ตอนที่ 4 ข้อยกเว้น

1829 คำ
แม้ว่าระบบอาวุโสจะไม่เคร่งครัดในอาณาจักรโจวเสียน ทว่าลำดับชั้นของตำแหน่งก็ยังได้รับความยำเกรงอยู่ โดยเฉพาะเหล่าขุนนางที่ได้รับอาภรณ์สีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีของวีรบุรุษและวีรสตรีในสงคราม บ่งบอกว่าเป็นขุนนางที่ผ่านสนามรบมาแล้ว เพื่อเป็นการยกย่องเหล่าผู้กล้า ฮ่องเต้โจวอู๋หมิงจึงได้มอบอาภรณ์สองสีนี้เพื่อเป็นเกียรติยศแห่งความกล้าหาญ เสียสละ และจงรักภักดีต่ออาณาจักร ไม่ว่าจะทั้งคนเป็นหรือคนตาย ทุกคนที่มีรายชื่อในการออกรบล้วนได้รับอาภรณ์เหล่านี้ สตรีผู้สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนเดินเข้าไปในตึกแพทย์ท่ามกลางสายตาของเหล่าแพทย์อายุน้อยที่เพิ่งสอบผ่านเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าท่าทางของนางจะไม่ได้น่าเกรงขาม แต่เสื้อคลุมของนางกลับสร้างความยำเกรงได้เป็นอย่างดี เพราะนางคือหนึ่งแพทย์สนามที่ร่วมสงครามในครั้งนี้ ทำให้ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของนางและเหล่าแพทย์ผู้กล้าหาญที่สร้างความดีความชอบให้แก่ตึกแพทย์หลวง “ท่านหมอหวัง! ท่านกลับมาแล้ว!” เฉินเจี๋ยลู่แพทย์หนุ่มในอาภรณ์สีขาวล้วนวิ่งเข้าไปหาสหายร่วมรุ่นทันทีด้วยความดีใจ ที่ดูเหมือนร่าเริงเกินเหตุเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าหวังอี้หยางเป็นคนเสนอตัวอาสาเข้าหน่วยแพทย์ร่วมสงคราม ทำให้เขาไม่ถูกเสนอชื่ออย่างที่เคยกังวล แม้ว่าในใจนั้นจะเต็มไปด้วยความละอายใจ แต่เมื่อได้เห็นหญิงสาวกลับมาอย่างปลอดภัย ก็อดโล่งใจมิได้ “ท่านหมอเฉิน ไม่พบเจอกันเสียนาน ยังทำงานในสวนสมุนไพรเหมือนเดิมหรือ” หวังอี้หยางยิ้มทักทาย ก่อนเอ่ยถามหลังจากสังเกตเห็นว่าใบหน้าและนิ้วมือของเฉินเจี๋ยลู่ยังมีคราบดินหลงเหลืออยู่ “ยังทำอยู่... แต่เจ้ารีบตามมาเถอะ หัวหน้าแพทย์หลวงเรียกหาเจ้าอยู่” “มีเรื่องอันใดหรือ” หวังอี้หยางถามเพราะความสงสัยในท่าทางรีบร้อนชายหนุ่ม “ไม่ต้องกังวล ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องที่ดี เร็วเข้า!” เฉินเจี๋ยลู่ดึงข้อมือเล็กให้เดินตามอย่างรวดเร็ว หวังอี้หยางเดินตามสหายหนุ่มไปจนถึงห้องทำงานของหัวหน้าแพทย์หลวง และเมื่อเปิดประตูออกก็พบว่ามีขุนนางมากมายนั่งหารืออยู่ในห้อง “หัวหน้าแพทย์หลวงหวังขอรับ ท่านหมอหวังกลับมาแล้ว!” เฉินเจี๋ยลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง ท่ามกลางสีหน้าเคร่งขรึมของเหล่าขุนนางแพทย์ที่มองมา หวังอี้หยางเห็นบรรยากาศตรงกันข้ามกับน้ำเสียงเริงร่าของชายหนุ่ม จึงโค้งคำนับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายด้วยสีหน้านิ่งเรียบแต่นอบน้อม และบอกให้เฉินเจี๋ยลู่กลับไปก่อน หลังจากที่ชายหนุ่มเดินออกไปแล้ว นางจึงหันกลับมาทักทายบุคคลที่เหลืออยู่ทันที “ทักทายผู้อาวุโสทั้งหลาย แพทย์สนามหวังอี้หยางมารายงานตัวต่อหัวหน้าแพทย์หลวงหวังเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสเอ่ยพร้อมกับยืดตัวขึ้นและมองท่านอาจารย์ของตนอย่างดีใจ หวังฮุ่ย หัวหน้าตึกแพทย์หลวงมองลูกศิษย์คนเล็กของตนด้วยสายตาภาคภูมิใจ แม้ว่าในเวลานี้ตนไม่อาจแสดงออกได้มากก็ตาม เนื่องจากกำลังถูกขุนนางแพทย์ที่ทำงานร่วมกันกดดันเรื่องตำแหน่งของหวังอี้หยาง “พวกข้าขอให้ท่านเก็บข้อเสนอนี้ไปคิดให้ดี” ขุนนางวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเรื่องที่เสนอกันในวันนี้คงยังไม่มีข้อสรุป ทว่าก่อนเดินออกจากห้องกลับเหลือบมองสตรีผู้สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอย่างไม่พอใจนัก หวังอี้หยางรับรู้ถึงความไม่เป็นมิตรจากขุนนางทั้งหลายที่เดินออกจากห้องจึงแสร้งยิ้มตอบกลับ ทว่าเมื่อเหลืออยู่เพียงแค่สองคนแล้ว นางจึงเดินเข้าไปคำนับอาจารย์ของตนทันที “ท่านอาจารย์ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมส่งยิ้มกว้างสดใสให้บุรุษวัยกลางคนตรงหน้า หวังฮุ่ยมองหลานสาวผู้ดื้อรั้นพ่วงตำแหน่งลูกศิษย์ของตนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู หลังจากที่ตนต้องถูกพี่ชายบ่นจนหูชาเช้าเย็นตลอดสองปีที่ผ่านมา แต่ก็ทำได้แค่ภาวนาให้นางกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทว่าหลังจากเห็นรอยยิ้มสดใสแต่ไร้ความกังวลนี้แล้ว จึงรู้ว่าประสบการณ์ในสงครามทำให้นางเติบโตได้รวดเร็วเพียงใด ในฐานะที่ตนเป็นอาจารย์ คงไม่มีสิ่งใดที่น่าภูมิใจไปมากกว่านี้ หวังฮุ่ยยกมือลูบศีรษะเล็กเบาๆ “ขอบใจที่กลับมาอย่างปลอดภัย พ่อเจ้าจะได้เลิกบ่นข้าสักที” “ท่านพ่อก็บ่นไปเรื่อย ท่านเคยห่วงข้าที่ไหนกันเจ้าคะ หลังจากที่ข้าออกจากบ้าน ก็ไม่เห็นมาตามข้ากลับบ้านเลยสักครั้ง” หวังอี้หยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง บุรุษวัยกลางคนมองหลานสาวช่างประชดประชันของตนอย่างเอ็นดู นิสัยถือทิฐิเช่นนี้ช่างถอดแบบออกมาได้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งพ่อทั้งลูกสาว “เพราะเขาห่วงเจ้า ถึงได้บอกให้ข้าจัดหาตำแหน่งในตึกแพทย์หลวงให้เจ้าอย่างไรเล่า ซึ่งตามความดีความชอบแล้ว แพทย์สนามจะต้องได้รับตำแหน่งในระดับหัวหน้าหน่วยขึ้นไป” หวังฮุ่ยเอ่ยพลางคิดถึงปัญหาเมื่อครู่แล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ที่ตนขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะว่ามีขุนนางแพทย์อาวุโสคอยสนับสนุน ทว่าตำแหน่งของหวังอี้หยางในครั้งนี้กลับทับซ้อนกับตำแหน่งของบุตรชายคนหนึ่งของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ทำให้พวกเขาคัดค้านการแต่งตั้งตำแหน่งของหญิงสาว แม้เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในเมื่อตนยังต้องการการสนับสนุนจากพวกเขาอยู่ หวังอี้หยางสังเกตเห็นความกังวลในสีหน้าท่านอาของตนจึงคิดว่าในตำแหน่งนางอาจจะสร้างปัญหาให้แก่เขา จึงเอ่ยเป็นนัยเพื่อความสบายใจของคนที่นางเคารพ เพราะก่อนหน้านี้นางก็พอจะได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้ว จึงไม่ได้ขุ่นเคืองเท่าใดนัก “ท่านอาจารย์ เรื่องของข้าท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ให้ข้ากลับไปอยู่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตามเดิมก็ได้ หลังจากผ่านสงครามมาแล้วข้าจะได้ใช้ประสบการณ์ที่เคยรักษาเหล่าทหาร มาช่วยรักษาชาวบ้าน” หวังฮุ่ยมองเห็นความจริงใจและกระตือรือร้นในสายตาของหลานสาวก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที เพราะความไม่รู้จักทะเยอทะยานของนาง อาจทำให้ต้องลำบากในวันข้างหน้า โดยเฉพาะกับเหล่าแพทย์สนามที่ต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตจากการเข้าร่วมสงคราม หากไม่ได้รับการปูนบำเหน็จในครั้งนี้ ครั้นมีสงครามในครั้งหน้า ใครเล่าจะกล้าเสี่ยงชีวิตอาสาไปร่วมสงคราม “ฮ่องเต้ทรงตรัสแล้วว่าทุกคนที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ต้องได้รับรางวัลความดีความชอบเพื่อตอบแทนการเสียสละที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางอันตรายถึงสองปี แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะต้องหาตำแหน่งดีๆ ให้เจ้าได้แน่นอน” หวังฮุ่ยกล่าวกับหลานสาว หลังจากคิดได้ว่าหากไม่มีตำแหน่งที่ว่าง ก็แค่สร้างมันขึ้นมา อย่างน้อยตำแหน่งนี้ก็คงไม่ไปขัดใจผู้ใด และน่าจะเป็นตำแหน่งที่นางชื่นชอบอีกด้วย “เอาเถอะ วันนี้เจ้าแค่เข้ามารายงานตัวกับข้าก็พอแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเริ่มทำงาน” หญิงสาวยิ้มบางๆ ก่อนก้มศีรษะแทนคำขอบคุณ “ขอบคุณค่ะหัวหน้าแพทย์หลวง” หวังอี้หยางเดินออกมาจากตึกแพทย์หลวงหลังจากได้รับอนุญาตให้พักผ่อนได้อีกหนึ่งวัน ซึ่งก่อนกลับห้องพักในค่ายพักทหารที่ตั้งอยู่ใกล้กับกองบัญชาการ นางจึงคิดได้ว่าควรแวะไปที่กองบัญชาการเสียก่อน เพราะจะได้ตามหาคนที่ช่วยเหลือนางเอาไว้ และกล่าวคำขอบคุณเพื่อไม่ให้รู้สึกติดค้างในใจ กองบัญชาการทหารถูกควบคุมดูแลโดยแม่ทัพจ้าวหลี่จวิน ความเก่งกาจของจ้าวหลี่จวินไม่ได้มีแค่ฝีมือหรือความฉลาดในได้การทำสงครามเท่านั้น แต่รวมถึงการจัดการต่างๆ ในเรื่องสวัสดิการของเหล่าทหารทุกลำดับชั้นอีกด้วย ถึงบุรุษผู้นี้จะมีชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยมถึงขั้นมีข่าวลือว่าเขาหั่นศัตรูจนขาดเป็นท่อนได้ (ซึ่งก็เป็นความจริง) แต่แท้จริงแล้วกลับรักพวกพ้องและดูแลเหมือนครอบครัว ดูแลทุกข์สุขของพลทหารทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียมจนได้รับความรักและความเคารพอย่างล้นหลาม หวังอี้หยางได้เห็นความรักที่เขามีต่อลูกน้องในสังกัดกับตาตัวเองมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือปกป้องหน่วยแพทย์สนามเพื่อนำคนที่บาดเจ็บมารักษา หรือบางครั้งก็มาเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บถึงสถานพยาบาลชั่วคราวเพื่อให้กำลังใจ ความเพียบพร้อมของเขาทำให้นางแอบชื่นชมอยู่ห่างๆ คอยเฝ้ามองห่วงใยอยู่หลายครั้งในยามที่เขาที่ออกไปรบ และดีใจทุกครั้งที่เห็นว่าเขากลับมาอย่างปลอดภัย แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที นางก็หลงรักเขาไปเสียแล้ว แม้จะเป็นความรักที่ไม่สมหวังก็ตาม หญิงสาวเดินมาถึงประตูทางเข้ากองบัญชาการ แต่ก่อนจะได้ยืนยันตัวตน ทหารรักษาการณ์กลับเปิดทางให้นางในทันที หวังอี้หยางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “พวกท่านไม่ตรวจตราของข้าหรือ” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมกับชูตราประจำตำแหน่งขึ้น “ท่านหมอหวัง ท่านแม่ทัพจ้าวสั่งไว้ว่าหากท่านมาที่นี่ สามารถผ่านประตูได้เลยขอรับ” “ท่านแม่ทัพจ้าวอย่างนั้นหรือ” ยิ่งได้ยินเช่นนั้น นางยิ่งประหลาดใจและสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม เหตุใดนางจึงได้รับข้อยกเว้นเล่า หรือเป็นเพราะว่านางคือแพทย์สนามในสงคราม จึงคิดว่านางอาจจะมาเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บอย่างนั้นหรือ แต่ถึงกระนั้นก็น่าสงสัยอยู่ดี “ขอรับ เชิญท่านหมอผ่านประตูได้เลยขอรับ” ทหารรักษาการณ์เปิดประตูเล็กให้สตรีผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เพราะคิดว่าสตรีผู้นี้คงมีความสำคัญบางอย่างที่ทำให้ท่านแม่ทัพถึงกับออกคำสั่งกับเหล่าทหารรักษาการณ์ด้วยตัวเอง “ขอบคุณ” หวังอี้หยางพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้มากนัก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องเก็บมาใส่ใจ ในเมื่อจุดประสงค์ที่นางมากองบัญชาการในครั้งนี้หาใช่แม่ทัพจ้าวหลี่จวินแต่อย่างใด แต่เป็นบุรุษปริศนาที่ช่วยนางเอาไว้ไม่ให้ตกสระบัวและพาร่างไร้สติของนางไปส่งถึงห้องพักต่างหาก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม