“เออๆ เดี๋ยวช่วยโฆษณาให้...นู้นๆ ร้านผักเจ้านั้นน่ะผักสด ราคาถูกด้วย ทั้งแจกทั้งแถมเลย แม่ค้าใจดี”
แววชี้นิ้วไปยังร้านผักเจ้าหนึ่ง ที่ลูกค้าแน่นเป็นพิเศษ เนื่องจากความใจดีของคนขาย จึงมีลูกค้ามาใช้บริการกันเนืองแน่น
ตะกร้าใบใหญ่บรรจุผักสดจนแน่น แถมมีถุงหิ้วอีกหลายถุงแต่กลับใช้สตางค์ไปไม่เท่าไหร่ เมื่อคุยถูกคอกับแม่ค้าผักสด
รอยยิ้มแต้มเต็มหน้าเมื่อมีความหวังกรำกรายเข้ามาในชีวิต
“แหมๆ หัวเราะระริกระรี้มากันเชียว หายหัวไปไหนกันหมด ฉันเรียกจนปากจะฉีกไม่มีใครอยู่สักคน”
ทันทีที่โผล่เข้ามาในเขตรั้วบ้าน เสียงแหลมปรี๊ดของพรรณีก็ทำลายบรรยากาศดีๆ เกือบหมด
ติ๋มถอนลมหายใจ เดินผ่านหน้าพรรณีไปโดยไม่คิดจะตอบคำถาม
“อ้าว!! อีนี่ ปากไม่มีหรือไง งานบ้านไม่รู้จักทำออกไปแรดที่ไหนกันมา” พรรณีตวาดซ้ำ ติ๋มปรายตามอง ก่อนจะไหวไหล่ใส่
“คุณนายจะเอาอะไรคะเดี๋ยวนางไปเอาให้เอง”
นางตัดรำคาญ จึงร้องถามความต้องการของเจ้านายสาว
“เตือนอีติ๋มมันด้วยนะนาง อย่ามาทำเป็นกระด้างกระเดื่องใส่ฉันนัก เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรือยังไงยะ ฉันเป็นเจ้านายของมันนะ มันน่ะเป็นขี้ข้าจำใส่กระลาหัวไว้ด้วย”
พรรณีกล่าวเสียงดังด้วยความเดือดดาล นางถลึงตาใส่ทั้งนางและเผื่อแผ่ไปยังลูกเลี้ยงที่ยืนอยู่ด้านหลังนางด้วย
“ไปตลาดมาค่ะ...เย็นนางจะทำกับข้าวใส่ตู้ไว้นะคุณนาย จะกินก็หาเอา นางกับติ๋มจะออกไปขายของที่ตลาดนัด”
นางเอ่ยบอกนายจ้าง
พรรณีตวาดแหว “แกสองคนจะให้ฉันหากินเอง...แต่จะออกไปข้างนอก ได้ยังไง!!”
“คุณนาย ติ๋มไม่อยากจะพูดแล้ว ถามหน่อยเดือนละ3000 กับกินกันทั้งบ้าน พอยาไส้มั้ยคะ? ไม่ให้ติ๋มดิ้นรนออกไปหางานเสริม ก็จ่ายค่าจ้างมาเถอะค่ะ ติ๋มกับป้าจะได้ออกไปอยู่ข้างนอก ไม่ต้องมารองมือรองตีนใครด้วย”
ติ๋มแหวมาจากด้านใน สาวใช้สุดแสบหมดสิ้นความเกรงใจ เมื่อเจ้านายไม่ทำตัวให้น่านับถือ...
พรรณีกัดฟันกรอดๆ นางเถียงไม่ได้ เพราะไม่มีเงินจ่ายให้กับคนรับใช้จริงๆ จึงได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“เหอะ!! อย่าให้กูรวยนะอีติ๋ม กูจะเอาเงินยัดปากมึง แล้วก็เฉดหัวไปอยู่ที่อื่น”
พรรณีตะโกนตามหลัง ติ๋มเตรียมจะย้อน แต่ติดตรงเมวิกาปรามไว้
“ติ๋ม ปล่อยคุณน้าเถอะ เธอคงอารมณ์ไม่ดี”
“ถ้าไม่เห็นแก่คุณเม ติ๋มจะฉะคุณนายให้หน้าหงาย...ติ๋มกับป้านางทนมานานแค่ไหนแล้ว...ทำยังกับติ๋มเป็นควายที่ต้องรองรับอารมณ์คุณนายอย่างเดียว ติ๋มก็คนนะคะ”
“รู้แล้วว่าเป็นคน ไม่งั้นเอ็งก็แดกหญ้าได้สิวะ”
นางประชดหลานสาว เดินไปจัดการล้างผัก ยุติการทะเลาะเบาะแว้ง ที่รังแต่จะทำให้เกิดความไม่สบายใจเปล่าๆ
“คุณนายคงหิว เอ็งก็หาอะไรไปให้เธอกินหน่อยสิ สายแล้ว”
แม้ไม่อยากจะทำ แต่ติ๋มเป็นคนรับใช้มาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น ถึงจะไม่พอใจพรรณีอย่างมาก แต่งานในหน้าที่คือต้องคอยรับใช้พรรณีแม้หล่อนจะไม่ได้จ่ายค่าแรง
ไม่ถึง10 นาทีกาแฟร้อนๆ ควันกรุ่น กับอาหารเช้าแบบง่ายคือไข่ดาวสุก1ฟองกับขนมปังปิ้ง2แผ่นก็ถูกยกมาเสิร์ฟ โดยที่คนยกมาเม้มปากแน่น
ติ๋มรีบโกยแน่บ ไม่ใช่เพราะกลัวแววตาจัดจ้าของพรรณี แต่กลัวใจตัวเอง หากพลั้งปากพูดออกไปอีกคนที่ร้อนใจคือเมวิกา...
อากาศยามเย็นมีสายลมพัดโชยไปมาตลอดเวลา แม้ผู้คนจะเนืองแน่นแต่ก็ไม่ร้อนจัดจนเกินไป ร้านค้าเจ้าใหม่มีน้ำพริกกับผักต้ม และผักสดวางเต็มแผง มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะน้ำพริกรสเด็ด แต่เป็นตัวแม่ค้าหน้าหวานต่างหากที่ทำให้ลูกค้าหนุ่มๆ ตบเท้าเดินเข้ามาจับจ่าย และได้สินค้าติดมือกลับไปด้วย เมื่อแม่ค้าคนสวยยิ้มหวานจนเหล่าลูกค้าหลงละเมอ...
“ขอบคุณค่า พรุ่งนี้มาใหม่นะคะ ไม่คิดว่าจะขายดีขนาดนี้เลยทำมาไม่กี่อย่างเอง”
ติ๋มยกมือไหว้ เธอเอ่ยเสียงหวาน แต่หาได้มีหนุ่มๆ คนไหนสนใจหล่อนไม่ สายตาคนเหล่านั้นมองตรงไปยังเมวิกาที่กำลังเก็บถาดใส่ของโดยไม่ได้เงยหน้ามองใคร
“ป้าๆ ดีนะเราได้ที่ดี...แหมๆ แบบนี้ค่อยมีแรงตำน้ำพริกหน่อย”
ธนบัตรอัดแน่นอยู่ในกระป๋องใส่สตางค์ ถึงจะยังไม่ได้นับจำนวน แต่จากการประเมินคร่าวๆ วันแรกก็ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง2 ชั่วโมงแบบนี้ วันต่อๆ ไปคงไม่ต่างกัน
“หากคุณเมมาด้วยทุกวัน คงขายดีแบบนี้แหละ แต่ถ้าเอ็งกับข้าสองคนคงได้นั่งตบยุง”
นางเปรยยิ้มๆ ลูกค้าส่วนใหญ่แวะมาเพราะแรงดึงดูดของเมวิกา หากเป็นตนเองกับติ๋มแล้วละก็คงไม่ขายดิบขายดีเช่นนี้
“พอเขาได้ชิมรสมือป้านางแล้ว...เมก็คงไม่มีความหมาย”
เมวิกากล่าว เธอยิ้มให้กับสองสาวต่างวัย
“อะไรวะติ๋ม!! ขายดีขนาดนี้เชียว ฉันมาไม่ทันเหรอนี่”
แววบ่นขรม เธอสู้อุตส่าห์ปลีกตัวมาเพราะอยากชิมฝีมือของนาง แต่ความตั้งใจของตนเองกลับเป็นหมัน เมื่อมาถึงร้านน้ำพริกของนางขายหมดเกลี้ยงเสียแล้ว...
“แกมาช้า...แต่ไม่อด ฉันเก็บไว้ให้แกแล้วว่ะ”
ติ๋มยิ้มเผล่ สอดมือไปใต้โต๊ะ หยิบน้ำพริกที่ตนเองกันไว้ให้เพื่อนขึ้นมาชูตรงหน้า
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าเสียเที่ยว”
แววควักสตางค์ส่งให้ แต่ติ๋มรีบโบกมือห้าม
“ไม่ต้องๆ ฟรี ในฐานะผู้ชี้นำ...หากติดใจพรุ่งนี้แกค่อยมาซื้อว่ะแวว”
“ก็ได้...เดี๋ยวชิมก่อน ถ้าเด็ดจริงจะช่วยโฆษณาให้”
เป็นการถ้อยที ถ้อยอาศัยกัน มีมิตรดีกว่าสร้างศัตรู เป็นเทคนิคของการบริการที่ดี...
พรรณีผุดลุกผุดนั่ง นางเมียงๆ มองๆ ตั้งแต่สาวใช้สองนางกับลูกเลี้ยงสุดชังช่วยกันลำเลียงของออกไปขายที่ตลาดนัดหน้าหมู่บ้าน เสียงคุยโขมงของติ๋มดังมาก่อนที่ตัวจะมาถึง พรรณีจึงรีบวิ่งไปเปิดทีวีจอยักษ์ ทำเหมือนกับว่ากำลังสนุกกับรายการโปรด ทั้งที่หูคอยตะแคงฟังเสียงพูดคุยของคนเหล่านั้นตลอด
“พรุ่งนี้คุณเมไม่ว่างด้วยสิ จะขายดีเหมือนวันนี้มั้ยป้า” ติ๋มทำหน้ายับ เมื่อพรุ่งนี้เมวิกาต้องไปโมเดลลิ่งของสกาย
“เมจะรีบมาให้ทันค่ะ...แต่ฝีมือของป้ารับประกันอยู่แล้วไม่ต้องห่วงหรอก” เมวิกากล่าวพร้อมกับยิ้มอ่อน เธอกำลังนับสตางค์ที่ขายได้ทั้งหมด
“ป้า...ทั้งหมด4450 บาท เท่ากับว่า...เราได้กำไรเกินครึ่งนะคะ”
เมวิกายิ้มกว้างหลังนับเงินทั้งหมดเสร็จ การลงแรงแสนคุ้ม หากเป็นแบบนี้ทุกวัน นางกับติ๋มคงมีความเป็นอยู่ดีขึ้น เมื่อเงินลงทุนนั้น เมวิกาควักกระเป๋าจ่ายให้ไปแค่2000 แถมยังใช้ไม่หมดด้วย
“โห...ต้องรอดู ถ้าพรุ่งนี้ขายดีเหมือนวันนี้ก็น่าจะเพราะของเราดีจริง แต่ถ้าฝืดๆ คงเพราะคุณเม แล้วถ้าคุณเมไปนอก...เรามิแย่เหรอป้า” ติ๋มขมวดคิ้ว รอดูผลในวันรุ่งขึ้น หากขายไม่ดีเหมือนวันที่มีเมวิกาไปช่วย...คงต้องหาวิธีใหม่ เพื่อให้มีรายได้เท่าเดิมเหมือนทุกวัน
“เมอาจจะเป็นจุดสนใจนะติ๋ม แต่หากใครก็ตามได้ลองชิม ก็ต้องหันมาชื่นชอบฝีมือของป้านางอยู่แล้ว”
เมวิกาออกความเห็น ตนเองอาจจะเป็นจุดสนใจของหนุ่มๆ จอมเจ้าชู้ แต่ก็มีลูกค้าส่วนหนึ่งที่เป็นผู้หญิง เขาเหล่านั้นน่าจะเป็นลูกค้าหลัก มากกว่าผู้ชายที่เป็นขาจร เมื่อฝีมือของนางไม่เป็นรองใคร
“เอาน่าติ๋ม...สู้กันสักตั้ง...ยังไงเสียคุณเมก็ยังไม่ได้ไปวันนี้ พรุ่งนี้เสียหน่อย”
นางเปรย มือไม่ได้หยุดนิ่ง หยิบจับเตรียมเครื่องไว้ทำน้ำพริกต่อ...เมื่อมันคือความหวังของตนเองและติ๋ม
พรรณีขมวดคิ้ว เท่าที่จับใจความได้...ลูกเลี้ยงของนางกำลังจะไปที่ไหนสักที่...และอาจจะไม่ได้อยู่ในประเทศนี้เสียด้วย ความคิดชั่วร้ายบังเกิด หากไม่มีเมวิกา...นางจะจัดการงุบงิบ...เอาบ้านไปจำนอง...เพื่อส่งเงินให้ช่อชบาใช้ กว่าที่อีลูกเลี้ยงหน้าโง่จะรู้...บ้านหลังนี้ก็คงหลุดมือ...เมื่อขายไม่ได้ นางก็จะปล่อยให้เจ้าหนี้ยึด หากเมวิกาอยากได้ ก็ปล่อยให้มันหาเงินมาไถ่ถอนเอง...