ขวัญข้าวมองรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านด้วยความแปลกใจ และแปลกใจยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าของรถเดินยิ้มมาเกาะรั้วบ้านของเธอ
“พี่มารับไปทำงาน” พีรัชบอก ไม่สนใจกับอาการแปลกใจที่แสดงบนสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวที่วันนี้อยู่ในชุดที่ดูทะมัดทะแมง เชิ้ตขาวปลดกระดุมด้านบนสามเม็ด เผยให้เห็นเสื้อยืดสีเดียวกันด้านในและกางเกงยีนสีซีด สวมสร้อยคอที่ร้อยด้วยหินหลากสี ใบหน้าแต่งแต้มเพียงบางเบา เน้นความเป็นธรรมชาติ ผมหยิกเป็นลอนรวบผูกด้วยผ้าบางๆ ไว้หลวมๆ ดูสบายๆ แม้ไม่สวยเฉี่ยวเท่ากับวันที่เธอไปร่วมงานฉลองหมั้นของเขา แต่ก็นับว่าสวยขึ้นมากจากเมื่อก่อน พีรัชคิดว่ามันเป็นเรื่องที่แปลก ผู้หญิงบางคนเวลาล่วงเลยไปกลับดูทรุดโทรมลง แต่สำหรับบางคนกลับดูดีขึ้นเป็นอันมากอย่างเช่นขวัญข้าวอดีตแฟนสาวของเขาคนนี้
“พี่พีผ่านมาทำธุระแถวนี้หรือคะ” เธอแกล้งถามออกไปทั้งที่ดูออกว่าพีรัชตั้งใจ เหมือนเช่นวันก่อนที่เขามาหาเธอแต่เช้า
“พี่ตั้งใจมารับนะ เห็นเดินทางไปมาลำบาก มาสิไม่ต้องเกรงใจ เราคนกันเอง” พีรัชช่วยเปิดประตูเมื่อขวัญข้าวไขกุญแจเสร็จ อีกมือยื่นไปรับของที่เธอหอบออกมา แต่หญิงสาวปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวถือเอง”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยปิดประตู” เขาถือวิสาสะดึงกุญแจในมือเธอไป เพื่อล็อกประตูเหล็กดัดสีขาว แล้วเดินมาเปิดประตูรถผายมือให้หญิงสาว
“เชิญจ้ะ” เขารอจนขวัญข้าวก้าวขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตูให้ จากนั้นก็เดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับทำหน้าที่สารถีให้หญิงสาวนั่งอย่างที่ตั้งใจ
ตลอดทางเขาชวนขวัญข้าวพูดคุยอย่างสนิทสนม เหมือนเมื่อครั้งที่เขาและเธอคบหาดูใจเป็นคู่รักกันอยู่ แม้ขวัญข้าวคิดว่ามันดูแปลกๆ แต่ก็ไม่แสดงอะไรออกมา เขาถามหรือพูดคุยเรื่องอะไร ก็พูดไปกับเขาด้วยจนรถคันหรูของพีรัชมาจอดหน้าบ้านของคิมห์ซึ่งเป็นที่ทำงานของขวัญข้าว
“พี่ไม่เข้าไปส่งนะ” พีรัชรีบบอก เขารู้ดีว่าที่นี่เป็นบ้านของใคร ไม่อยากเข้าไปให้ปากเสียๆ ของเจ้าของสถานที่ได้พรั่งพรูคำไม่สุภาพใส่เขาอีก เขาจำได้ดีคิมห์คนนี้เคยบุกไปหา ด่ากราดแล้วทำร้ายร่างกายเขาเมื่อสลัดรักขวัญข้าวใหม่ๆ
ขวัญข้าวยิ้มมุมปาก ก่อนกระพุ่มมือไหว้
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เธอยืนมองจนรถของพีรัชแล่นจากไปแล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน รั้วบ้านเปิดกว้างเพราะเป็นเวลาทำงาน ส่วนตัวออฟฟิศในชั้นล่างของบ้านนั้นอยู่ห่างจากประตูเกือบสิบเมตร ด้านข้างทางเดินเข้าไปหาตัวบ้าน ทำเป็นที่จอดรถของพนักงาน ซึ่งรถจอดเต็มทุกที่ แสดงว่าทุกคนอยู่ในออฟฟิศกันหมด ไม่มีออกไปทำงานนอกสถานที่ คงเพราะเป็นช่วงเช้าที่ทุกคนจะเข้ามาในออฟฟิศก่อน แล้วค่อยแยกย้ายไปทำงาน อาจมีติดต่อลูกค้า นำงานไปเสนอ ไปถ่ายทำโฆษณา เสาะหาสถานที่เหมาะสมกับการถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาชิ้นต่างๆ
ทันทีที่เธอผลักประตูกระจกสีชาสะอาดเอี่ยมเข้าไป เรียกได้ว่าทุกสายตาต่างหันมามองเธอเป็นจุดเดียว จนขวัญข้าวแปลกใจขาแข็งจนไม่กล้าขยับ ความหวาดกลัวที่อุตส่าห์กดเอาไว้ลึกในใจกลับผุดขึ้นมา แม้เธอจะเฝ้าบอกตนเองว่าไม่มีใครดูออกหรอกว่าเธอผ่านผู้ชายมาแล้ว แต่สายตาของทุกคน รวมถึงรอยยิ้มที่เริ่มปรากฏบนใบหน้าของแต่ละคนทำให้เธอชักไม่แน่ใจ อยากถอยหลังออกนอกห้องนี้ไปแต่มันช้าไปแล้ว เมื่อนายจ้างตัวจริงของเธอเดินหน้าใบหน้าเฉยชาค่อนไปทางขรึมเข้ามา จับข้อศอกแล้วลากเธอไปด้านในซึ่งเป็นที่มิดชิดซึ่งใช้เป็นห้องประชุม ขวัญข้าวเองแทบจะวิ่งฉิวนำเขาเข้าไปทีเดียว เพราะคิดว่ายังดีกว่ายืนตากหน้าให้เพื่อนมองด้วยสายตาแปลกๆ
“ทำไมพวกนั้นมองข้าวแปลกๆ ล่ะคิมห์” เธอถามเขาทันทีที่ชายหนุ่มปิดประตูห้องประชุมลง
“อย่าสนใจ ทำงานในห้องนี้แหละ” เขาบอกเสียงเรียบก็จริง แต่สายตาที่ตวัดมองขวัญข้าวนั้นเหมือนตัดพ้อ ทั้งอาการหันหลังเหมือนจะเดินออกไปนอกห้องก็ดูไม่ปกติ
“คิมห์” ขวัญข้าวรีบฉวยปลายนิ้วเขาเอาไว้ ก่อนชายหนุ่มจะเดินห่างไป
“บอกหน่อยสิ”
“จะไปสนใจทำไม ทำงานไปเถอะ นัดลูกค้าพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ”
“ไม่สนใจได้ยังไง มันต้องเกี่ยวกับข้าว ดูพวกเขามองข้าวสิ” เธอรีบสวนคำเขาทันที ก็มันจริงนี่นา บอกไม่ให้สนใจได้อย่างไร เล่นมองกันเป็นตาเดียว แล้วพากันยิ้มแปลกๆ
คิมห์ มองหน้าหญิงสาวที่เขายังรักเธออยู่เสมอนิ่งๆ ความรู้สึกในใจที่มีต่อเธอในเวลานี้สับสนผสมปนเปอย่างแยกแยะไม่ถูก แต่หนึ่งนั้นที่เขารับรู้คือ
เสียดาย เสียดาย และเสียดาย
ขวัญข้าวประสานสายตากับเพื่อนหนุ่มอย่างไม่ลดละ เพื่อรอคำตอบ แม้จะเห็นแววบางอย่างฉายในดวงตาของคิมห์ ที่มองแล้วเธอรู้สึกใจหาย
“วันงานข้าวกลับกี่ทุ่ม”
จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่คำตอบที่เธอต้องการ แต่แน่นอนมันสะกิดใจ สะกิดแผลที่กรีดหัวใจเธอ ขวัญข้าวหลุบสายตาแล้วเบือนหน้าหนีช้าๆ เธออยากลืมเรื่องวันนั้น ทำไมคิมห์ต้องถามขึ้นมา แถมยังคาดคั้นอีก
“ว่าไงข้าว กลับกี่ทุ่มผมจอดรถรอจนเผลอหลับ ตื่นมาก็มีเรื่องนิดหน่อยเลยต้องกลับไปก่อน” เขาไม่อยากเอ่ยถึงสาเหตุของการมีเรื่อง ที่เข้าใจผิดว่าหญิงสาวคนที่กำลังถูกด่าฉอดๆ อยู่อีกฟากของถนน คือขวัญข้าว
“ข้าวไม่เห็นรถผมจอดอยู่ริมถนนด้านหน้าโรงแรมหรือ”
ทั้งคำถามและสายตาของชายหนุ่มเหมือนจะจับผิดเธอ จนขวัญข้าวต้องเดินถอยห่างเขาออกมาเสียเอง ทั้งที่เมื่อครู่เธอรั้งเขาไว้ เพราะอยากทราบว่าพวกด้านนอกยิ้มแล้วมองเธอด้วยสายตาแบบนั้นทำไม แต่คราวนี้เป็นคิมห์ที่ไม่ยอมให้เธอเดินหนีไป เขารั้งเธอเอาไว้ พร้อมถามด้วยเสียงที่แหบพร่า
“ข้าวมั่นใจในตัวผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหน เขาเป็นพี่ชายอินทุอร แน่ใจหรือว่าถ้าตกลงปลงใจไปกับเขา แล้วจะเข้าหน้าอินทุอรกับไอ้พีรัชได้ ยังไงก็ต้องพบหน้าค่าตากันบ่อยๆ อยู่แล้ว”
“คิมห์!” เธออึ้งไปหลายวินาที ก่อนถามกลับอย่างรวดเร็ว
“พูดเรื่องอะไรคิมห์ ใครบอกอะไร”
“แล้วข้าวจะปิดผมไปอีกนานแค่ไหน” เขาตัดพ้อ
เขารู้หรือ แล้วรู้ได้อย่างไร...ไม่จริง
ขวัญข้าวผงะ ถอยห่างออกมาช้าๆ ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ ไม่อยากเชื่อว่าคิมห์จะรู้เรื่อง ก็มันเกิดขึ้นในห้องที่มิดชิด แล้วเขาก็ไม่ได้เข้าไปในงานเลี้ยงนั่น แต่เขาบอกว่ารออยู่หน้าโรงแรม หรือเขาจะเห็นเธอกับผู้ชายคนนั้นออกมาด้วยกัน และอีกหลายคำถามเกิดขึ้นในความคิดของหญิงสาว ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
คิมห์ที่กำลังมองหญิงสาวด้วยสายตาคาดคั้นปนหม่นหมองถึงกับตกใจคาดไม่ถึง ที่จู่ๆ เธอก็ร้องไห้โฮออกมา ชายหนุ่มรีบสืบเท้าเข้าหา โอบกอดเธอเอาไว้พร้อมคำขอโทษที่อ่อนโยน
“ข้าว ผมขอโทษไม่คิดจะกดดันหรือคาดคั้นคุณขนาดนี้ ผมรู้มันเรื่องส่วนตัวของข้าว ผมขอโทษ อย่าร้องไห้นะข้าวคนดี” เขาขอโทษพร้อมปลอบโยน แล้วต้องเงี่ยหูฟังพร้อมคิ้วขมวดมุ่น กับคำที่หญิงสาวพรั่งพรูออกมาแนบอกเขา
“ข้าวไม่ได้เต็มใจ ข้าวถูกข่มขืน ข้าวไม่คิดจะเอาตัวเข้าไปพัวพันพวกเขาหรอก เขาข่มเหงข้าว”
“อะไรนะข้าว” คิมห์ดันร่างเธอออกห่าง ก้มลงมองใบหน้าเปื้อนด้วยน้ำตา หญิงสาวกำลังสะอื้นไห้ แต่เขาอยากฟังให้ชัดเจนอีกครั้ง นี่มันเรื่องอะไรกัน มันมากกว่าภาพซุบซิบที่ลงในหนังสือพิมพ์วันนี้
“ใครมันรังแกข้าว”
“คิมห์ ข้าวไม่อยากพูดถึง” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จะปิดผมทำไม บอกความจริงมาเถอะข้าว บอกผม”
สายตาเขาไม่ได้คาดคั้น เป็นเพียงร้องขอและเว้าวอนอยู่ในที แต่ท่าทีประหลาดใจของเขาทำให้ขวัญข้าวคิดได้ คิมห์ยังไม่รู้ ใช่สิใครจะรู้ ถ้าเธอไม่พูด เขาคนนั้นไม่พูด เธอเกือบเอาเรื่องน่าอายของตนเองมาพูดแล้ว ไม่น่าตื่นตูมเลย ขวัญข้าวตัดสินใจปัดมือของเขาออกจากต้นแขนทั้งสองข้างของตน แล้วรีบเดินไปที่ประตูโดยเร็ว
“วันนี้ข้าวขอลาหยุด” เธอบอกแล้วกระชากประตูเปิดออก แต่ต้องชะงักกับใบหน้าเพื่อนร่วมงานที่ยืนสลอน ท่าทางทุกคนผงะออกห่างประตูบ่งชัดว่าเมื่อครู่ทุกคนต้องยื่นหน้าเข้าใกล้ประตูมากกว่านี้ จะยื่นมาทำไมถ้าไม่ใช่แนบหูฟัง ทุกคนยิ้มเจื่อนๆ ให้ขวัญข้าว ก่อนหุบยิ้มแล้วรีบสลายตัวออกไปจากหน้าห้อง เมื่อเห็นสายตาของคิมห์มองมาจากด้านใน
มือที่ยกห้ามของชายหนุ่มค้างอยู่ในอากาศ เมื่อขวัญข้าวเปิดประตูออกไปแล้วพบว่าพนักงานเกือบทั้งหมดมายืนออกันที่หน้าประตูห้อง เขาต้องเปลี่ยนจากรั้งขวัญข้าวไว้ เป็นการส่งสายตาดุปลาบใส่คนอื่นๆ แล้วเมื่อคนอื่นต่างแยกย้ายสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ขวัญข้าวก็จ้ำอ้าวไปไกลแล้ว ชายหนุ่มได้แต่มองตาม
ตกลงมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับขวัญข้าวกันแน่ ?