ตอนที่ 8
“จ๋า...พระจันทร์เรียกฉันทำไมคนดี” ชายหนุ่มตอบรับเสียงหวาน ขณะโน้มใบหน้าไปหาเนินเนื้อขาวอวบอิ่มซึ่งกระเพื่อมไหวตามแรงลมหายใจ ริมฝีปากหนาประทับบนปลายยอดทับทิมอย่างแผ่ว ก่อนปลายลิ้นสากระคายจะยื่นออกมาตวัดไล้
หญิงสาวจิกเล็บบนแขนแข็งแกร่ง ใบหน้าแหงนหงายไปด้านหลัง สองเท้าขยับเคลื่อน ท้องน้อยขยับไหว ทั้งปั่นป่วนและเสียวซ่านจนอยากที่จะเปล่งเสียงร้องออกไปให้ดังๆ แต่ก็กลัวว่าคนภายนอกจะได้ยิน เพราะห้องที่เธออาศัยหลับนอนอยู่ไม่ได้เป็นห้องเก็บเสียง
ชายหนุ่มสอดเข้าระหว่างเอวเล็กคอด ดึงรั้งร่างโปร่งบางให้แนบชิด ใบหน้าคมคร้ามขยับเคลื่อนไปตามลำคอระหง เขาประพรมจุมพิตวนเวียนไปทั่วใบหน้าขาวนวลผ่อง ก่อนแนบจูบหวานเชื่อมไปบนเรียวปากนุ่มอิ่มเต็ม
ชายหนุ่มขบเม้มเปลือกปากนุ่ม ก่อนส่งเรียวลิ้นซอกซอนเข้าไปแต่งแต้มกวาดไล้ซอกลืบไรฟันและกระพุ้งแก้ม เกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นเล็กที่ยื่นออกมาด้วยความไม่ประสา ดุนดันล่วงล้ำสู่สองโพรงปากสลับกันไปมา มือใหญ่ฟอนเฟ้นปทุมถันอวบอิ่มและนุ่มหยุ่น
ติณภพเกือบที่จะยื่นมือไปทักทายกุหลาบดอกโตอยู่แล้ว แต่นึกได้เสียก่อนว่าหากทำเช่นนั้น คราวนี้เขาอาจหยุดตัวเองไม่ได้และเขาไม่อยากสร้างความลำบากใจให้กับศศิกานต์ด้วย
ชายหนุ่มถอนจุมพิตออกอย่างเสียดาย เขายื่นมือไปคว้าชุดที่เลือกมาวางบนเตียงนอนยื่นให้ศศิกานต์ ใบหน้าคมโน้มไปกระซิบข้างๆ หูเล็ก
“ฉันอยากให้พระจันทร์แต่งชุดนี้ออกไปเที่ยวกับฉัน”
ศศิกานต์ปรายตาไปมองชุดสีขาวอมชมพู ตัวเสื้อคอสูงและกลัดกระดุมด้านหน้าจากช่วงอกลงมาจนถึงขอบทรวง ปลายแขนและส่วนล่างจากขอบทรวงสอดด้วยริบบิ้นสีขาวผูกเป็นโบเล็กๆ สวมใส่กับกระโปรงผ้าพลิ้วสีขาวจับขอบลายตรงเอวและปลายกระโปรงสีชมพู ตัวกระโปรงปักเป็นลวดลายน่ารักๆ จากเส้นไหมเนื้อนุ่ม
“ฉันเห็นว่าน่ารักดีนะ อยากเห็นพระจันทร์ใส่ไปเที่ยวกับฉัน ได้ไหม” ติณภพถามเสียงนุ่ม สาเหตุที่เลือกชุดนี้ เพราะเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางแล้วเขาจะสามารถแกะมันออกจากกายโปร่งบางได้ง่ายที่สุด
รอยยิ้มหวานและนุ่มแต่งแต้มบนใบหน้าขาวนวล “ได้ซิคะ” หญิงสาวยื่นมือไปรับผ้ามาเตรียมสวมใส่ แล้วก็หน้าแดงก่ำ เมื่อมีเสื้อผ้าชิ้นเล็กๆ อีกสองชิ้นหล่นลงตรงหน้า เท่าที่เธอเคยรู้มา แต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริงไม่จริงยังไง...ผู้ชายบางคนถือเรื่องที่จะจับต้องของชิ้นเล็กๆ ของผู้หญิง แต่นี่...ติณภพกลับเลือกมาให้เธอ เข้าชุดกับเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ด้วย
“คุณอิฐ...”
“หือ...มีอะไรเหรอพระจันทร์” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง ในดวงตามีเครื่องหมายคำถาม กวาดไล่มองไปทั่วว่าตัวเองมีอะไรผิดปรกติ ทำไมน้ำเสียงที่ศศิกานต์เรียกถึงมีร่องรอยของความแปลกใจและคาดไม่ถึง
ติณภพยิ้มอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน ขณะยื่นมือไปโอบรอบกายโปร่งบาง
ของบางอย่าง บางคนอาจมองว่าต่ำ เกิดความรังเกียจ แต่ถ้าเทียบกับความคิดของคน เขาว่าสิ่งที่จับต้องอยู่อาจสูงกว่าเป็นไหนๆ แล้วก็ใช่ว่าของที่จับจะเป็นของซวยเสมอไป ถ้าคิดแบบนั้น คุณก็ซวยมาตั้งแต่เกิดแล้ว เพราะคุณเกิดมาจากส่วนที่คุณเรียกว่าอวัยวะเบื้องต่ำดีๆ นี่เอง
“ไม่ต้องแปลกใจหรอกพระจันทร์ ฉันจัดเสื้อผ้าให้แม่บ่อยไป แค่นี้ไม่มีอะไรหรอก ดีเสียอีก ฉันจะได้รู้ว่าพระจันทร์ชอบใส่เสื้อผ้าแบบไหน เวลาเลือกซื้อให้จะได้ถูกใจไง” ชายหนุ่มตอบกลับยิ้มๆ นัยน์ตาแวววาวกวาดไล่มองไปตามสัดส่วนเรือนกายอวบอิ่ม ขาวและนุ่มหยุ่นมือ
“บ้า...คุณอิฐน่ะ พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้ หน้าไม่อาย” ศศิกานต์กำหมัดและทุบลงไปบนอกกว้างเบาๆ แล้วพอจะยกหนีก็ถูกชายหนุ่มจับไว้และดึงเบาๆ ให้ร่างโปร่งถลาเข้าไปหา
แขนใหญ่สอดรัดเข้าที่เอวเล็กคอด โน้มใบหน้าคมเข้มไปจนริมฝีปากประทับบนเรียวปากนุ่มอวบอิ่ม ปลายลิ้นสากระคายสอดแทรกเข้าไปซอกซอนหาความหวานภายในโพรงปากนุ่ม
“ฉันว่าพระจันทร์รีบแต่งตัวดีกว่านะ ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว” เขาดึงบราตัวเล็กสีหวานมาจัดการสวมใส่ให้
“มะ...ไม่ต้องค่ะคุณอิฐ พระจันทร์ซะ...ใส่เองได้” ศศิกานต์รีบบอกอย่างเขินอาย ใบหน้าขาวแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตเป็นประกายหลุบต่ำลงมองพื้นห้อง สองมือเล็กๆ คว้าเสื้อผ้าจากมือใหญ่เกือบจะเป็นการกระชาก และหอบเอาเสื้อผ้าถอยร่นออกมาจัดการสวมใส่จนเรียบร้อยด้วยมือไม้อันสั่นเทา
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้พระจันทร์ ยังไงก็ได้ไปเที่ยวอยู่แล้ว” ติณภพกระเซ้าเย้าแหย่อย่างอารมณ์ดี ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนบนเตียง สองมือสอดไว้ใต้ศีรษะทุยได้รูป ดวงตากวาดมองไปทั่วร่างงามอย่างมีความหมาย
“ก๊อกๆ พระจันทร์ นั่นพระจันทร์คุยกับใครน่ะ” พี่มาลัยสาวใช้อีกคน มีหน้าที่ทำความสะอาดบ้าน ซึ่งเดินกลับมายังห้องพักของตนเอง เพราะเกิดแอคซิเดนบางประการเคาะเรียกหลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน
ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังออกมาจากห้องเล็ก อันเป็นที่พำนักของสาวน้อยวัยสะคราญ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเสียงทีวี แต่ก็นึกได้ว่าห้องศศิกานต์ไม่มี แล้วเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากไหน มิหนำซ้ำยังเป็นเสียงผู้ชายและคุ้นหูชอบกล
ศศิกานต์รีบยกมือปิดปาก ดวงตากลมโตเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงและเร็ว ปลายมือปลายเท้าเย็นเฉียบเหมือนอยู่บนก้อนน้ำแข็ง เท้าเล็กๆ รีบสาวไปหาติณภพ ยื่นมืออีกข้างไปปิดปากหนาเอาไว้ พร้อมส่ายศีรษะห้ามปรามไม่ให้เขาส่งเสียใดๆ ออกมาอีก
หญิงสาวหันไปทางประตู ตอบกลับไปน้ำเสียงสั่นเทา
“ปะ...เปล่าค่ะพี่มาลัย พระจันทร์กำลังซ้อมบทละครอยู่ค่ะ”
“แต่พี่ได้ยินเสียงผู้ชายด้วยนะพระจันทร์” มาลัยย้อนถามด้วยความสงสัย พร้อมเอาใบหูแนบกับประตู หวังว่าจะได้ยินเสียงอะไรดังเล็ดลอดออกมาอีก แต่คราวนี้กลับเงียบสงัด เลยได้แต่ผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกจากปอดอย่างเสียดาย เพราะไม่มีเรื่องสนุกๆ ไปเม้ากันในวงคนที่มีอาชีพเดียวกันไม่ว่าจะบ้านนี้หรือบ้านใกล้เรือนเคียง
“อ๋อ...เสียงพระจันทร์เองค่ะพี่มาลัย พระจันทร์ต้องแสดงเป็นผู้ชาย เลยต้องดัดเสียงนิดหน่อย พี่มาลัยว่าเหมือนมากไหมคะ” ศศิกานต์โต้ตอบกลับไป หัวใจเต้นแรงและเร็วด้วยความกลัวว่ามาลัยจะไม่เชื่อ เธอหันไปสะบัดค้อนให้กับคนที่นอนยิ้มตาพราวระยับ
ชายหนุ่มดึงร่างนุ่มนิ่มมาแนบชิด “ฉันเปล่าทำผิดนะ พระจันทร์นั่นแหละผิดที่ทำให้อะไรๆ ชักช้า เลยมีคนมาได้ยินน่ะ”
ร่างโปร่งบางสั่นสะท้าน ขนลุกชัน รีบยกมือยันอกกว้างพลางถอยห่างอย่างเป็นกังวล
ทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ ถ้าเกิดพี่มาลัยเห็นเข้าแล้วนำเรื่องไปบอกเล่าให้กับคนในบ้านฟัง เรื่องจะต้องถึงหูยายและคุณนิจอาภา เมื่อนั้น...
โอ๊ย ไม่อยากจะคิดเลยว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป มีหวังเธอกับยายต้องระเห็จไปหาที่อยู่ใหม่แน่ๆ เห็นท่าทางคุณผู้หญิงใจเย็นและใจดี แต่เวลาที่ท่านโกรธขึ้นมา ก็เหมือนใครเอาไฟไปวางไว้บนก้อนน้ำแข็ง ที่นอกจากจะไม่ละลายแล้วยังจะเย็นจัดไปกว่าเก่าอีก
“เอาน่าพระจันทร์ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันจะเป็นคนเคลียร์เอง” ติณภพบอกให้หญิงสาวสบายใจ เมื่อเห็นใบหน้าขาวสวยซีดเผือดลงอย่างน่าสงสาร
ถึงจะรู้ว่าแม่อยากให้มีคนคอยดูแลเขาก็จริง แต่นั่นแหละ ใครจะไปรับได้ หากลูกสะใภ้จะกลายเป็นเพียงแค่เด็กที่อาศัยอยู่ในบ้านคนหนึ่ง ถึงศศิกานต์จะมีการศึกษา แต่ก็ยังไม่จบดี ฐานะทางด้านอื่นก็ด้อยกว่าเขาไปเสียทุกอย่าง
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่...” ปลายนิ้วยาวทาบบนเรียวปากนุ่มพร้อมกับส่ายศีรษะเบาๆ หูก็คอยฟังเสียงแม่สาวใช้หูดีนั้นยังอยู่หน้าห้องศศิกานต์หรือเปล่า แล้วก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อหูไม่ได้ยินเสียงอันใดแล้ว แต่ก็ยังคลายความกังวลได้ไม่หมด เพราะกลัวว่าแม่สาวใช้คนนั้นอาจยังอยู่บริเวณหน้าห้องศศิกานต์หรือไม่ก็ยังคงแอบดูอยู่ตรงมุมหนึ่งมุมใดของบ้าน
“พระจันทร์อยู่ในห้องก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะออกไปดูว่ามีใครอยู่ข้างนอกหรือเปล่า”