คนหนึ่งคิดดีทำดี ประพฤติดีประพฤติชอบมาตลอดชีวิต แต่เพราะวิบากกรรมทำให้เธอคนนั้นยังไม่พบกับความสุขแท้จริงสักที
อีกคนหนึ่งคิดจะสร้างแต่กรรมชั่ว...คิดคดจ้องแต่จะเอาเปรียบ...กรรมกลับทำเป็นแกล้งมองไม่เห็น ปล่อยให้เสวยสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น...แต่มันเป็นสัจธรรม ใครทำดีความดีย่อมส่งผล เช่นเดียวกัน คนไหนทำชั่ว อีกไม่นาน เจ้ากรรมนายเวรก็จะไปทวงคืน....
บทที่3.คีริน เดอออง
ปารีส...ฝรั่งเศส...
นาทีนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนเด่นเกินหน้าชายหนุ่มผู้นี้ คีริน เดอออง ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จแบบท่วมท้น หลังหันมาจับงานแฟชั่นเต็มตัว เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชื่นชอบเพศเดียวกันเหมือนดีไซเนอร์คนอื่นๆ คีรินเป็นแมนเต็มตัว แต่ความชอบของเขาคือการเห็นผู้หญิงสวยสง่าเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าหรูมีสไตล์ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอาความชอบนั้นมาก่อเกิดประโยชน์ เขาควานหาคนมีฝีมือมาร่วมงาน และสร้างเบลิสต้าโพสิตขึ้นมา...จนประสบความสำเร็จสมความตั้งใจ หลังปล่อยคอลเลคชั่นในแบรนด์ตนเองออกสู่สายตาคนทั้งโลก เมื่อปารีสคือเมืองแห่งแฟชั่น แม้จะมีดีไซเนอร์มือดีจับจองพื้นที่อยู่หลายเจ้าแล้วก็ตาม
“ว่าพริส...ถึงไหนแล้ว”
ชายหนุ่มดันประตูกระจกใสของห้องประชุมใหญ่ ชะโงกหน้าเข้าไปถามเพื่อนร่วมงานสำหรับโปรเจ็คใหม่ที่กำลังเริ่มต้นในไม่ช้า
พริสซิร่าเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายหนุ่ม หล่อนยิ้มกว้างก่อนจะตอบเสียงใส “ถึงรอบคัดตัวแล้วเจ้าค่ะ คุณจะมาดูเองมั้ย หรือให้พวกเราจัดการเอง”
คีรินไม่เคยปล่อยผ่าน เขาตรวจงานเองทุกชิ้น และการควานหาดาวรุ่งสุดโสภา มีหรือชายหนุ่มจะพลาด
“เมื่อไหร่?”
ชายหนุ่มถามสั้นๆ เขาเดินผ่านประตูเข้ามา ใช้ปลายนิ้วเขี่ยภาพบนโต๊ะ เมื่อภาพเหล่านั้นคือจำนวนผู้หญิงสาวๆ ที่กำลังจะเดินทางมาเพื่อคัดเลือก
“อีก3 อาทิตย์ค่ะ” พริสซิร่าตอบ หล่อนแอบเบ้ปาก เพราะงานจวนตัวมาก ไหนจะการออกแบบชุดใหม่คร่าวๆ เพื่อความเหมาะสมกับนางแบบที่กำลังควานหาตัว
“นาน...มีคนไหนน่าสนใจมั้ย?” ชายหนุ่มบ่น เขาละมือจากการเขี่ยภาพ เงยหน้าขึ้นมองทีมงาน เมื่อคีรินรู้ดี พวกเขาต้องมีตัวเก็งไว้ในใจ และเขาต้องการเห็นก่อน
ภาพสองสามภาพถูกคัดแยกออกมาจากภาพที่กองอยู่กลางโต๊ะ มันถูกส่งต่อให้คีรินเขารับมาดูเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
สาวสวยเหล่านี้ เขาเห็นจนชินตา แต่ละคนมีเอกลักษณ์ แต่ไม่มีคนไหนสะดุดตาสักคน...คีรินเกือบจะโยนภาพขนาด8x12 นิ้วนั้นกลับไปกองรวมกันกับภาพอื่นๆ กลางโต๊ะ แต่ภาพๆ หนึ่งที่อยู่ท้ายสุด และชายหนุ่มยังเปิดดูไม่ถึง ตรึงสายตาของเขาไว้เสียก่อน ผู้หญิงตาคมซึ้ง ริมฝีปากสีระเรื่อกับใบหน้าเรียวรี เส้นผมดำขลับจนนึกอยากจะสัมผัสด้วยตนเอง เขาอยากรู้ว่า...เส้นผมนั่นจะนุ่มนวลเพียงใด ดวงตาของหล่อนเป็นประกายเหมือนหมู่ดาว มันมีแรงดึงดูด และมันดึงเขาเข้าไปในวังวนนั้น แววตาแพรวพราวชวนหลงใหล และมันทำให้คีรินเผลอไผลเป็นครั้งแรก เมื่อชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน สำหรับเขา...ผู้หญิงก็เหมือนกัน มีหน้าที่สนองอารมณ์กลัดมันของเพศชาย บนเตียงแค่นั้นเอง
“มีคนไหนน่าสนใจเป็นพิเศษมั้ยคะ?” เสียงของพริสซิร่ากระตุกเขาออกมาจากวังวนแสนหวานนั่น
ชายหนุ่มตัดใจโยนภาพเหล่านั้นกลับลงไปที่เดิม พยายามตัดใจไม่มองผู้หญิงในรูป แม้จะเสียดายสุดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าทีมงานหลายคน
“ไม่” ชายหนุ่มตอบ เขาหลุบเปลือกตาลง หมุนตัวเดินไปหยุดริมกระจก
ภายในห้องเงียบกริบ หากมีปากกาตกลงบนพื้น....คงสะดุ้งตกใจกันทั้งห้อง เมื่อแต่ละคนแทบจะกลั้นใจรอฟังเจ้านายหนุ่มพูด
“วันไหนนะ ฉันจะมาดูด้วย”
มันเป็นเรื่องปกติที่คีรินจะเป็นอีกหนึ่งคนที่เป็นคณะกรรมการคัดเลือกสาวๆ เหล่านั้น แต่ครั้งนี้มันผิดปกติ ตรงที่เจ้านายหนุ่มนิ่งนานเกินไป เมื่อคีรินเป็นมนุษย์สุดเอคทีฟ เขาคิดเร็วทำเร็ว บางครั้งลูกน้องใต้บัญชายังทำตามไม่ทัน มันจึงเป็นเรื่องสะดุดความสนใจ มีอะไรอยู่ในความคิดสุดอัจฉริยะนั่น ในสมองสุดเฉียบของเจ้านายกำลังคิดอะไรอยู่ และเรื่องนั้นต้องสำคัญอย่างสูงสุด จนทำให้เจ้านายลืมไปว่ากำลังอยู่ท่ามกลางลูกน้องหลายสิบคน
“ก็น่าจะวัน...ครับ”
เรมอนด์หนุ่มโปรดิวเซอร์ที่เป็นคนกำหนดวันและเป็นหัวหอกที่จัดการการคัดเลือกครั้งนี้ตอบ
“อืม...” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เขาสอดมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ออกเดินเพื่อต้องการกลับห้องทำงานตัวเองแต่...กองรูปกลางโต๊ะนั่น รั้งคีรินไว้ รูปบานเดียวที่ชายหนุ่มต้องการแต่มันอยู่ในกองรูปทั้งหมด หากเขาจะหยิบไปแค่ภาพเดียว คงสร้างความกังขา ชายหนุ่มจึงแสร้งตีเนียน เขาเดินเข้าไปรวบภาพทั้งหมด... “ขอไปดูนะ...มีสำรองมั้ย?”
เกิดการตื่นตัว เมื่อทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะตัวใหญ่ เกิดอาการพยักหน้าพร้อมกัน!!
รูปปึกใหญ่คีรินจึงถือไว้ในมือ ก่อนจะเดินลอยชายออกไปแบบไม่ให้ใครได้ทันตั้งตัว
“เฮ้!! เร...ไม่ได้ส่งรูปของคนที่จะคัดเลือกให้เจ้านายเหรอ?” พริสซิร่าร้องถาม ไฟล์รูปทั้งหมดน่าจะอยู่ใน E-Mail ของคีรินแล้ว ดังนั้นเขาไม่น่าจะมาสนใจรูปกระดาษ เพราะมันจะกลายเป็นขยะเปล่าๆ หากคีรินหมดความสนใจ
เรมอนด์ไหวไล่ “ส่งแล้ว สงสัยบอสจะลืม”
ไม่มีใครรู้...รูปเกือบทั้งหมดถูกทำลายทิ้งทันที ที่คีรินเดินกลับที่ห้องทำงานของตัวเอง ยกเว้น ‘รูปเดียว’
หลังจากพินิจมองจนฉ่ำใจ...ชายหนุ่มรีบเหวี่ยงรูปบานนั้นไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน เขาดันเข้าไปในส่วนที่ลึกสุด
แต่กลับไม่สามารถสลัดแววตาดำขลับของผู้หญิงคนนั้นไปจากความทรงจำได้เลย
ชายหนุ่มเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เขาหลุบเปลือกตาลง ยกมือขึ้นวางลงตรงตำแหน่งหัวใจ...เสียงเต้นของหัวใจดังตึกตัก มันดังถี่รัวจนคีรินตระหนก...เกิดอะไรขึ้นกับเขา? ไม่รู้ว่าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา...หัวใจตายด้านดวงนี้ จึงเกิดปฏิกิริยาผิดแปลกกับเธอคนนั้น...
ประเทศไทย...
เวลา 8:00 นาฬิกา...
สกายผุดลุกผุดนั่ง เขาเดินวนไปวนมาระหว่างประตูกับพื้นที่ในห้องทำงาน สาวๆ ในสกัดชะเง้อคอมองแล้วพากับซุบซิบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เสียงนินทาหลุดไปเข้าหูหนุ่มหล่อหัวใจสาวอย่างเจ้าของโมเดล ลิ่งแห่งนี้
“เจ้กายเป็นอะไรอะเธอ?” แอน หนึ่งในเด็กปั้นของสกายกระซิบถามเพื่อนข้างตัว
ใบบัว สาวน้อยวัย24 ปีหันมาตอบ หล่อนกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อมองเห็นใบหน้าทุกข์ร้อนของสกาย “สงสัยรู้เรื่องบัวจะไม่ต่อสัญญามั้ง!!” เป็นการคาดเดาแบบที่ไม่รู้จริง
“อะไรจะรั่วไวปานนั้น แต่แน่ใจแล้วเหรอบัว...เจ้กายแกก็ดีนะ หางานดีๆ ให้ทั้งนั้น” แอนติง เธอไม่ได้มีชื่อเท่าใบบัว เมื่อหมดสัญญาก็ไม่เคยชิ่ง เมื่อสกายเองก็ไม่เคยเอาเปรียบเด็กในสังกัด เขายุติธรรมที่สุด ถ้าเทียบกับคนอื่นๆ ในวงการ
“เบื่อ!! ไม่มีอะไรตื่นเต้นแล้วนี่...อยากไปหาประสบการณ์จากที่อื่นบ้าง”
แอนแอบเบ้ปาก คงเพราะทะนงตนว่ากำลังมาแรง มีชื่อติดในอันดับต้นๆ ของถนนมายา ใบบัวจึงคิดว่าไม่ควรเจียดเงินให้สกายโดยเปล่าประโยชน์เมื่อมันเป็นน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ไม่ได้คิดย้อนไปในอดีต ก่อนที่จะมีชื่อสกายลงแรงไปไม่น้อย แต่คนอย่างสกายก็ไม่เคยง้อเด็กในสังกัด หากคิดว่าไปรอด เขาก็ไม่รั้งไว้
“ว่าแต่เจ้กายแกรอใคร? เห็นชะเง้อมองประตูบ่อยๆ”
แอนตัดความสนใจเรื่องใบบัว เมื่อมันเป็นสิทธิ์ของเจ้าหล่อน จะรอดหรือจะร่วง ไม่ใช่ตัวเธอ
“ไม่รู้สิ!!” สาวสวยไหวไหล่...เธอมาที่โมเดลลิ่งวันนี้ ก็เพราะอยากคุยกับสกายให้รู้เรื่อง แต่เมื่อเห็นสกายกำลังกระวนกระวาย จึงรีๆ รอๆ อยู่
คนที่สกายตั้งตารอ เดินทางมาถึงในที่สุด...
แอ๊ด... เมื่อประตูถูกดันให้เปิดออกจากคนด้านนอก ไอร้อนของอากาศพวยพุ่งเข้ามา จนสาวๆ ที่นั่งเล่นชิลๆ อยู่ในโถงหน้าห้องของสกาย พากันพุ่งความสนใจไปให้
“หนูเม...เจ้รออยู่ มานี่ๆ มานี่มา”