต์ก็เลยถึงบางอ้อ แต่ก็ยังไม่คลายความสงสัยอยู่ดีนั่นแหละ การที่เธอจะต้องทำตามสัญญาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับการกลับบ้านด้วย พวงแก้มสีขาวอมชมพูข้างหนึ่งป่องขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายงุนงงและสงสัย แต่ถ้าจะเอ่ยปากถามไป...
ไม่รู้สิ เธอคิดว่าคำตอบที่ได้รับ มันจะต้องย้อนกลับมาทำให้เธออายจนทำตัวไม่ถูกแน่นอน ถ้าเป็นอย่างนั้น สู้ไม่ถามเสียเลยจะดีกว่า
ติณภพเองก็รอให้คนช่างสงสัยเอ่ยปากถาม แต่เมื่อเห็นว่าแม่สาวน้อยในอ้อมแขนไม่ยอมถาม ริมฝีปากหนาอุ่นก็ประทับไล่จากลาดไหล่กว้างขึ้นไปตามลำคอระหงและขบเม้มติ่งหูเล็ก
“พระจันทร์จะปล่อยให้ฉันต้องทรมานแบบเมื่อคืนอีกเหรอคนดี รู้ไหมว่าฉันนอนไม่หลับทั้งคืนเลยนะ รอเวลาว่าเมื่อไหร่เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ โดยไม่มีใครมาขัดขวาง”
ใบหน้าคมคร้ามคลอเคลียซุกไซ้ซอกคอระหง จมูกโด่งกดลงบนพวงแก้มสีขาวอมชมพู มือใหญ่ลูบไล้ลำแขนเรียวยาว อย่างต้องการให้ศศิกานต์รู้ความนัยของคำพูด
เรื่องอะไรที่เขาจะปล่อยให้แม่สมันน้อยหลุดรอดเงื้อมมือไปอีกล่ะ ในเมื่อได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่ซึ่งจะมีแต่เขาและเธอ กับบรรยากาศดีๆ และโรแมนติก เหมาะสำหรับคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันใช้เวลาฮันนีมูนร่วมกัน
ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลำคอจนขนตามเรือนกายลุกชัน หญิงสาวรู้สึกหัวใจเต้นแรงเร็ว พวงแก้มสีขาวอมชมพูหลบจมูกโด่งเป็นสันที่กดลงมาอย่างเน้นๆ ย้ายจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง มือใหญ่เริ่มขยับเคลื่อนซอกซอนเข้าไปกอบกุมเนินทรวงอวบอิ่มเต่งตึง ทำเอาศศิกานต์ถึงกับตัวสั่นเทา ขาเรียวยาวสั่นจนแทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่
ตอนแรกที่ได้ยินชายหนุ่มพูด เธอรู้สึกหวาดผวาไม่ใช่น้อย แต่เมื่อไฟปรารถนารุมเร้า อีกทั้งความสุขที่ได้รับเมื่อคืนก็ยังฝังอยู่ในความทรงจำ ก็ทำให้เธออยากจะพบอีกสักครั้ง อยากสัมผัสถึงความสุขสมยามที่เรือนกายลอยละล่องไปอยู่บนฟากฟ้า
ศศิกานต์แกะมือใหญ่ออก ก่อนเธอจะหันกายมาประจันกับติณภพ หญิงสาวยกมือขึ้นพาดบนบ่ากว้าง ใบหน้าขาวสวยเห่อแดงระเรื่อตลอดไปจนถึงใบหูและลำคอระหง หากดวงตากลมโตกลับเป็นประกายระยิบระยับ
“ตอนนี้ก็ไม่มีใครขัดขวางคุณอิฐนี่คะ” ปลายนิ้วเล็กลากไล้บนลำคอแกร่งและพัวพันเส้นผมนุ่มเล่น
“ถ้าเป็นอย่างนี้ คุณอิฐจะทำอะไรกับพระจันทร์ล่ะคะ” หญิงสาวถามเสียงนุ่มและเว้าวอน ดวงกลมโตกะพริบปริบๆ ริมฝีปากอวบอิ่มเผยออ้าเล็กน้อยอย่างยั่วเย้าและยั่วยวน
ชายหนุ่มยกมือขึ้นบีบจมูกคนน่ารักและช่างจำนรรจา อยากที่จะทำอย่างที่หญิงสาวบอกในตอนนี้เลย แต่ก็ติดว่าพอมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องตัดใจ เขาโน้มใบหน้าลงไปจนจมูกโด่งเป็นสันสัมผัสกับปลายจมูกโด่งได้รูป ทาบมือกับแก้มนุ่มและประทับจุมพิตบนริมฝีปากอวบอิ่มและนิ่มหวาน
ติณภพกดคลึงหยอกเย้าหนักสลับเบา ปลายลิ้นซอกซอนหาความหวานจากโพรงปากนุ่มจนพอใจ จึงได้ยอมถอนออกอย่างเสียดาย ปลายนิ้วยาวลากไล้พวงแก้มอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อ ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ดูซิ...ปากบอกว่าให้เขาทำได้ดังใจ แต่แค่ถูกจูบนิดเดียวก็อายจนต้องหลบสายตาแล้ว
“จะอายอะไรหนักหนาพระจันทร์ ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรสักหน่อย” ชายหนุ่มกระซิบถามเสียงเบาข้างใบหูนุ่ม
“บ้า...” มือเล็กเรียวยกขึ้นทุบแผ่นอกกว้างเบาๆ “คุณอิฐชอบล้อพระจันทร์อยู่เรื่อยเลย เดี๋ยวพระจันทร์โกรธไม่รู้ด้วยนะ” หญิงสาวว่าอย่างงอนๆ พร้อมกับเมินหน้าหนีดวงตาคมพราวระยับ
“ถ้าพระจันทร์โกรธ ฉันก็ต้องง้อใช่ไหม งั้นตอนนี้ฉันง้อพระจันทร์ด้วยการพาไปทานอาหารอร่อยๆ ดีไหม” ติณภพยกนิ้วก้อยมือขวาขึ้นมาพร้อมกระดิกเบาๆ ดวงตาคมกริบกะพริบปริบๆ เป็นการง้อคนขี้งอน แต่เมื่อเห็นว่าศศิกานต์เพียงแค่ส่งสายตามาดูเล็กน้อย
“น่า...นะพระจันทร์ ดีกันนะคนดี”
ศศิกานต์ถึงกับหัวเราะคิกกับท่าทางง้องอนที่สุดแสนจะเฉิ่มเชยแต่ก็น่ารักในสายตาของเธอ ใบหน้าขาวนวลยิ้มจนแก้มป่อง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ มือเล็กที่ไขว้ไว้ด้านหลังก็ยกขึ้นมาและยื่นนิ้วก้อยเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของติณภพ
“พระจันทร์หายงอนคุณอิฐก็ได้ค่ะ ถ้าเกิดไม่หายเดี๋ยวพระจันทร์ก็อดกินของดีน่ะซิคะ”
“อ๋อ...ที่หงายงอนฉันเพราะของกินเหรอ งั้นฉันงอนแทนดีไหมนี่”
“ไม่ดีค่ะไม่ดี คุณอิฐอย่างงอนพระจันทร์นะคะ” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ มือจับไหล่กว้าง หันมองทางซ้ายขวา ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มสากระคายไปครั้งหนึ่ง แล้วต้องหลบสายตาคมก้มลงมองพื้นทรายด้วยความอาย
ติณภพอมยิ้มแก้มตุ่ย ก้มลงหอมกลับแม่สาวใจกล้าทั้งสองพวงแก้มอิ่มเต็ม ก่อนเกี่ยวก้อยพาหญิงสาวเดินไปยังร้านอาหารที่อยู่สุดสายปลายหาดด้านหนึ่ง จะมีตัวอาคารบางส่วนสร้างล้ำไปในทะเล เพราะเจ้าของร้านเป็นคนในพื้นที่นี้ การสร้างจึงเน้นความลงตัวของอาคารกับรักษาธรรมชาติไว้ให้ได้มากที่สุด ทำให้ได้เห็นความสวยงามของท้องทะเลและเหล่าปลาสวยงามที่แหวกว่ายอยู่ใกล้กับเสาหินซึ่งเป็นส่วนที่รองรับตัวพื้น ยังมีต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ลมเย็นและช่วยบดบังร่มเงาจากแสงพระอาทิตย์ที่ส่องสะท้อนลงมาได้อย่างเหมาะเจาะและลงตัวที่สุด
เพียงแค่เดินไปถึงร้านอาหารดังกล่าว ศศิกานต์ถึงกับร้องอู้ อ้าปากค้างจนต้องรีบยกมือขึ้นไปปิดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองติณภพสลับกับมองร้านอาหารขนาดกลางๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าได้หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว
“สวย...สวยมากเลยค่ะคุณอิฐ”
“ก็สวยน่ะซิ ถ้าไม่สวยแล้วฉันจะพาพระจันทร์มาทำไมล่ะ รู้ไหมว่านอกจากสถานที่จะสวยแล้ว รสชาติของอาหารก็ไม่เป็นสองรองใครเลยนะ”
“งั้นคุณอิฐรีบพาพระจันทร์ไปทานเร็วๆ ซิคะ พระจันทร์หิวแล้ว” ศศิกานต์ยื้อยุดฉุดร่างหนาใหญ่เดินเข้าไปในร้านที่ตอนนี้แทบจะไม่มีที่ว่างให้กับแขกชุดหลังๆ ที่ยังคงทยอยกันเดินเข้าไปจับจองพื้นที่
เสร็จสิ้นการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ หนุ่มสาวก็เดินอิงแอบแนบชิดกันกลับไปยังห้องพักซึ่งติณภพได้จับจองไว้เรียบร้อยแล้ว
“ยังไม่กลับห้องไม่ได้หรือคะคุณอิฐ” ศศิกานต์เอ่ยถามอย่างอิดๆ ออดๆ เพียงแค่รู้ตัวว่ากลับไปแล้วจะต้องเจอกับสิ่งใด ความหวาดหวั่นก็จู่โจมเข้ามาจนมือไม้สั่น ใบหน้าขาวสวยซีดลง แต่พวงแก้มกลับแดงปลั่งด้วยเลือดฝาด
“พระจันทร์กลัวอะไรล่ะ ไม่ไว้ใจฉันหรือไงคนดี” ชายหนุ่มถามกลับเสียงนุ่ม มือใหญ่เชยคางมนให้เชิดขึ้น ปลายนิ้วลากไล้ริมฝีปากนุ่มอิ่มเต็มและพวงแก้มนุ่ม ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มนุ่มละไม
“ไม่ต้องกลัวนะพระจันทร์ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ความรักที่ฉันมอบให้พระจันทร์คือสิ่งสวยงาม สิ่งที่เกิดขึ้นนับจากเมื่อคืนก่อนจนถึงวันนี้และตลอดไป เป็นความรักที่ฉัน...ติณภพจะมอบให้กับคนที่รักสุดหัวใจ”
ศศิกานต์รู้สึกเคลิบเคลิ้มกับคำหวานที่ได้ยิน เท้าเล็กก้าวเข้าไปหาคนพูด ยอมให้เขากอดรัดแนบชิด เธอยังยกแขนเรียวขึ้นไปโอบลำคอแกร่ง ใบหน้าขาวนวลแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหวานและเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหลับพริ้มรอรับจุมพิตหวานฉ่ำเชื่อมที่จะได้รับ
ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปประทับจุมพิตจากหน้าผากกว้าง ไล่ไปถึงดวงตากลมโตทั้งคู่ พวงแก้มอิ่มเต็มเหมือนกับสีลูกพีช จมูกเล็กและโด่ง สุดท้ายก็สิ้นสุดตรงริมฝีปากอวบอิ่มและนุ่ม จุมพิตแรกเริ่มคือแผ่วเบาที่ค่อยๆ ทวีความหนักหน่วงขึ้น ปลายลิ้นสากระคายลากไล้ไปตามเรียวขอบปาก ก่อนจะแยกแย้มริมฝีปากนุ่มออกจากกันอย่างแผ่วเบาและสอดแทรกล่วงล้ำเข้าไปแตะแต้มตามซอกไรฟันและกระพุ้งแก้ม