บรรยากาศภายในกองบัญชาการนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย นั่นคงเป็นเพราะว่านางเคยเห็นภาพการฝึกของเหล่าทหารในกองบัญชาการชั่วคราวจนชินตาเสียแล้ว ทั้งที่นางจำความรู้สึกเมื่อสองปีก่อนได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ตอนที่ได้เข้ามารายงานตัวในกองบัญชาการครั้งแรก ทำให้รู้ว่าอาณาจักรโจวเสียนนั้นมีกองทัพที่แข็งแกร่งและเก่งกาจเพียงใด เมื่อได้เห็นการฝึกของพวกเขาแล้ว คำว่าแพ้ก็ไม่เคยถูกบรรจุในสมองของนางเลยสักครั้ง
ทั้งที่ยังจำความรู้สึกเมื่อสองปีก่อนได้ แต่เหตุใดใบหน้าของบุรุษที่ช่วยนางเมื่อคืนนี้กลับจำไม่ได้เสียอย่างนั้น ช่างน่าสงสัยเสียจริง โชคดีที่นางยังพอจำเสียงของเขาได้ เสียงทุ้มเย็นชามีเอกลักษณ์ที่เอ่ยบางอย่างกับนาง...
หวังอี้หยางชะงักเท้าหลังจากพยายามทบทวนความทรงจำที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่ใบหน้าหวานจะร้อนขึ้นจนแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อเสียงในความทรงจำของนางเริ่มชัดเจนขึ้น รวมถึงบทสนทนาต่างๆ ที่ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด
‘ข้าเกลียดท่าน... จ้าวหลี่จวิน’
‘เหตุใดเจ้าจึงเกลียดข้า’
ดวงตากลมสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้น หญิงสาวยกมือขึ้นปิดริมฝีปากอย่างตกใจ หลังจากพบว่าน้ำเสียงที่นางรู้สึกคุ้นเคยเป็นของผู้ใด จากนั้นภาพใบหน้าของบุรุษผู้นั้นก็ชัดเจนขึ้นทันที
จ้าวหลี่จวิน!
นัยน์ตาของหวังอี้หยางสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อเริ่มรำลึกความทรงจำของตนเองได้ทีละนิด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ต่างๆ หรือประโยคที่นางเอ่ยกับเขา รวมถึงความรู้สึกของนางด้วย จนกระทั่งถึงประโยคสุดท้าย...
‘ท่านแม่ทัพ... ข้ารักท่านเจ้าค่ะ’
อ๊าก!!!
นี่ข้าพูดอะไรออกไป!!!
ร่างเล็กทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรงจนทหารที่เดินสวนมานั้นถึงกับสะดุ้งและรีบเข้ามาดูแลอย่างเป็นห่วงทันที
“ท่านหมอเป็นอันใดหรือเปล่าขอรับ อ้าว! ท่านหมอหวังนี่เอง”
หวังอี้หยางเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้รู้จักนามของนางอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาทักนั้นคือผู้ใด
“ท่านหัวหน้าหน่วยอู๋เจียง... ”
อู๋เจียงมองใบหน้างามซีดเซียวนั้นอย่างประหลาดใจ พลางคิดว่านางคงมีอาการเมาค้างจากงานเลี้ยงฉลองเมื่อวานนี้เป็นแน่ แต่ที่น่าสงสัยก็คือเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่กองบัญชาการนี้ได้ ทั้งที่ตึกแพทย์หลวงก็อยู่ห่างจากกองบัญชาการอยู่มาก หรือนางต้องการจะเดินผ่านกองบัญชาการเพื่อกลับไปยังห้องพักของนางที่อยู่ในค่ายทหาร แต่ที่น่าสงสัยยิ่งไปกว่านั้นก็คือเหตุใดทหารรักษาการณ์จึงปล่อยให้คนนอกเข้ามาเดินเล่นในสถานที่แห่งนี้ได้ ทั้งที่ช่วงนี้ได้รับคำสั่งห้ามคนนอกเข้าออกกองบัญชาการเด็ดขาด เว้นเสียแต่ได้รับคำสั่งยกเว้นของคนที่มีอำนาจมากที่สุดในสถานที่แห่งนี้...
“ท่านไม่สบายหรือ หน้าตาท่านดูซีดมาก” บุรุษหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย พร้อมกับช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น
หวังอี้หยางชักแขนกลับอย่างสุภาพหลังจากยืนตั้งหลักได้แล้ว
“ขอบคุณท่านหัวหน้าหน่วยที่ช่วยเหลือ” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ในขณะที่สมองของนางกำลังเอ่อล้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลายหลังจากได้รับความทรงจำที่หายไปกลับคืนมาครบทั้งหมด ยกเว้นช่วงที่นางหมดสติหลังจากสารภาพ... รัก... ไปแล้ว
ช่างน่าอับอายเสียจนอยากวิ่งไปกระโดดสระบัวอีกรอบ
อู๋เจียงลอบสังเกตท่าทางของสตรีตรงหน้าอย่างสงสัย
“ว่าแต่ท่านมีเรื่องอันใดในกองบัญชาการหรือ ข้าสามารถช่วยท่านได้หรือไม่”
หวังอี้หยางเงยหน้ามองบุรุษเจ้าของรอยยิ้มเป็นมิตรแม้ดวงตาจิ้งจอกนั้นจะดูไม่น่าไว้ใจก็ตาม แต่จะให้นางขอความช่วยเหลือจากเขาได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเรื่องนี้มันช่างน่าอับอายเหลือเกิน
และเมื่อนางจำเหตุการณ์สะเทือนใจนี้ได้ ก็เริ่มเสียใจที่เข้ามาสถานที่แห่งนี้เสียแล้ว เพราะเมาจนเผลอตัวไปสารภาพรักกับคนที่นางไม่ควรคิดเกินเลยมากที่สุด อีกทั้งบุรุษผู้นั้นก็คือคนที่กำลังจะได้รับสมรสพระราชทาน ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่สตรีคนแรกที่กล้าหาญไปสารภาพรักกับท่านแม่ทัพผู้นั้นก็ตาม
หวังอี้หยางเผลอกัดปากขณะครุ่นคิดหาทางออกให้ตนเอง เนื่องจากความตั้งใจเดิมคือการตามหาบุรุษผู้ช่วยเหลือนาง ทว่าเวลานี้นางรู้แล้วว่าใครคือเจ้าของมือข้างนั้น แต่นางจะเผชิญหน้าเขาได้อย่างไร หลังจากที่นางทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นลงไปแล้ว
“อ๊ะ! ท่านหมอหวัง ปากท่านเลือดออกแล้ว” อู๋เจียงตกใจเมื่อเห็นว่าริมฝีปากของหญิงสาวมีเลือดซึมออกมา เขาจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อและขยับเข้าไปใกล้ทันที
หวังอี้หยางตกใจเมื่ออยู่ๆ อู๋เจียงก็เข้ามาใกล้พร้อมกับเชยคางของนางขึ้น ก่อนจะรู้สึกแสบเบาๆ เมื่อถูกชายหนุ่มซับเลือดบนริมฝีปากที่นางกัดไปโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเมื่อคำพูดหนึ่งของจ้าวหลี่จวินแล่นเข้ามาในความทรงจำพร้อมกับภาพเหตุการณ์ราวกำลังฉายซ้ำ
‘อย่ากัดปาก’
อู๋เจียงชะงักไปหลังจากเห็นว่าแก้มใสของนางกำลังเป็นสีแดง เมื่อรู้ตัวว่าเข้าใกล้เกินไปแล้ว จึงรีบชักมือขึ้นและถอยห่างทันที
“ขออภัยท่านหมอหวัง พอดี... ข้าตกใจเกินไป” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าของตนให้นางแทน
หวังอี้หยางรับผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนตรงหน้ามาด้วยความรู้สึกเกรงใจ
“ขอบคุณท่านหัวหน้าหน่วย”
“พวกเจ้าทำอะไรกัน”
ทั้งสองชะงักครู่หนึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยบุรุษอีกคน จากนั้นจึงหันไปมองเจ้าของต้นเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียง
“ท่านแม่ทัพ... ” หวังอี้หยางผู้ยังไม่ทันได้เตรียมใจที่จะเผชิญหน้าถึงกับตัวแข็งทื่อ ทั้งที่หัวใจของนางนั้นกำลังเต้นรัวทันทีที่เห็นใบหน้าของเขา
บุรุษเจ้าของใบหน้ารูปสลักที่สตรีใดเห็นเป็นต้องหลงใหล ดวงตาเรียวเล็กสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งและริมฝีปากหยักได้รูป... รวมถึงรูปร่างสูงกำยำและมีกล้ามเนื้อที่ซ่อนเอาไว้อยู่มากมาย (ที่รู้ก็เพราะเคยเห็นตอนทำแผล) เป็นเขาไม่ผิดแน่ และยิ่งถูกถามเช่นนี้ จะวิ่งหนีก็คงไม่ทันเสียแล้ว ทางเดียวคือต้องทำใจกล้าเผชิญหน้าตามน้ำไป พลางคิดว่าวันนี้นางมาเพื่อขอบคุณเขาไม่ได้มาสารภาพรัก อีกอย่างจ้าวหลี่จวินคงไม่ใส่ใจคนเมาอยู่แล้ว หากนางแสร้งทำเป็นลืมไปบ้าง เขาก็คงไม่ใส่ใจหรอกกระมัง
“ข้าถามว่าพวกเจ้าทำอันใดกัน” เสียงทุ้มราบเรียบเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง ในดวงตาของแม่ทัพหนุ่มนั้นดูไม่สบอารมณ์ที่เห็นสตรีที่เพิ่งสารภาพรักตนเมื่อวานนี้กำลังใกล้ชิดกับบุรุษอีกคน ทว่าเมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้นกลับเป็นตนที่ต้องขมวดคิ้ว
นางกัดปากตัวเองอีกแล้ว
“พอดีข้าเห็นท่านหมอหวังเหมือนจะไม่สบายจึงเข้ามาดูเฉยๆ” อู๋เจียงอ่านสายตาของสหายออกจึงรีบแก้ตัวและถอยออกจากสตรีข้างกายทันที
“แล้วเจ้าไม่มีงานทำหรืออย่างไร” จ้าวหลี่จวินถามคนรู้ทันพร้อมกับหรี่ตาลงรางกำลังจับผิด
อู๋เจียงเห็นสายตาพญามารของสหายแล้ว ความคิดที่อยากจะเย้าแหย่คนทั้งคู่ก็บินหายในทันที ลำพังงานของหัวหน้าหน่วยก็มากพออยู่แล้ว หากถูกจ้าวหลี่จวินเพ่งเล็งขึ้นมาอีก คราวนี้คงได้ฝังรากอยู่ในกองบัญชาการเป็นแน่
“อ้อ! ข้าเพิ่งนึกได้ว่าต้องจัดการเรื่องทหารสองหน่วยที่ทะเลาะกัน” บุรุษหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่กระนั้นก็ไม่วายหันไปบอกลาหญิงสาวที่ยืนนิ่งไปเพื่อกวนอารมณ์สหายของตน “ท่านหมอหวัง ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ข้าให้ท่านซับเลือดเอาไว้ เจอกันคราวหน้าอย่าลืมเอามาคืนข้าด้วยล่ะ”
หวังอี้หยางรู้สึกตัวเมื่อถูกเอ่ยถึง จากนั้นจึงรีบรับปากทันที โดยลืมไปว่าตนเองกำลังถูกจับตามองอยู่
“ได้เจ้าค่ะท่านหัวหน้าหน่วย”
อู๋เจียงจากไปพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดี ในขณะที่คนที่เหลือนั้นกลับมีความรู้สึกตรงข้ามอย่างสุดขั้ว คนหนึ่งก็อยากจะหนี อีกคนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง
แต่กระนั้นกลับกลายเป็นจ้าวหลี่จวินที่เดินเข้าไปหาสตรีผู้สวมเสื้อคลุมสีฟ้าเสียก่อน ดวงตาคู่คมมองริมฝีปากเล็กที่มีเลือดซึมออกมาด้วยความห่วงใย จากนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนขึ้นมาซับเลือดของหญิงสาวแทนผ้าเช็ดหน้าของอู๋เจียง
“ข้าบอกแล้วว่าอย่ากัดปากเช่นนี้อีก” เสียงทุ้มดุเบาๆ
ทว่าคนถูกดุนั้นกลับยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับก้องหินเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกคนที่ตนเองแอบรักเข้ามาประชิดเช่นนี้ในสภาพที่นางสติดีครบถ้วน และความแสบจากริมฝีปากโจมตี จึงสัมผัสได้ว่าหัวใจของตนเองในเวลานี้นั้นเต้นแรงเพียงใด เพราะแรงจนหูอื้อได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจเต้นรัว จนได้ยินคำพูดของเขาไม่ชัดเจนเท่าใด
ใบหน้าหวานร้อนผ่าวอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในความใกล้ชิดเช่นนี้... ทั้งที่ไม่ได้ดื่มสุราแต่สัมผัสอย่างนุ่มนวลนั้นกลับทำให้นางเริ่มวิงเวียน
“ข้า... ” หวังอี้หยางตั้งใจจะเอ่ยขอบคุณ ทว่าหลังจากสบสายตาในระยะประชิดเช่นนี้ เสียงของนางกลับหายไปจากลำคอเสียอย่างนั้น
จ้าวหลี่จวินเห็นพวงแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีแดงก็อดเอ็นดูไม่ได้ แม้ไม่ได้ตั้งใจเข้าใกล้นางมากเกินไป แต่เมื่อเห็นว่านางกำลังพูดคุยและส่งยิ้ม (คิดไปเอง) ให้กับบุรุษผู้อื่น กลับทำให้เขาร้อนรนจนทนไม่ไหว รีบแสดงตัวเข้าไปขัดขวางบทสนทนานั้นทันที ก่อนคิดได้ว่าการกระทำเช่นนี้นั้นช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย และที่เขามีอารมณ์ขุ่นเคืองเช่นนี้ก็คงเป็นเพราะคำสารภาพของนาง
ทั้งที่เคยได้รับการสารภาพรักมามากมายในหลายเหตุการณ์ แต่กลับไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวเช่นนี้มาก่อน ทว่าคำสารภาพและสายตาของนางที่มองมานั้น ทำให้หัวใจที่เหมือนจะด้านชาไปแล้วฟื้นคืนขึ้นอีกครั้ง เขาจึงอยากรู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้คือสิ่งใดกันแน่ และการได้ใกล้ชิดกับนางคงสามารถตอบคำถามนี้ได้
“ที่นี่อากาศคงร้อนเกินไป ไปทำแผลที่ห้องของข้าก่อนเถิด”