พรรณีลดความเหิมเกริมลง นางคำรามฮึมฮำในลำคอ แต่ก็ไม่ได้กรากเข้าไปประทุษร้ายเมวิกาเหมือนเก่า เมื่อลูกเลี้ยงของนางมีคนอาสาช่วย
“อย่าทำเป็นปากดีไป วันไหนฉันทนไม่ไหวไล่แกสองคนออกจากบ้าน จะไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนนะยะ”
สาวใหญ่ยังคงปากดี นางกล่าวขู่ จ้องมองสองสาวใช้ด้วยแววตาเคียดแค้น
“ก็ลองไล่สิคะคุณนาย แต่ก่อนที่พวกเราสองคนจะออกจากบ้าน ช่วยกรุณาจ่ายเงินเดือนที่ค้างไว้ด้วยนะคะ เพราะไม่อย่างนั้น เราคงได้เจอกันที่โรงพัก”
ติ๋มท้าทาย เจ้าหล่อนลอยหน้าลอยตาพูดใส่พรรณีฉอดๆ
“อีติ๋ม!!”
พรรณีตวาด ปลายนิ้วที่ชี้หน้าสาวใช้วัยรุ่นสั่นระริก
“ค่า...อีคุณนาย”
ติ๋มขานรับ หล่อนแสยะยิ้ม เชิดหน้าสู้ “อยากรู้มั้ยเจ้าคะ ว่าคุณนายเป็นหนี้อีติ๋มคนนี้กับป้านางเท่าไหร่”
สาวใช้ตัวแสบกล่าวกระแทกเสียงเย้ยหยัน “จะบอกให้เอาบุญนะคะอีคุณนาย...หากคิดจะไล่อีติ๋มคนนี้ ช่วยหาเงินมาจ่ายด้วย แค่ขี้เล็บคุณนายเอง...แต่ก็ยังไม่จ่าย” ติ๋มสอดมือไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกระดาษหนึ่งแผ่นที่เจ้าตัวจดบางอย่างไว้มาคลี่ออก ติ๋มยิ้มมุมปากก่อนจะอ่านช้าๆ “ค่าแรงติ๋มเดือนละ5000คูณด้วย6เดือนเป็นเงิน30000 ค่าน้ำที่อีติ๋มคนนี้จ่ายมาตลอด6เดือนแล้ว เดือนละประมาณ600กว่าก็ปาเข้าไป3600 นี่ยังไม่รวมค่าเก็บขยะ ค่าหนังสือพิมพ์ที่ต้องจ่ายทุกวัน ที่สำคัญเลยนะคะคุณนาย เงินเดือนป้านางเดือนละ10000คูณ6 เท่ากับ 60000 บาทบวกไปบวกมาก็แสนกว่าๆ หากมีจ่ายละก็ ติ๋มกับป้านางก็พร้อมที่จะหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านนี้ค่า”
พรรณีหน้าซีด อย่าว่าแต่เงินแสนตอนนี้เลย เงินหมื่นนางยังไม่มีติดกระเป๋า แถมช่อชบายังร้องขอมาอีก นางปวดหัวแทบจะแตก ยังไม่รู้ว่าจะไปหาเงินจากที่ไหนส่งให้บุตรสาวด้วยซ้ำ
“แกทวงเงินฉันเรอะ!! ไม่มีโว้ย”
เสียงแหลมปรี๊ดใบหน้าตึงเปรี๊ยะ แต่ก็ไม่กล้าโวยวายมากกว่านั้น กลัวคนใช้บ้าเลือดเอาจริงขึ้นมา นางคงได้ขายขี้หน้าคนทั้งหมู่บ้าน
“ไม่มีเงินจ่ายติ๋มกับป้า ก็ช่วยทำตัวให้มันดีๆ หน่อยค่ะคุณนาย อีกอย่างนะคะ คุณเมน่ะ เป็นเจ้าของบ้านกึ่งหนึ่งไม่ใช่คนอาศัยที่จะต้องมาเกรงใจ คุณนายช่วยให้เกียรติเธอหน่อยค่า”
ติ๋มกล่าวเสียงเคร่ง เบ้ปากใส่พรรณี พร้อมกับเดินเข้าไปหาเมวิกา “คุณเมเจ็บตรงไหนมั้ยคะ?”
หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ เธอเสก้มหน้าหลบ เมื่อแม่เลี้ยงแอบถลึงตาใส่ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เธอไม่อยากทำให้ทุกคนไม่สบายใจ ไหนๆ ก็อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
“ไปค่ะคุณเม ปล่อยให้คุณนายอาละวาดไปคนเดียว ไม่อายเพื่อนบ้านก็เชิญแหกปากตามสบายนะคะ”
นางเอ่ยชวนเมวิกา สาวใหญ่ดันหลังเจ้านายสาว พร้อมทั้งว่ากระทบคนหน้าตึงที่ยืนจังก้าอยู่หน้าโถงทางเดิน
เมวิกาทรุดนั่ง เธอรับน้ำเย็นจากมือของติ๋ม เมื่อสาวใช้ตัวแสบรีบไปรินน้ำเย็นๆ มาให้
“สงสัยคุณช่อเธอคงขอเงินมา...อะไรกันคะเพิ่งจะกลางเดือนเอง”
ติ๋มบ่น สาเหตุเดียวที่ทำให้พรรณีไม่สบายใจคือเรื่องของช่อชบา
“เอ็งก็ทำเป็นสู่รู้” นางบ่น ฉวยหยิบตะกร้าเครื่องเทศมาถือไว้ พร้อมกับลงมือทำงานต่อ
“คุณเม ป้านางคิดจะทำแกงไปขายหน้าหมู่บ้านค่ะ เพราะหากรอแค่เงินคุณนาย คงได้กินข้าวกับเกลือแทน”
ติ๋มเปรย เมื่อต้องเอาตัวรอด เนื่องจากสถานภาพทางการเงินอัตคัด พรรณีจ่ายให้เท่าหยิบมือ ไม่พอแม้แต่จะซื้ออาหารเลี้ยงคนทั้งบ้าน ไหนๆ ก็มีเครื่องมือ มีฝีมือ นางจึงคิดจะลงแรง ดีกว่าจับเจ่าอยู่เปล่าๆ
“ดีค่ะ เมออกทุนให้เอง...หากเมว่างเมจะออกไปช่วยขาย”
หญิงสาวสนับสนุน เมื่อเป็นหนทางสร้างรายได้ของทั้งสองคน
“จริงเหรอ ป้าแกงอะไรดี ติ๋มตื่นเต้นแล้วสิ...น่าจะขายได้นะป้า ติ๋มเห็นคนเดินกันให้ควัก”
สาวใช้วัยรุ่นเริ่มฝันหวาน เมื่อหมู่บ้านที่อาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีเพื่อนบ้านมากมาย ดังนั้นการขายกับข้าวน่าจะไปได้ดี
“นั่นดิ คุณเมช่วยป้าคิดหน่อยสิคะ”
เป็นคนใช้มาตั้งแต่จำความได้ พอคิดจะเป็นแม่ค้า ความคิดดันตันขึ้นมาเสียแบบนั้น เมื่อบรรดาเมนูอาหารมีมากมายหลายหลากจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี
“เมคิดว่า...น้ำพริกน่าจะเวิร์คนะคะป้านาง...คนน่าจะเบื่อผัดๆ ต้มๆ อีกอย่างไม่ค่อยมีคนทำขายด้วย เพราะมันยุ่งยาก”
“เอาแบบนั้นเลยป้า...ไหนๆ ก็แกะกระเทียม ปอกหอมทุกวัน ทำน้ำพริกสักสี่ห้าอย่าง เดี๋ยวเช้ามืดติ๋มออกไปตลาดหาซื้อผักมาต้มเอง”
ใบหน้ายิ้มแย้ม เสียงหัวเราะดังเบาๆ เมื่อทั้งสามคนมีความสุข คนที่ทุกข์ใจคือพรรณี นางหมุนซ้ายหมุนขวา แต่ก็ยังหาวิธีหาเงินส่งให้ช่อชบาไม่ได้
ปารีส...ฝรั่งเศส
ปัง!!
เสียงของหนักๆ ตกกระแทกพื้นดังๆ จนคนที่นอนหลับสะดุ้งตื่น เลย์ปรือเปลือกตา เขาบิดตัวช้าๆ แก้อาการปวดเมื่อยก่อนจะร้องถามคู่ขาคนใหม่
“เป็นอะไรทูนหัว เหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเลย”
ช่อชบาตวัดตากลับมาที่คู่ขาคนใหม่เอี่ยมที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่ถึง24ชั่วโมงแต่กลับมานอนฟัดกันบนเตียงเสียแล้ว
หล่อนยกมือขึ้นเสยผมบนศีรษะแรงๆ พร้อมกับบ่นพึมพำ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ช่อแค่กำลังหงุดหงิดคุณแม่ส่งเงินมาให้ช่อใช้ไม่ทัน แบบนี้ช่อจะเอาที่ไหนใช้ล่ะคะ”
หล่อนทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะทอดกายนอนยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก เมื่อเงินก้อนสุดท้าย ช่อชบาละลายทิ้งในผับตั้งแต่เมื่อคืน เพราะคิดว่ามารดาคงจะมีสำรองไว้ให้ตนเอง
“แย่ดิ...ผมเองก็กำลังถังแตก”
เลย์รีบออกตัว...เขาเองก็เพิ่งตกงาน หวังพึ่งพาช่อชบาด้วยซ้ำเมื่อเท่าที่เห็นหล่อนใช้จ่ายแบบมือเติบ สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าหล่อนเองก็กำลังจนกร็อบไม่ต่างกับตนเองเลย
“ตายแน่เลย ช่วงนี้จะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าวกิน” หญิงสาวยังคงบ่นต่อ ไม่ได้คิดถึงความเดือดร้อนของพรรณี ที่ห่วงคือตนเองแค่นั้น
“คิดจะทำงานมั้ยล่ะ ผมมีคนรู้จักที่สามารถทำให้ช่อมีเงินได้ง่ายๆ แค่...” เลย์ขยักคำพูดไว้ เขารอให้ช่อชบาสนใจ เมื่ออาชีพที่เขาจะเสนอ หากหญิงสาวสนใจ...เขาคงสบาย เพราะหาที่ ‘เกาะ’ ใหม่ได้
ช่อชบาดันตัวลุกขึ้นนั่ง “งานอะไรคะ?” หล่อนร้องถาม งานสบายๆ รายได้ดีมีด้วยเหรอ
เลย์อมยิ้ม เขารั้งช่อชบาเข้ามากอดไว้หลวมๆ พร้อมกับก้มลงกระซิบข้างหู
และนั้นก็เป็นก้าวแรกของช่อชบา กับอาชีพเสริมตอนไม่มีสตางค์
ประเทศไทย...เวลา 5:00 นาฬิกา...
เป็นความตื่นเต้นของสามสาวต่างวัย หลังจากลงแรงตำน้ำพริกกันจนดึกดื่น เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เมวิกา ติ๋มและนาง จึงแหกตาตื่นมาตลาดสดแต่เช้า เพื่อหาซื้อผักสดไว้สำหรับเป็นผักเคียง สำหรับการเป็นแม่ค้าขายน้ำพริกครั้งแรก
“ติ๋ม มาตลาดแต่เช้าเลยนะ”
แม่ค้าสาวที่รู้จักกับติ๋มเป็นอย่างดีร้องทัก
“แวว...ฉันกับป้านางคิดจะขายน้ำพริกที่ตลาดนัดหน้าหมู่บ้านก็เลยมาหาซื้อผักสดน่ะ” ติ๋มคุยจ้อยๆ
“ดีๆ เดี๋ยวฉันแวะไปอุดหนุน ฝีมือป้านางสุดติ่ง รับรองขายดีแน่”
บ้านใกล้เรือนเคียง มีอาหารก็มักจะแบ่งปันกัน ดังนั้นฝีมือของนางจึงเป็นที่รู้จักดี
“สาธุ!!” นางยกมือท่วมหัว
“อ้าว คุณเม...มากับเขาด้วยเหรอคะ”
แววหันไปทักเมวิกาที่ยืนอยู่หลังสุด
หญิงสาวยิ้มรับไม่ได้พูดอะไรต่อ
“คุณเมเรียนจบแล้วกำลังหางานทำน่ะแวว นี่คุณเมก็ออกทุนให้ด้วยล่ะ”
“อ้าว...แล้วงานบ้านล่ะติ๋ม ออกไปขายของ คุณนายของแกไม่ว่าเอาเหรอ?”
ในเมื่อนางกับติ๋มเป็นคนงานในบ้านของพรรณี แล้วแบบนี้จะไม่มีปัญหาภายหลังหรือไง
“คุณนายไม่ว่าหรอก ฉันต้องกินต้องใช้ ก็คุณนายน่ะ!!” ติ๋มเกือบแฉพรรณีจนหมดดีที่เมวิกากระแอมปรามไว้เสียก่อน “อะแห้ม!!”
“ช่างเถอะๆ อย่าลืมล่ะ แวะไปอุดหนุนฉันด้วย...จะได้มีสตางค์มาคืนคุณเม”