ข่าวลือที่แพร่ออกไปว่าหลิวกุ้ยเฟยตั้งครรภ์นั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่ทุกฝ่ายเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นคือเจิ้งหนิงเอ๋อที่เอาแต่กรีดร้อง ทำลายข้าวของตั้งแต่ที่รู้เรื่อง เจียงเลี่ยงหลิงเองก็เช่นกัน นางเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในตำหนักมานานหลายวัน เห็นจะมีก็แต่ฮองเฮาที่เสด็จมาเยี่ยมหลิวเยว่ซินบ่อยครั้ง แถมยังทรงนำเครื่องหอมและอาหารบำรุงมาให้ไม่ได้ขาด จางอ้ายเหรินเองก็เลี่ยงไม่ได้ จำต้องเล่นไปตามน้ำ
“น้องหญิง เป็นอย่างไรบ้าง” อวี๋เยี่ยนฟางเดินมานั่งข้าง ๆ พลางใช้ฝ่ามือลูบไปที่หน้าท้องอุ่น ๆ ของหลิวเยว่ซินเบา ๆ ทำเอานางทำหน้าแทบไม่ถูก
“หม่อมฉันยังสบายดีเพคะ ขอบพระทัยพี่หญิงที่ทรงคอยมาเยี่ยม”
“พูดอะไรเช่นนั้น ตอนข้าป่วย น้องหญิงก็ช่วยมาดูแลจนข้าหายดี ตอนนี้ถึงตาข้าดูแลเจ้าบ้างแล้ว” รอยยิ้มแสนอบอุ่นที่มอบให้อย่างจริงใจ ทำให้จางอ้ายเหรินรู้สึกผิดขึ้นมาที่ปั้นเรื่องมาหลอกทุกคน
“ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ยังเกรงพระทัยอยู่ดี หม่อมฉันไม่น่าจะมาท้องตอนนี้เลยเพคะ รู้สึกผิดต่อพี่หญิงยิ่งนัก”
ถึงจะไม่ได้ท้องจริง ๆ แต่ก็ควรพูดรักษาน้ำใจฮองเฮาเอาไว้บ้าง จางอ้ายเหรินคิดในใจ หากลูกของฮองเฮาต้องมาเรียกลูกของนางว่าพี่ใหญ่อาจจะรู้สึกแปลกเล็กน้อย
“ข้าไม่คิดมากหรอก น้องหญิงไม่ต้องห่วง ดูแลสุขภาพให้ดีเถิด ข้าขอตัวก่อน”
จางอ้ายเหรินลุกขึ้นเดินออกไปส่งฮองเฮาที่หน้าประตูตำหนักก่อนจะถอนสายบัวทำความเคารพตามศักดิ์ของตนอย่างเช่นทุกที
“เฮ้อ....” จางอ้ายเหรินถอนหายใจออกมาเสียงดังหลังจากที่พาตัวเองเข้ามานั่งที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นสนเตี้ย ๆ ริมสระน้ำ
ฉีฉี่เองขณะที่เดินตามต้อย ๆ ก็เอาแต่ก้มหน้าหลบตาทุกครั้งที่พูดด้วย ราวกับกำลังรู้สึกผิดที่เป็นคนปั้นเรื่องขึ้นมาโกหกทุกคน
“แล้วต่อไปข้าจะทำอย่างไร หากทุกคนรู้ว่าข้าไม่ได้ท้องมีหวังโดนตัดหัวทั้งนายทั้งบ่าวแน่” จางอ้ายเหรินพูดเสียงเครียด
ฉีฉี่เงยหน้าขึ้นมามองคนเป็นนาย ก่อนเบ้ปากสำนึกผิดด้วยแววตาใสซื่อ “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พระองค์ก็ทำเป็นแท้ง”
“มันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิ นี่สายเลือดมังกรเชียวนะ ข้าทำก็เท่ากับมีอาญาสูงสุด เจ้านี่ไม่ได้เรื่องเลย...คิดมาใหม่” จางอ้ายเหรินหยิบพัดไม้ไผ่ขึ้นมาพัดแล้วยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
“ก็ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุอย่างไรเล่าเพคะ ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของพระองค์แน่ ๆ มีแต่จะเห็นใจที่ทรงเสียบุตรไป จากนั้นพระองค์ก็แค่ไว้ทุกข์ปลอม ๆ สักปี เท่านี้ก็รอดพระอาญาแล้ว” ฉีฉี่ปัญญาเฉียบแหลมจนจางอ้ายเหรินคิดไม่ถึงทีเดียว
“จริงด้วย แหม เจ้านี่มันฉลาดเสียจริง” จางอ้ายเหรินเอ่ยชม “ว่าแต่เราจะเกิดอุบัติเหตุอย่างไรดีล่ะ ต้องอยู่ต่อหน้าคนเยอะ ๆ ด้วยนะ ประเดี๋ยวคนไม่เชื่อ”
“ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเลยดีไหมเพคะ”
“เจ้านี่ใจร้ายมากเลยนะฉีฉี่ หากข้าเห็นพระพักตร์ฝ่าบาทตอนเสียบุตรของพระองค์ไปจะปั้นหน้าเศร้าปลอม ๆ ต่อไปอย่างไร เจ้าคิดสิ”
ฉีฉี่คิดตามก็ถึงกับตัวสั่น ที่ผ่านมาฮ่องเต้ทรงออกโรงปกป้องหลิวกุ้ยเฟยของนางมาโดยตลอด แม้ว่าจะถูกคัดค้านจากคนหลายฝ่าย ถึงขั้นลงความเห็นให้กุ้ยเฟยทำแท้งกันเลยทีเดียว หากไม่ได้ฮ่องเต้กับฮองเฮาช่วยเอาไว้ ป่านนี้จางอ้ายเหรินคงได้ถูกจับกรอกยารอบสองเป็นแน่
ยังดีที่ยาของไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวาทำให้ชีพจรเต้นไม่คงที่ เมื่อหมอหลวงมาตรวจเลยลงความเห็นว่าหลิวเยว่ซินท้องจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้ฉีฉี่ก็ได้แอบไปถามเถ้าแก่ร้านขายยามาแล้วว่า ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าพิษของยานั้นจะจางหายไปหมด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลิวกุ้ยเฟยรอดข้อกล่าวหาตั้งครรภ์ปลอม ๆ ไป มีเพียงไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวาที่คอยหาข้อโต้แย้ง ในตอนนี้จึงถูกปลดมิให้ดูแลสำนักหมอหลวงเป็นที่เรียบร้อย ด้วยความผิดสามประการ หนึ่ง ปล่อยให้สายเลือกมังกรเกือบจะเกิดอันตราย สอง ละเลยหน้าที่ สาม กล่าวหาว่ากุ้ยเฟยกล่าวเท็จทั้งที่มีหลักฐาน ถึงแม้ข้อหาเพียงเท่านี้จะไม่อาจเอาผิดไท่เฟยเฒ่าได้ แต่ก็สามารถสั่งให้ไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวากลับไปนอนเฉย ๆ อยู่ที่ตำหนักได้
แบบนี้ถือว่าเข้าข่ายยกหินทับเท้าตัวเองของไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวาหรือเปล่านะ
จางอ้ายเหรินและฉีฉี่ยังคงระดมสมองคิดเรื่องแผนการแก้ไขกันต่อไป ก่อนที่เสียงของขันทีหม่าจะดังขึ้นด้านนอกประตู ทำให้รู้ว่าฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนัก
“เจ้าไม่ต้องลำบากออกมารับหรอก เป็นอย่างไรบ้าง” หยางมู่เฉินเข้ามาประคองหลิวกุ้ยเฟยที่เดินออกมารับตนก่อนจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ ฮองเฮาทรงแวะมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อย ๆ” จางอ้ายเหรินพูด
“ดีแล้ว ฮองเฮาเป็นห่วงเจ้ามาก รู้ไหม ถึงขนาดไปขอให้ข้าจัดทหารมาคอยเฝ้าหน้าตำหนักเจ้า เผื่อเกิดอะไรขึ้นอีก”
จางอ้ายเหรินรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฮองเฮาเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อฮองเฮาทรงดีเลิศเช่นนี้ เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้เอาแต่ปักใจรักหลิวกุ้ยเฟยที่มีข่าวว่านอกใจไปรักกับพี่ชายตนอยู่ได้ ช่างเป็นผู้ที่ไม่รักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย หรือว่าจะเป็นพวกกินในชามชะเง้อมองในหม้อ
“ฝ่าบาทควรสนพระทัยความรู้สึกของฮองเฮาให้มากนะเพคะ หม่อมฉันกลัวว่าฮองเฮาจะทรงคิดมากเรื่องนี้”
พูดจบจางอ้ายเหรินก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ซูบผอมของฮ่องเต้ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากเบา ๆ
“เหตุใดช่วงนี้ฝ่าบาททรงดูซูบผอมถึงเพียงนี้เพคะ” มือเล็กยังคงลูบคลำที่ใบหน้าคมเข้มด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นห่วงข้าด้วยหรือ”
“ก็ต้องห่วงสิเพคะ...” จางอ้ายเหรินตอบก่อนจะชะงักไป รู้สึกเขินที่ถูกจ้อง “...ใคร ๆ ต่างก็ห่วงพระองค์กันทั้งนั้น เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หม่อมฉันจะจัดสำรับบำรุงพระวรกายมาถวาย”
“ข้าไม่หิวข้าว อยากกินอย่างอื่นมากกว่า”
จางอ้ายเหรินหน้าแดง หันไปมองผู้ติดตามที่เมื่อเห็นว่านางหันไปมองก็พร้อมใจกันทำเป็นเบือนหน้าหนีราวกับไม่ได้ยินอะไร
“ฝ่าบาทตรัสอะไรอย่างนั้นเพคะ”
“พูดความจริงอย่างไรเล่า”
“คนเยอะขนาดนี้ ฝ่าบาทจะตรัสอะไรควรไว้หน้าหม่อมฉันด้วยสิเพคะ” พวงแก้มเนียนร้อนผ่าวเมื่อคิดถึงสัมผัสแสนหวามที่เคยได้รับจากเขาตลอดมาจนทำตัวไม่ถูก
“ข้าหมายถึงข้าหิวของกินเล่นมากกว่า ข้ารับอาหารเช้ามาจากตำหนักฮองเฮาแล้ว เจ้าจะให้ข้ากินจนท้องแตกตายเลยหรือ”
“อ๋อ...หมายถึงของกินเล่นหรอกหรือเพคะ” พวงแก้มของนางสุกปลั่งแทบแตกเป็นเสี่ยง เพียงเพราะคิดว่าหยางมู่เฉินกล่าวถึงเรื่องลามก