อันที่จริงเขาก็ต้องการให้นางคิดไปเช่นนั้นจึงได้แกล้ง พอเห็นแก้มแดง ๆ ของหลิวเยว่ซินแล้วก็ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยบอกไม่ถูก
“ก็ใช่น่ะสิ...เจ้าคิดว่าข้าจะกินอะไรของเจ้าได้อีกล่ะ” หยางมู่เฉินโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนแทบจะจดลงบนกลีบปากอิ่มที่เคลือบสีชาดสดใส
ลมหายใจอุ่นร้อนรดลงบนพวงแก้มเบา ๆ ทำเอาจางอ้ายเหรินใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คิดไปไกลจนอยากเบือนหน้าหนี
“พอได้แล้วเพคะ พระองค์ทรงชอบแกล้งหม่อมฉันทุกที”
“ข้าไม่ได้แกล้งเจ้าเสียหน่อย เจ้าคิดลามกไปเอง” นิ้วเรียวยาวลูบสันจมูกรั้นด้วยความมันเขี้ยว คนแสนงอนจึงเดินหนีเลี่ยงเข้ามาในเรือนตนด้วยความโมโห
“กุ้ยเฟยเคืองข้าด้วยเรื่องใด”
“...” จางอ้ายเหรินหันมาค้อนควักก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“เอาอย่างนี้ คืนนี้มีงานโคมลอย ข้าจะพาเจ้าไปชม สนใจหรือไม่”
“จริงหรือเพคะ” อารมณ์ขุ่นมัวพลันหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้ยินว่าจะได้ออกไปเที่ยวนอกวัง
“ข้าจะโกหกเจ้าทำไมเล่า เตรียมตัวเถิด สวมเสื้อคลุมไปหนา ๆ อากาศเริ่มเย็นแล้ว”
พูดจบหยางมู่เฉินก็เดินออกไป ทิ้งให้จางอ้ายเหรินดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ไม่รู้ว่าข่าวที่นางให้คนไปสืบคืบหน้าไปถึงไหนแล้วด้วย อยากจะรู้เสียจริง
“ฝ่าบาททรงอยู่บรรทมกับหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” เจิ้งหนิงเอ๋อกอดแขนหยางมู่เฉินแน่นพลางลูบไล้แผงอกแกร่งเบา ๆ หลังจากเพิ่งเสร็จกิจสวาทไปไม่นาน
ในที่สุดก็สมใจนางเสียที หลังจากรอมานานหลายปีในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่ฮ่องเต้เสด็จมาที่ตำหนักของนาง
“คืนนี้เจิ้นจะไปนอนกับหลิวกุ้ยเฟย เจ้าก็รู้ช่วงนี้นางต้องการการดูแล”
“เพราะนางตั้งครรภ์หรือเพคะ หากหม่อมฉันตั้งครรภ์บ้างพระองค์จะเสด็จมาดูแลหม่อมฉันดีเท่าหลิวกุ้ยเฟยหรือไม่” นิ้วเรียวเล็กลูบไล้ที่แผงอกแกร่งเบา ๆ ด้วยความเสน่หา
“แน่นอน ช่วงนี้เจ้ากับเจียงเต๋อเฟยก็เลิกไปหาเรื่องให้ฮองเฮาได้แล้ว เจิ้นไม่อยากได้ยินเรื่องไร้สาระ”
เจิ้งหนิงเอ๋อผละออกจากร่างแกร่งอย่างไม่พอใจที่ฮองเฮาฟ้องเรื่องที่นางและเจียงเต๋อเฟยไปทูลขอให้ฮ่องเต้แวะมาที่ตำหนักพวกนางบ้าง
“นี่ฮองเฮาถึงกับนำเรื่องไร้สาระมาฟ้องฝ่าบาทเชียวหรือเพคะ...กับเรื่องแค่นี้”
เพราะนิสัยไม่เอาไหนของเจิ้งหนิงเอ๋อ ทำให้หยางมู่เฉินเบื่อหน่ายไม่อยากเข้าใกล้นาง หากไม่มีคนคอยสนับสนุนดันหลังนาง เขาคงสั่งปลดพระสนมปากร้ายผู้นี้ออกจากตำแหน่งไปนานแล้ว
“บังอาจ! ฮองเฮาไม่ได้ฟ้องอะไรทั้งนั้น คิดว่าเจิ้นไม่มีหูตาคอยสอดส่องคนในวังเช่นนั้นหรือ” ตั้งแต่เกิดเรื่อง หยางมู่เฉินคอยระแวดระวังทุกคน จึงได้รู้ว่าเรื่องในวังหลังนี้จัดการได้ยากยิ่งกว่าความแร้นแค้นของราษฎรเสียอีก
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาททรงประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย”
“เจ้าหัดสงบปากเสีย ๆ ของเจ้าสักหน่อยเถิด เจิ้งหนิงเอ๋อ ก่อนที่เจิ้นจะรังเกียจจนไม่อยากมานอนกับเจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง”
“มะ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ” เจิ้งหนิงเอ๋อรีบลุกขึ้นมาคุกเข่าขอร้องให้หยางมู่เฉินอภัยในสิ่งที่ตนพูด ทว่าเขากลับทำเย็นชาใส่ ลุกขึ้นไปแต่งกายแล้วรีบเดินออกไปทันที ทิ้งให้นางจมอยู่กับความรู้สึกคับแค้นใจอย่างหาทางออกไม่ได้
ค่ำคืนนี้ผืนฟ้ากว้างใหญ่ถูกฉาบด้วยสีดำสนิท ไร้แสงดาวระยิบระยับประดับเช่นทุกคืน ทว่าในเมืองนั้นกลับครึกครื้นเต็มไปด้วยแสงจากโคมไฟสว่างไสว หยางมู่เฉินพาฮองเฮาอวี๋เยี่ยนฟาง หลิวเยว่ซินและเจียงเลี่ยงหลิงออกมานั่งชมเทศกาลโคมลอยกันอย่างสนุกสนานในภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมือง มองเห็นความงดงามและความครึกครื้นของผู้คนเบื้องล่าง
“ไปลอยโคมกันไหมเพคะ” จางอ้ายเหรินหันไปถามฮองเฮา
“เอาสิ ข้าก็อยากลอย”
“น้องหญิง ไปลอยด้วยกันนะ” จางอ้ายเหรินหันไปถามเจียงเลี่ยงหลิงที่ยืนเงียบ ๆ อยู่อีกด้าน เพราะขาดคู่หูอย่างเจิ้งหนิงเอ๋อ ไม่มีผู้ใดรู้ว่เหตุใดนางจึงไม่ได้มาด้วย มีเพียงฮองเฮาที่รู้ว่าหยางมู่เฉินสั่งลงโทษให้นางสำนึกตนอยู่ในตำหนัก โทษฐานที่กล่าววาจาดูหมิ่นฮองเฮา
“เพคะ”
“ขันทีหม่า ไปจัดการให้ข้าที” หยางมู่เฉินหันไปบอกผู้ติดตาม ก่อนจะเดินเข้าไปขยับเสื้อคลุมให้หลิวเยว่ซินท่ามกลายสายตาของฮองเฮาและพระสนมเจียงที่ต่างขยับของตนเองตามไปด้วย เพราะเขาทำให้เพียงหลิวกุ้ยเฟยเพียงเท่านั้น
“เจ้าหนาวหรือไม่” หยางมู่เฉินถาม
“ไม่เพคะ” จางอ้ายเหรินยังคงยิ้มรับก่อนจะจับมือของเขาเอาไว้ “พระหัตถ์ของพระองค์เย็นไปหมดยังจะห่วงหม่อมฉันอีก”
“เจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ข้าย่อมเป็นห่วงอยู่แล้ว” หยางมู่เฉินโอบเอวหลิวกุ้ยเฟยเข้ามาประชิดตัวก่อนจะก้มลงจุมพิตที่พวงแก้มนุ่มเบา ๆ จนนางต้องเอียงหน้าหนี เพราะบนนี้มีฮองเฮากับเจียงเต๋อเฟยอยู่ด้วย ซ้ำเบื้องล่างยังมีผู้คนเดินไปมาพลุกพล่าน
“พอได้แล้วเพคะ หม่อมฉันอาย”
“เจ้าอยากลงไปเดินเล่นข้างล่างหรือไม่”
“ได้หรือเพคะ...” จางอ้ายเหรินคิดจะอาศัยจังหวะนี้ไปตามหาพ่อค้าขายหนังสัตว์เพื่อถามความคืบหน้าเสียหน่อย
แต่นางคิดผิด แทนที่หยางมู่เฉินจะอยู่ดูแลฮองเฮา เขากลับตามนางมาด้วย แถมยังทิ้งให้ฮองเฮาและเจียงเต๋อเฟยคอยอยู่ที่ภัตตาคารอีก ด้วยเพราะฮองเฮาไม่ชื่นชอบผู้คนเป็นทุนเดิม ส่วนเจียงเต๋อเฟยที่ไม่ได้ถูกเชิญก็คงบอกปฏิเสธ จางอ้ายเหรินกับหยางมู่เฉินจึงออกมากันเพียงสองคน
“ฝ่าบาทจะตามหม่อมฉันมาทำไมเพคะ” จางอ้ายเหรินเอ่ยถามพลางกวาดสายตามองพ่อค้าขายหนังไปด้วย
“ข้าไม่ปล่อยให้ลูกเมียออกมาเดินท่ามกลางคนนับร้อยตามลำพังหรอกนะ” หยางมู่เฉินพูดพลางเดินเข้าไปโอบเอวเล็ก ๆ เอาไว้อย่างทะนุถนอม
“หม่อมฉันมิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น ฮองเฮาเองก็ทรงไม่สบายอยู่เหมือนกัน เหตุใดพระองค์จึง...อื้ออ”
หยางมู่เฉินทนฟังคำบ่นไม่ไหวจึงได้ปิดปากนางด้วยริมฝีปากของตนท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา...ไม่ไกลจากจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ ลึกเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ที่ไร้ผู้คนเดินผ่าน มีชายชุดดำยืนรออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นจังหวะที่หยางมู่เฉินไม่ทันระวังตัวและไร้ผู้ติดตาม จึงปรี่เข้ามาใช้อาวุธฟันไประหว่างกลางของทั้งสองทว่าฮ่องเต้หนุ่มกลับเห็นตั้งแต่แรกแล้ว จึงได้ดึงหลิวเยว่ซินเข้ามาจูบเพื่อจะได้เอี้ยวตัวไปมองชายชุดดำเหล่านั้นให้ชัด ๆ