“ตกลงมึงกับพริกหวานนี่ยังไง กูงงนะ”
“มึงไม่ต้องงงหรอกไอ้ตัง รู้แค่ว่ายัยนั่นพร้อมจะทำตามที่กูสั่งก็แล้วกัน”
“เช็ด! มึงนี่แม่งร้ายจริงนะ เอาคืนว่างั้นสิ”
“เออ มันก็สนุกดีนี่หว่า ได้เห็นยัยนั่นเป็นแมวน้อยน่ารักอะ”
“แมวน้อย... น่ารัก? มึงมองพริกหวานน่ารักเนี่ยนะ คิดอะไรอยู่เนี่ย” ไอ้ตังตบบ่าผมในขณะที่มองร่างบางเดินออกจากห้องไป ก็มันน่ารักจริงๆ นี่หว่า เห็นยัยนั่นหลุด เห็นยัยนั่นทำหน้าตลก ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็น มันมีแค่ผมเท่านั้นนะที่ได้เห็นอะ มันเลยดูน่ารักไปหมด
น่ารักจริงๆ นั่นแหละ ถึงจะมีความจองหองมากไม่ยอมแพ้ แต่นั่นมันก็นิสัยของเธอที่เหมือนกับผมนี่แหละ
“ยิ้มอะไรของมึง น่าขนลุกนะ”
“เออไปข้าวกินกันดีกว่า กูมีงานตอนบ่ายสามว่ะ”
“ดีเลย กูจะได้แนะนำให้มึงรู้จักกับคนที่กูคุยด้วย” ผมพยักหน้ารับและเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับไอ้ตัง แต่ก็ต้องชะงักกับร่างเล็กของแวนดี้ที่ยืนรออยู่ ไอ้ตังปล่อยมือที่กอดคอผมออกในทันที ใบหน้าหวานสวย ผมสีดำตรง ดวงตากลมโตเหมือนกับตุ๊กตาส่งยิ้มกับไอ้ตัง
“ตังกลับมาแล้วไม่เห็นบอกเราเลย”
“พอดีไม่ว่างน่ะ เธอมีอะไร?”
“อ่อเราอยากชวนตังไปกินข้าวด้วยกัน ไปกันนะ” แวนดี้กระโดดกอดแขนไอ้ตัง โดยที่ผมหลบแทบไม่ทัน ไอ้ตังถอนหายใจพร้อมแกะฝ่ามือของเธอออก “อย่าทำแบบนี้”
“ทะ ทำไมล่ะเราก็กอดแขนตังบ่อยๆ นะ”
“มันไม่เหมือนเดิมตั้งแต่เธอมีแฟนแล้วแวน” ถ้าไอ้ตังเรียกแวนดี้แบบนี้ แสดงว่าคงอยากจะห่างจริงอย่างที่มันพูด ผมได้แต่ยืนพิงกำแพงมองดูทั้งสองคนที่กำลังคุยเรื่องความสัมพันธ์
“ตัง...”
“พอทีกับการที่เธอเป็นห่วงเป็นใยฉัน พอทีกับการถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ ฉันไม่อยากมีปัญหากับไอ้ดีน” พูดแบบนั้นมันก็เดินหนีแวนดี้ไปพร้อมกับลากผมไปด้วย แต่ก็หยุดชะงักอีกครั้งที่แวนดี้คว้าต้นแขนไว้ ดีนะที่ชั้นนี้ไม่มีคนเดินผ่านไม่งั้นคงได้เมาท์กันมันแน่
“ทำไมล่ะตัง?”
“ทำไมเหรอ เพราะฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอแล้วไง”
“!” สีหน้าของแวนดี้ตกใจในทันที หักดิบชะมัด! ไม่คิดว่าไอ้ตังจะใจร้ายแบบนี้นะ แต่ผมก็เข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอกถึงแม้ทั้งสองคนจะเป็นเพื่อนกับผมก็ตามที “ฉันเป็นเพื่อนกับเธอไม่ได้อีกแล้วแวน พอเหอะ”
“ฮึก ตัง”
“ขอโทษนะ แต่ฉันทนเห็นเธออยู่กับไอ้ดีนไม่ได้ ทางที่จะทำให้ฉันไม่เจ็บปวดคือเดินออกมาจากเธอ”
“มะ หมายความว่ายังไง?”
“ฉันชอบเธอ”
“!”
“ชอบมาตลอดตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้... เพราะงั้นความสัมพันธ์ของเราเป็นได้แค่เพื่อนร่วมงานกันก็พอ” ผมเดินไปบีบไหล่ของไอ้ตังที่เห็นว่ามันกำลังเข้มแข็งแค่ไหนที่หักดิบกับความสัมพันธ์ที่ตัวมันเป็นฝ่ายคิดไปเองมาตลอดหลายปี
“แวนดี้เธอร้องไห้ทำไมน่ะ ใครทำอะไรเธอ!” จู่ๆ ไอ้ดีพระเอกหน้าใหม่ก็เดินมากอดปลอบแวนดี้ ผมเห็นไอ้ตังมองด้วยแววตาที่โคตรจะเจ็บปวด มันหันหลังหนีภาพนั้นแต่ไอ้ดีนกลับเธอตรงมาคว้าไหล่ไอ้ตังไว้
หมับ
“มึงจะทำอะไร?”
“เพื่อนนายทำแวนดี้ร้องไห้ เป็นเพื่อนประสาอะไรวะ!”
“พอเถอะดีน เราไม่เป็นอะไร”
“เหอะ แวนดี้ขอพูดอะไรหน่อยนะในฐานะเพื่อน...” แวนดี้พยักหน้ารับ มองผมที่สบตากับไอ้ดีนตั้งแต่หัวจรดเท้า เบ้ปากจนมันกำหมัดแน่น
“โคตรเกลียดแฟนเธอเลยว่ะ”
“โซล!”
“เรียกกูทำไม? ชื่อกูมันจำยากหรือไง”
“แก...”
“มึงจะใส่ร้ายไอ้ตังกรอกหูแวนดี้ยังไงก็เรื่องของมึงนะ แต่ถ้าคิดจะทำให้แวนดี้เสียใจ บอกเลยกูไม่ปล่อยไว้แน่” ผมชี้หน้ามันและกอดคอไอ้ตังเดินออกจากตรงนั้น และพามันลงไปชั้นล่างของบริษัทผลักร่างสูงที่เอาแต่ก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่แบบนั้น
“ไม่ต้องดงต้องแดกแล้วมั้งข้าวอะ”
“ไม่แดกได้ไง กูนัดพิมไว้ล่ะ”
“อ่อเด็กใหม่ชื่อพิม...”
“อือ”
“งั้นก็ข่มตาข่มใจให้โอเคแล้วค่อยไป กูยังมีเวลาอีกสี่ชั่วโมง” ไอ้ตังพยักหน้ารับผมเลยเดินไปที่ตู้น้ำอัตโนมัติกดน้ำแร่มาดื่ม สายตาหันไปมองแวนดี้ที่มองไอ้ตังอย่างเสียใจแต่ไอ้ดีนก็ค่อยพูดปลอบ ไม่หรอก คงจะใส่ร้ายมากกว่า
เมื่อไปกินข้าวกับคนพิเศษของไอ้ตังก็ได้พบว่าผู้หญิงที่มันคุยด้วยเป็นผู้หญิงที่อายุเพียงยี่สิบปี แต่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ดูเป็นลูกคุณหนูนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วโอเคสำหรับมันนะไม่ใช่ผม มันแยกกับผมเพราะผมต้องมาทำงานต่อส่วนมันก็ไปเตรียมตัวถ่ายงานที่อื่นต่อไป ผมถ่ายงานแบรนด์รองเท้ายี่ห้อหนึ่งกินเวลาจนถึงหกโมง เมื่อเรียบร้อยผมก็นั่งสูบบุหรี่อยู่ในห้องแต่งตัว กระทั่งประตูเปิดขึ้น
“พี่จอย พรุ่งนี้ผมมีงานถ่ายรายการอะไรเหรอ?”
“จะกลับได้ยัง”
“หือ? อะ อ้าวเธอ” ผมมึนงงเพราะคนที่เข้ามาไม่ใช่พี่จอยแต่เป็นพริกหวาน เธอเดินหน้ามุ่ยมานั่งที่ขอบโต๊ะกระจก ซึ่งผมนั่งอยู่บนเก้าอี้พาดขาไว้ที่โต๊ะกระจกอีกตัว คีบบุหรี่เข้าปากพ่นควันไปอีกทาง
“มาองมาอ้าว ไหนว่าจะกลับพร้อมกันไง”
“เธอ... ไม่โวยวาย? มันดูแปลกๆ นะ” เธอถอนหายใจและลุกขึ้นเดินหนีผม “งั้นไม่กลับก็ได้ ทีหลังอย่าชวนนะ อุตส่าห์หิวท้องจะไปกินข้าวที่คอนโดนายซะหน่อย”
“เออเฮ้ยเดี๋ยวดิ ล้อเล่นน่า” ผมคว้าต้นแขนเธอไว้ พริกหวานมองสบตากับผมและคว้าเอาบุหรี่ที่อยู่ในปากมาถือไว้จนผมงง
“ไม่สูบได้ไหมไอ้นี้อะ อยากตายเร็วว่างั้น”
“...”
“ผู้ชายทุกคนที่ฉันรู้จักเนี่ยทำไมจะต้องสูบมันด้วยนะ ทั้งพ่อ ทั้งพี่นพและก็มานาย” พริกหวานเอาบุหรี่มายัดใส่ปากผมตามเดิม “ลืมไปว่าห้ามไม่ได้เพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“หึ”
“หัวเราะอะไร จะไปได้ยัง” ผมมองร่างบางที่เดินนวยนาดออกจากห้องไป มองบุหรี่ที่เอาออกมาจากปากก็ได้แต่ยิ้มแค่นั้น
ผมพาพริกหวานมาถึงห้อง เธอก็ตรงไปนั่งที่โซฟาส่วนผมก็ถอดเสื้อเชิ้ตออก เข้าครัวทันทีพร้อมกับร่างบางที่เดินมาเท้าคางอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์ “ไม่ยักรู้ว่านายทำอาหารเป็นด้วย?”
“งั้นก็รู้ไว้นะ ฉันน่ะพ่อครัวหัวป่าของแท้”
“ชิอย่าหลงตัวเองให้มากเลย แค่ทำพอกินประทังชีวิตได้ก็เท่านั้นล่ะ” พริกหวานลงจากเก้าอี้เดินมายืนข้างผมที่กำลังหั่นผักอยู่ “ช่วยได้ไหม?”
“หั่นเป็น”