“อะไรกัน ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นพ่อค้าเครื่องประดับหรอกหรือ” ไท่เฟยเฒ่าสอดขึ้นมาทันที
“กระหม่อมมิได้พูดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีฉี่ลอบยิ้ม
“อะไรกัน เจ้าเข้ามาดูพระอาการกุ้ยเฟยอย่างนั้นหรือ กุ้ยเฟยเป็นอะไร ทำไมไม่ให้หมอหลวงมาตรวจ ถึงกับไปเชิญหมอยานอกวังมาเชียว นี่วังเราไม่มีหมอหลวงสักคนเลยหรือ” หยางมู่เฉินหันไปตำหนิเจิ้งหนิงฮวาที่คอยจัดการดูเรื่องนี้มาตลอด
“หม่อมฉันให้หมอหลวงตามเสด็จไปแล้วนี่เพคะ คนอื่น ๆ ต่างก็งานล้นมือ เหตุใดคนที่ตำหนักหลิวกุ้ยเฟยถึงไม่มาหาหม่อมฉันเล่า หากเป็นหนักขนาดนั้น...” พระสนมเจิ้งหนิงฮวามองไปยังฉีฉี่ด้วยแววตามาดร้ายไม่มีปิดบัง “...นอกเสียจากจะหาเรื่องหม่อมฉัน”
เมื่อได้ยินคำโกหกเหล่านั้น ผู้น้อยอย่างฉีฉี่ก็ทำเพียงแค่ก้มหน้า ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดที่ไม่มีหลักฐานออกไปต่อหน้าพระพักตร์ อีกอย่างช่วงที่เกิดเหตุทุกคนล้วนอยู่ในห้องเครื่อง มีเพียงนางที่รู้ทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้น จะให้พูดออกไปเห็นทีคงจะสู้อำนาจของไท่เฟยเฒ่าที่มีในวังไม่ไหว ขนาดฮ่องเต้ยังไว้หน้า แล้วนางที่เป็นเพียงนางกำนัลตัวเล็ก ๆ จะเอาอะไรไปสู้
“มิบังอาจเพคะ กุ้ยเฟยมิได้เป็นอะไรนัก เพียงแค่มีอาการคลื่นไส้เวียนหัว หม่อมฉันให้คนไปตามหมอแล้วแต่เห็นว่าทุกคนงานยุ่ง เลยออกไปตามหมอยานอกวังเข้ามาดูอาการแทนเท่านั้นเองเพคะ กุ้ยเฟยของหม่อมฉันเพิ่งจะผ่านความเป็นความตายมา หากพระองค์เป็นอะไรไปอีกหม่อมฉันก็คงมิอาจทนได้” ฉีฉี่จนใจเลยต้องทูลความจริงไปเพียงแค่บางส่วน
“อะไรนะ เจ้าบอกว่ากุ้ยเฟยเป็นอะไร พูดให้เจิ้นฟังอีกครั้งชัด ๆ”
ฉีฉี่หันไปพยักหน้าให้หมอยาพูดในสิ่งที่ตนนั้นเคยบอกเอาไว้ ว่าหากเอาผิดเจิ้งไท่เฟยไม่ได้ ก็ให้กราบทูลความเท็จไปแทน โชคดีอาจจะรอด แต่ถ้าหากมีเรื่องกับเจิ้งไท่เฟยคงยากที่จะรอด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแก้แค้น เพราะหลิวกุ้ยเฟยยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ คงไม่มีใครมาช่วยพวกนางได้
“กราบทูลฝ่าบาท กุ้ยเฟยทรงมีชีพจรมงคลพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบนั้นทำเอาคนทั่วทั้งท้องพระโรงอึ้งไปตาม ๆ กัน และคนที่ตกใจมากที่สุดตอนนี้เห็นจะเป็นหยางมู่เฉิน เขาไม่ได้ยินดีกับข่าวนี้สักเท่าไร เพราะถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าหลิวเยว่ซินต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง เดิมทีตั้งใจไว้ว่าจะขอให้ฮองเฮาทรงมีพระครรภ์ก่อน จึงจะให้หลิวเยว่ซินมีตามมา เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่าคนที่จะถูกเจิ้งหนิงฮวาและฝ่ายขุนนางหัวโบราณเพ่งเล็งอาจจะเป็นหลิวเยว่ซิน
“เจ้าล้อเจิ้นเล่นใช่หรือไม่”
“กระหม่อม...” หมอยาหันไปหาฉีฉี่อีกครั้ง ก่อนจะได้คำตอบเดิมกลับมา “กระหม่อมมิกล้ากราบทูลความเท็จต่อเบื้องสูงหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีฉี่จิกเล็บตนเองเข้าที่ฝ่ามือแน่นเพื่อสะกดความกลัวเอาไว้ ความกล้านี้หลิวกุ้ยเฟยได้มอบเอาไว้ให้ ทุกครั้งที่นางเห็นกุ้ยเฟยเจ็บป่วย ทำให้ความกลัวตายไม่เคยอยู่ในหัวเลยสักครั้ง หากให้นางตายแทนได้นางก็ยอม…
“...หม่อมฉันยืนยันได้เพคะ กุ้ยเฟยของหม่อมฉันตั้งครรภ์...” ดวงหน้าเล็ก ๆ ที่แดงก่ำและเขียวช้ำเพราะถูกตบตีหันไปเผชิญหน้ากับไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวา “ไท่เฟยก็ทรงทราบเรื่องนี้ดี ถึงได้นำยามาถวายถึงตำหนัก มิใช่หรือเพคะ”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร!!”
“เจิ้งไท่เฟยทรงให้คนนำยามาให้หลิวกุ้ยเฟยดื่ม ทำให้พระสนมของหม่อมฉันเกือบตาย เจิ้งไท่เฟยเกือบจะฆ่ากุ้ยเฟยของหม่อมฉัน!!”
“บังอาจ! ทหาร! ทหาร!...เอามันไปตัดหัว”
“ฉีฉี่!”
เช้ามืดของทุกวันฉีฉี่จะเป็นคนปลุกให้จางอ้ายเหรินตื่น แต่วันนี้กลับเงียบผิดสังเกต จึงได้เดินเข้ามาดูที่ห้องนอน เมื่อเห็นว่าคนสนิทยังคงนอนอยู่เลยเอ่ยปลุกให้ตื่นเพื่อจะได้ถามความเรื่องเมื่อวาน
“ฉีฉี่”
เด็กน้อยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เมื่อหันไปเห็นหลิวกุ้ยเฟยนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็คลี่ยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่สดใสดังเดิม
“พระสนมเพคะ...ฮื้อออ” ฉีฉี่โผเข้ากอดผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง
ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดของฉีฉี่เท่านั้นที่คิดว่าต้องกราบทูลความจริงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ไปเสียจะได้จบ ๆ ติดเพียงว่าไม่มีหลักฐาน มิเช่นนั้นป่านนี้ความคับแค้นใจที่เก็บเอาไว้คงถูกเอ่ยออกไปจนหมด
“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นติงติงบอกว่าเจ้าไปส่งหมอยายังไม่กลับ ข้านั่งรอจนผล็อยหลับไป”
“พวกหม่อมฉันถูกจับได้เพคะ หลังจากถูกปล่อยตัวหม่อมฉันก็รีบไปส่งหมอยาออกจากวัง”
“อะไรนะ!” จางอ้ายเหรินเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าเขียวช้ำของฉีฉี่ชัด ๆ ก็ตอนที่นางบอกว่าถูกจับได้นี่แหละ
“ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเพคะ เพียงแต่ว่า...” ฉีฉี่สีหน้าสลดเล็กน้อยก่อนจะพูดความจริง “...เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดนิดหน่อย ดังนั้นหม่อมฉันจึงได้ทูลความเท็จไปว่าพระสนมทรงตั้งครรภ์”
“หา...อะไรนะ!!”