เฮือก!
ดวงตากลมเบิกกว้างหลังจากได้สติ ทว่าภาพตรงหน้าของนางนั้นกลับทำให้นางต้องขมวดคิ้ว ที่นี่คือห้องพักของนางในค่ายทหารไม่ผิดแน่ แต่นางมาอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร
หวังอี้หยางยันตัวขึ้นนั่งและก้มมองสภาพของตนเองที่ยังดูดีเหมือนตอนที่เข้างานเลี้ยงฉลอง คืนวานนี้หญิงสาวจำได้ว่านั่งอยู่ในงานและรับการคำนับจากเหล่าบุรุษนับร้อยจอก ทว่าหลังจากที่แม่ทัพจ้าวหลี่จวินเข้ามาในงานฉลองเพียงครู่หนึ่ง นางจึงได้หลบออกจากงานเลี้ยงเพื่อปลอบใจตัวเอง เพราะไม่อาจอยู่สู้หน้าจ้าวหลี่จวินได้ แต่หลังจากที่ดื่มสุราในขวดที่ถือติดมือมาด้วยอีกอึกใหญ่ ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งเดินตามมา และหลังจากนั้นความทรงจำของนางก็หายไป
ซึ่งภาพสุดท้ายที่จำได้ก็คือภาพของบุรุษร่างสูงใหญ่ที่วิ่งเข้ามารับนางเอาไว้ก่อนจะเสียหลักตกสระบัวเพียงเท่านั้น
เป็นไปได้ว่าบุรุษผู้นั้นคงเป็นสหายสักคนในกองทัพที่เข้ามาขอบคุณนาง และช่วยพานางกลับมายังห้องพักแห่งนี้อย่างปลอดภัย หากได้พบเจอกันอีกครั้ง คงต้องเอ่ยขอบคุณเสียแล้ว แต่ก่อนจะค้นหาบุรุษผู้นั้น นางต้องชำระร่างกายเสียก่อน เพราะมีกลิ่นสุราโชยออกมามากมายเช่นนี้คงถูกหัวหน้าแพทย์หลวงตำหนิเป็นแน่
“ฮึบ!” หวังอี้หยางลุกขึ้นจากที่นอนเล็กๆ ของตน ก่อนเดินไปหยิบเครื่องหอมสำหรับชำระร่างกายในตู้เก็บของ จากนั้นจึงออกจากห้องและเดินตรงไปยังลำธารเขตสตรีเพื่อชำระร่างกายทันที
ชาวโจวเสียนนิยมความงามทุกกระเบียดนิ้วตามความเชื่อที่มีมาก่อนประวัติศาสตร์ การชำระร่างกายจึงเป็นขั้นตอนพื้นฐานสำหรับการเสริมสร้างความงามจากภายในสู่ภายนอก โดยเฉพาะสตรีที่นี่มักนิยมให้มีกลิ่นหอมของบุปผาติดกายเพื่อความจรรโลงใจ ทว่าหวังอี้หยางอยู่ในสนามรบนานถึงสองปี คุ้นเคยกับกลิ่นคาวของโลหิตและกลิ่นเน่าเหม็นของซากศพจนเกือบหลงลืมกลิ่นหอมของบุปผาไปเสียแล้ว กระทั่งถุงหอมที่พกติดตัวก็เหมือนจะไม่ช่วยสักเท่าใด ทว่าเวลานี้นางไม่ได้อยู่ในสนามรบ อีกทั้งยังต้องทำงานในตึกแพทย์หลวง การที่ร่างกายมีแต่กลิ่นคาวเลือดนั้นถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล ควรชำระให้หมดสิ้นเสียก่อนจะเข้าตึกเพื่อรายงานตัว
ที่ลำธารสำหรับชำระร่างกายในวังหลวงถูกแบ่งออกเป็นสองเขตสำหรับบุรุษและสตรี แต่ถึงแม้ว่าจะถูกแบ่งเป็นสัดส่วน ก็มีเพียงแค่ผ้าขาวบางๆ กั้นเขตแดนเอาไว้เท่านั้น การอาบน้ำร่วมกันของชายหญิงในสามัญชนจึงกลายเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่เหล่าชนชั้นสูงมักไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นเรือนร่างของตนเอง จึงได้สร้างห้องชำระส่วนตัวเอาไว้ภายในเรือน ทว่าหวังอี้หยางเป็นเพียงสามัญชน จึงคุ้นชินกับการชำระร่างกายร่วมกับผู้อื่นแล้ว
“ท่านหมอหวัง ตื่นเช้าจังเลยนะเจ้าคะ” เสียงทักทายของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น
หวังอี้หยางหันมองตามเสียงทักทายนั้น ก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงคือผู้ใด
“วันนี้ข้าต้องรายงานตัวในตึกแพทย์น่ะ” หญิงสาวตอบ พร้อมกับเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ สตรีที่กำลังตักน้ำขึ้นราดตัวเองและใช้บุปผาอัดก้อนถูตัวจนเกิดฟอง
ซุนอี๋ นางรับใช้ขององค์หญิงลำดับที่สิบสาม ที่รู้จักกันเป็นเพราะเมื่อสองปีก่อนก่อนเริ่มสงครามใหญ่ ซุนอี๋วิ่งมาที่ตึกแพทย์หลวงด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเพราะองค์หญิงลำดับที่สิบสามล้มป่วยกะทันหัน ทว่าในตึกแพทย์นั้นกำลังวุ่นวายเพราะต้องเตรียมจัดสรรหาแพทย์ไปร่วมสงคราม ทำให้ไม่มีผู้ใดสนใจไปดูอาการขององค์หญิงลำดับชั้นสุดท้าย ในเวลานั้นหวังอี้หยางเป็นแพทย์หลวงคนเดียวที่ว่างงาน จึงถูกรุ่นพี่สั่งให้ไปรักษาองค์หญิงลำดับที่สิบสามแทน และการรักษาก็เป็นไปด้วยดีทำให้นางสนิทกับซุนอี๋จนถึงขั้นชำระร่างกายร่วมกันอยู่บ่อยครั้ง
“ท่านหมอหวัง ให้ข้าช่วยท่านถูตัวนะเจ้าคะ” ซุนอี๋ยิ้มหวานพร้อมกับขยับตัวเข้ามาใกล้
“แต่ตอนนี้ตัวข้ามีแต่กลิ่นสุรา” หวังอี้หยางค่อยๆ ปลดอาภรณ์ของตนออกจนเหลือเพียงแค่ซับในสองชิ้นบางๆ จากนั้นจึงแช่ตัวในลำธารเพื่อให้น้ำที่ไหลผ่านมานั้นชำระความสกปรกออกจากร่างกาย
ซุนอี๋มองร่างเกือบเปลือยของสตรีที่นางเคารพอย่างหลงใหล ในอาณาจักรโจวเสียน นอกจากองค์หญิงโจวเหรินฮวาแล้ว ก็มีท่านหมอหวังอี้หยางที่มีความงามทัดเทียมกัน ทว่าความงามของหวังอี้หยางกลับถูกบดบังด้วยร่องรอยแห่งสงคราม ทำให้ผิวพรรณหยาบกระด้างและร่างกายเต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผล แต่กระนั้นก็ยังไม่มีสิ่งใดงดงามเท่าดวงตาเปล่งประกายของนางยามได้รักษาผู้คน
“เป็นเรื่องปกติของงานฉลองนี่เจ้าคะ ข้าไม่ถือสา ขอแค่ได้ช่วยท่านชำระร่างกายก็พอแล้ว” ซุนอี๋ยิ้มหวาน จากนั้นจึงหย่อนตัวลงลำธารและใช้บุปผาอัดก้อนของนางช่วยชำระล้างคราบสกปรกออกจากกายของหวังอี้หยาง
หวังอี้หยางมองสตรีตรงหน้าอย่างเอ็นดู หากเป็นครั้งแรกคงรู้สึกเก้อเขินอยู่ไม่น้อยที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกสตรีช่วยขัดถูร่างกายให้ นางจึงไม่รู้สึกอายเมื่อต้องให้ผู้อื่นเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นเช่นนี้ อีกทั้งยังรู้สึกสบายตัวอีกต่างหาก
การอนุญาตให้ผู้อื่นลูบไล้ร่างกายได้ถือเป็นการสร้างความสนิทสนมอย่างหนึ่งของชาวโจวเสียน ทว่าสงวนให้เฉพาะสตรีเท่านั้น เพราะเหล่าบุรุษคงไม่ชอบหากถูกบุรุษด้วยกันลูบไล้จนเกิดข่าวลือ แม้ว่าในอาณาจักรแห่งนี้ชายหญิงเท่าเทียมกัน แต่ก็ยังมีความเคารพกันในร่างกายของบุคคลต่างเพศ หากไม่ได้รับการยินยอมให้สัมผัส ไม่ว่าผู้ใดก็ตามก็ไม่สามารถบังคับฝืนใจอีกฝ่ายได้ และเมื่อเกิดคดีความขึ้นผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายข้อนี้ จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง
ถึงแม้ว่าสตรีในโจวเสียนจะไม่ค่อยมีบทบาททางการเมือง แต่ก็ยังได้รับการคุ้มครองจากทางการอย่างสมเหตุผล ทำให้มีอิสระมากกว่าสตรีของอาณาจักรอื่นๆ ซึ่งบางอาณาจักรก็เห็นสตรีเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ผลิตทายาทให้แก่เหล่าบุรุษเท่านั้น ไร้ซึ่งอิสรภาพ ไม่สามารถทำตามใจตนเองได้ ในขณะที่สตรีของอาณาจักรโจวเสียนสามารถทำงานได้ หากมีผลงานก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นโดยไม่ถูกเพศกดขี่เอาไว้ และเมื่อมีบุรุษที่ต้องตาต้องใจ ก็สามารถสารภาพก่อนได้โดยไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรี...
สารภาพอย่างนั้นหรือ
หวังอี้หยางเผลอขมวดคิ้วเมื่ออยู่ๆ คำว่าสารภาพก็พุ่งเข้ามาในสมอง ราวกับว่าเคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อน แต่กลับไม่หลงเหลือความทรงจำเลยแม้แต่น้อย
“ท่านหมอหวังคิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ” เสียงหวานของซุนอี๋เอ่ยถามขณะใช้น้ำมันดอกไม้ลูบไล้เส้นผมสีดำสนิทของสตรีตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน
หวังอี้หยางคลายคิ้วออกทันทีเมื่อถูกทัก
“ข้ารู้สึกเหมือนหลงลืมบางอย่างไป แต่คงไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกกระมัง” หญิงสาวตอบ พร้อมกับใช้มือวักน้ำขึ้นลูบใบหน้าของตนเบาๆ
“ยามที่ข้าดื่มสุรา บางครั้งก็มีอาการเช่นท่านเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่เคยมีข่าวว่าข้าก่อเรื่องร้ายแรงเลยสักครั้ง” ซุนอี๋หัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ก่อนตักน้ำล้างคราบน้ำมันดอกไม้ออกจากเรือนผมของสตรีตรงหน้าอย่างนุ่มนวลเป็นขั้นตอนสุดท้าย
หวังอี้หยางหัวเราะพลางคิดตาม
“นั่นสิ แค่ไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นก็เพียงพอแล้ว”