ตอนที่ 9
“แต่คุณอิฐคะ...เอ่อ...คือว่า...พระจันทร์เป็นเจ้าของห้อง ควรที่จะเป็นคนออกไปดูเองดีกว่า ปลอดคนเมื่อไหร่ คุณอิฐก็รีบออกไปจากห้องพระจันทร์ดีกว่าไหมคะ” ศศิกานต์เสนอความเห็นที่คิดว่าจะเป็นการปลอดภัยสำหรับทุกคน
“อืม...จะเอาอย่างนั้นหรือพระจันทร์ แต่ฉันว่าไม่ค่อยดีนะ” ติณภพเอ่ยอย่างไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ เพราะไม่อยากจากศศิกานต์นานๆ แค่เมื่อคืนหลังจากนำส่งหญิงสาวกลับห้องแล้วเขาก็แทบนอนไม่หลับ คิดถึงแต่ผิวกายนุ่มหอมและหวานจนแทบจะเป็นบ้าตาย
“คุณอิฐจะให้พระจันทร์ทำไงล่ะคะ” ศศิกานต์ถามเหมือนกับจะร้องไห้ เมื่อครู่ตอนที่ได้ยินเสียงพี่มาลัย หัวใจเธอเกือบจะหยุดเต้นและปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาแล้ว ถ้าขืนถูกจับได้เธอคงจะต้องร้องไห้จนแทบจะขาดใจแน่
ชายหนุ่มเดินวนไปเวียนมาอยู่สองสามรอบอย่างครุ่นคิด ก่อนพยักหน้ารับ คงจะต้องเป็นอย่างศศิกานต์ว่านั่นแหละ เขาต้องออกไปจากห้องนี้พร้อมกับกระเป๋าใส่เสื้อผ้า แล้วให้ศศิกานต์เอาของจำเป็นอื่นๆ เดินออกไป โดยที่เขาดูลู่ทางนอกบ้านเอาไว้
อืม...ไม่ดีแฮะ ถ้าทำแบบนั้นหากว่ามีคนเห็นก็จะต้องเข้าใจว่าเขากับศศิกานต์นัดกันเอาไว้ไปทำเรื่องไม่ดี จะยิ่งทำให้หญิงสาวเสียหายมากขึ้น เอาเป็นว่าให้เธอเดินทางไปก่อน แล้วเขาขับรถออกไปและรับขึ้นรถด้วยดีกว่า ถ้ามีคนเห็นเข้าก็จะได้บอกได้ว่าเขาใจดีไปส่ง
“เอาตามที่พระจันทร์บอกแล้วกัน หลังจากปลอดคนแล้ว พระจันทร์ก็รีบออกไปจากบ้าน ฉันจะขับรถตามออกไปก่อนรับขึ้นรถ หากใครถาม ก็จะได้ตอบว่าฉันไปส่งที่มหาวิทยาลัยหรือว่าที่ไหนก็ได้ไง ดีไหม”
ศศิกานต์คิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ เพราะเห็นว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำ เมื่อตกลงกันได้แล้ว เธอก็ให้ติณภพหลบเข้าไปอยู่ในห้องน้ำ ส่วนตัวเองก็เดินออกไปสำรวจตรวจความปลอดภัย จนมั่นใจ ก็รีบกลับมาติณภพและเก็บข้าวของส่วนตัวเดินนำชายหนุ่มไป โดยแยกย้ายกันไปคนละทาง
ศศิกานต์ปล่อยให้น้ำทะเลใสแจ๋วที่กำลังสาดซัดเข้าฝั่งแตะต้องเท้าเล็กเรียวเปลือยเปล่า เธอเกี่ยวมือเข้ากับแขนใหญ่ ศีรษะทุยเอนซบบ่ากว้าง ใบหน้าขาวนวลแย้มยิ้มอย่างมีความสุข จนดวงตาเป็นประกายเหมือนกับมีดวงดาวนับสิบดวงมาส่องสว่างอยู่ภายใน
“สวยจังเลยค่ะคุณอิฐ”
ชายหนุ่มสอดแขนกอดเอวคอด ศีรษะทุยโน้มลงกดจุมพิตบนแก้มเนียนนุ่ม แต่หญิงสาวเบือนหน้าหนีทำให้จมูกโด่งคมพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย
“เสียดายว่าเรามาตอนนี้ คนเยอะไปหน่อย ถ้าได้มาตอนหน้ามรสุมจะดีกว่านี้”
“อ้าว...ทำไมล่ะคะ ปกติคนที่จะเที่ยวทะเล เขามักมาเที่ยวหน้าร้อนกันนี่นา ทำไมคุณอิฐถึงชอบเที่ยวหน้ามรสุมล่ะคะ”
ศศิกานต์เอ่ยถามอย่างข้องใจ เธอแหงนใบหน้าขึ้นไปพอดีกับที่ติณภพโน้มลงมา ดวงตาสองคู่สบกันก่อนที่คนตัวใหญ่กว่าจะกดจุมพิตบนเรียวปากนุ่ม
ติณภพหยุดเดิน หันร่างเข้าหาศศิกานต์ สอดแขนสอดรัดเอวเล็กคอดดึงร่างโปร่งบางให้สนิทแนบชิดทั่วสรรพางค์ ริมฝีปากหนาร้อนบดเบียดเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่ม ปลายลิ้นสากระคายสอดแทรกล่วงล้ำเข้าไปควานหาความหอมหวานฉ่ำชื้นภายในโพรงปากนุ่ม
เป็นนานกว่าที่ชายหนุ่มจะยอมถอนจุมพิต ก่อนเขาเกี่ยวก้อยมือเล็กพากันเดินไปตามหาดทรายสีขาวสะอาดตา บอกเล่าความประทับใจของทะเลยามฤดูฝนที่ได้มาเจอ
ทะเลยามที่มีสายฝนโปรยปรายลงจากท้องฟ้าหนักสลับเบา ไอน้ำสีขาวกระจายโอบล้อมเป็นระยะทางไกลเหมือนมีหมอกควันสีขาวกระจายไปทั่ว เสียงฝนที่ตกกระทบท้องน้ำก็เป็นเหมือนกับเสียงเพลงฟังแล้วมันสดชื่นและแจ่มใส
“แต่พระจันทร์ฟังแล้วมันเหงาๆ เศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้นะคะ”
“ถ้ามาคนเดียวมันก็เหงาและเศร้าบ้างนะ แต่ถ้ามากับคนรู้ใจ พระจันทร์เชื่อไหมว่ามันเหมือนกับเราเปลี่ยนเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งเลยนะ”
“คุณอิฐพูดแบบนี้แสดงว่าต้องเคยมากับผู้หญิงคนอื่นแล้วใช่ไหมคะ” ศศิกานต์ถามอย่างงอนๆ ใบหน้าขาวสวยเชิดขึ้นเล็กน้อยและหันมองออกไปยังท้องทะเล สองแขนสอดไขว้กันอยู่กึ่งกลางอก บอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าตอนนี้กำลังงอนและต้องการให้ชายหนุ่มง้อ แต่เมื่อได้เห็นความสวยงามเบื้องหน้าอารมณ์งอนก็หายไปในบัดดล
หาดทรายสีขาวสะอาดตาทอดยาวไปสิ้นสุดตรงแหลมยาวที่ยื่นล้ำออกไปในเขตทะเล และตรงมุมหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าของสถานที่จะจัดให้เป็นธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการให้แขกเหรื่อที่มาพักได้ชื่นชมธรรมชาติได้มากที่สุด เลยมีการจัดวางแนวหินให้นั่งพักโดยทอดยาวขนานกับพื้นทรายและโขดหิน
“สวยจังเลยค่ะ คุณอิฐเจอที่นี่ได้ยังไงกันคะ” ศศิกานต์ถามอย่างตื่นเต้น แม้จะได้เที่ยวชายทะเลอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่จะได้ยลโฉมความสวยงามของธรรมชาติเช่นนี้สักครั้ง
ทะเลที่รู้จักและเคยได้เที่ยวล้วนแล้วแต่ถูกมนุษย์ผลาญพร่าทำลายจนธรรมชาติเริ่มเสื่อมโทรมจนมองแทบไม่เห็นความสวยงามอีกแล้ว
“ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ ตอนนั้นที่มีกลุ่มนายทุนจากต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่ เพื่อสร้างเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อนฉันเลยขอแรงพวกเราเหล่านักศึกษามาทำการประท้วง ไม่ให้ชาวบ้านขายที่ซึ่งเป็นสมบัติของปู่ย่าตาทวด อธิบายถึงผลได้ผลเสีย ตอนนั้นพวกเราเกือบจะท้อนะ เพราะดูเหมือนว่าคนที่เห็นด้วยกับเรามีน้อยมาก” ติณภพนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างท้อแท้
เมื่อชาวบ้านเห็นเงินที่จะได้รับมากกว่าการรักษาสมบัติของตัวเอง แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่คิดถึงลูกหลานตาดำๆ ที่ยืนมองอยู่ด้านหลังก็เลยไม่ยอมขายที่ ทางกลุ่มนายทุนก็ไม่ยอมแพ้ ใช้วิธีการต่างๆ นานา ทั้งบังคับและข่มขู่ แต่ยิ่งพวกนั้นทำมากเท่าไหร่ กลุ่มของเขาและชาวบ้านที่รวมตัวกันก็ใหญ่ขึ้นและทำการต่อต้านหนักข้อขึ้น จนเกือบจะกลายเป็นการจลาจล จนทางราชการที่หวังจะให้แถวนี้เจริญขึ้นต้องเรียกแกนนำไปประชุมร่วมกัน จนได้ข้อสรุปว่า
ในเมื่อมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ก็ให้ชี้แจงถึงผลดีและผลเสียที่ชาวบ้านจะได้รับและสภาพทางธรรมชาติที่จะเป็นอีกในอนาคตข้างหน้า เมื่อวิเคราะห์และศึกษากันไปก็เห็นว่ามีแต่ผลเสีย ชาวบ้านที่เคยให้การสนับสนุนก็เริ่มที่จะออกมาต่อต้าน
แต่นายทุนก็ไม่ได้ถอยหนี เมื่อทำอย่างที่หวังไม่ได้ก็คิดทำสิ่งอื่นต่อไป จนในที่สุดก็กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เน้นให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ถึงแม้เขากับเพื่อนๆ จะไม่ยอมรับเพราะยังกลัวถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้น แต่คราวนี้เขาและเพื่อนๆ ก็ต้านทานความคิดของคนในพื้นที่ไม่ได้แล้ว
เพราะพวกเขาเห็นว่าถ้ามีโรงแรมเกิดขึ้นจริงๆ นอกจากจะทำให้ที่นี่พัฒนาแล้วก็ยังเป็นการสร้างงานให้กับลูกๆ หลานๆ แต่ก็ขอให้คงสภาพแห่งธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด ซึ่งนายทุนก็ตกลง เมื่อตกลงกันได้ แหล่งท่องเที่ยวที่มีที่พักท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามก็เกิดขึ้น
ชายหนุ่มจับร่างโปร่งบางให้หันหน้าออกสู่ทะเล สอดแขนรัดระหว่างเอวเล็กคอด ดวงตาคมมองไปยังทะเลเบื้องหน้า ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยย่างเข้าเย็นย่ำ ทำให้ได้เห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่พากันลงจากเรือเพื่อกลับที่พัก
สองหนุ่มสาวหลงใหลในความสวยงามของท้องทะเล ซึ่งมีพระอาทิตย์ฉายแสงส่องสะท้อนผืนน้ำเหมือนกับสายรุ้งและผืนฟ้ากลายเป็นสีแดงอมส้มดูสวยงามน่ามองเป็นที่สุด จนแทบไม่อยากที่จะกลับไปยังห้องพัก
ศศิกานต์วางมือทับบนแขนใหญ่ เอนเอียงศีรษะทุยได้รูป “เย็นแล้วนะคะ พระจันทร์ว่าเรากลับบ้านกันดีกว่าไหมคะ ป่านนี้คนที่บ้านคงจะเป็นห่วงและสงสัยกันแล้วว่าพระจันทร์หายไปไหน ทำไมป่านนี้แล้วถึงยังไม่กลับบ้าน” หญิงสาวชวนอย่างลืมคิดไปว่า เมื่อตอนที่ออกจากบ้านมานั้นติณภพได้นำเอากระเป๋าเสื้อผ้าของเธอและเขามาด้วย