“ไม่ได้ ไม่ได้เพคะ หากพระสนมทำให้ตนเองเดือดร้อน ฮองเฮาก็จะทรงเดือดร้อนไปด้วย”
“เอ...เจ้าเด็กนี่!” จางอ้ายเหรินนึกหงุดหงิดฉีฉี่ยิ่งนัก จึงกระทืบเท้าอย่างขัดใจแล้วกลับเข้าตำหนัก
ทว่าไม่ทันที่ฉีฉี่เด็กน้อยจะไหวตัวทัน พระสนมที่แต่งกายเป็นชายก็ได้แอบวิ่งออกไปอีกทางจนหนีนางได้สำเสร็จ ทำเอาฉีฉี่ได้แต่ยืนร้องไห้เพราะกว่าจะรู้ตัวพระสนมของนางก็วิ่งไปไกลหลายลี้แล้ว
จางอ้ายเหรินลอบออกทางประตูหลัง ซึ่งเป็นทางเดียวกับทางไปตำหนักเย็น เส้นทางนี้มีทหารเฝ้ายามอยู่น้อยมากหรือบางช่วงเวลาแทบไม่มีเลย เพราะมีแม่น้ำคั่นระหว่างเขตวังกับภูเขาสูง จำเป็นจะต้องนั่งเรือเท่านั้นจึงจะออกไปได้ ท่าเรือเดียวที่อยู่ใกล้ก็เป็นท่าเรือร้างที่อยู่เชิงเขาอีกฟาก ห่างออกไปอีกสามลี้ นับว่าไม่ใกล้ไม่ไกล หากเดินเท้าอีกหนึ่งลี้ก็จะถึงเขตเมืองอย่างที่ฮองเฮาเคยบอกเอาไว้
ทางด้านหลังของร้านขายโสมป่าไม่มีผู้คนพลุกพล่านมากนัก มีเพียงพ่อค้าคนกลางที่จะเดินทางมาซื้อโสมไปปรุงโอสถขาย จางอ้ายเหรินสามารถแฝงตัวเข้าไปปะปนกับผู้คนที่เดินไปเดินมาอีกตรอกได้สบาย ๆ หญิงสาวเลื่อมใสในความฉลาดล้ำของฮองเฮายิ่งนัก นับวันก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจในความสามารถที่ไม่ธรรมดาของฮองเฮา สมกับเป็นคนที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์เสียจริง
ลึกล้ำ ยากคาดเดา
“วันนี้จะต้องหาพ่อค้าคนนั้นให้เจอ” จางอ้ายเหรินพึมพำขณะเดินเตร่ออกไปทั่วเมืองเพื่อค้นหาพ่อค้าหนังที่มาจากทางเหนือ จากคำบอกเล่าของหมอยาที่ตนไปซื้อเป็นประจำ พ่อค้าผู้นี้เดิมเป็นผู้ส่งสารที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ที่เมืองนี้ เมื่อสำนักสายลับได้ล่มสลายไปเขาจึงได้ผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าเต็มตัว
จางอ้ายเหรินรู้สึกมีความหวังว่าจะสามารถติดต่อเพื่อนสนิทที่อยู่ต่างเมืองได้โดยที่ไม่ถูกสงสัย หากวันใดเกิดข้อผิดพลาดจนตนเดือดร้อนขึ้นมาอย่างน้อยก็ยังมีที่ให้หลบซ่อน
“หนังจ้า...หนังสัตว์แท้ราคาย่อมเยาเชิญทางนี้จ้า” เสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังมาจากอีกฝั่งของตลาดเครื่องเงิน
จางอ้ายเหรินที่เกือบจะถอดใจกลับไปมือเปล่าอย่างเช่นทุกที เมื่อได้ยินเสียงชายผู้นั้นจึงได้รีบวิ่งเข้าไป
“คุณชายท่านนี้สนใจหนังสัตว์ร้านข้ากลับไปฝากคนที่จวนของท่านหรือไม่ ได้มาใหม่สวย ๆ ทั้งนั้นเลย เชิญชมก่อนได้เลยนะ” คำเชิญชวนของพ่อค้าทำเอาคนที่เดินผ่านไปมาแวะชมกันเต็มไปหมด แต่ด้วยราคาที่แพงแสนแพงทำให้ผู้คนแวะมาถามเพียงเท่านั้น ไม่ได้อยู่นาน จึงเปิดโอกาสให้หนุ่มน้อยตัวเล็กที่ยืนชะเง้ออยู่ด้านหลังสุดได้เข้ามาพูดคุย
“อ้าวคุณชาย สนใจชิ้นไหนบอกข้าได้”
“ข้าอยากทราบว่าท่านคือลู่เสี่ยวหลานใช่หรือไม่” คนขายหนังทำเป็นเฉไฉชวนคุยไปเรื่องอื่นราวกับว่าไม่เคยรู้จักนามนี้มาก่อน จางอ้ายเหรินจึงควักก้อนทองออกมาหนึ่งก้อนแล้วส่งให้ชายผู้นั้น
“ข้าถามท่านอีกรอบ ท่านใช่ลู่เสี่ยวหลานหรือไม่”
คนขายหนังแม้จะไม่ได้อยากเปิดเผยตนนัก ด้วยกังวลถึงความปลอดภัย ทว่าแสงวับวาวบนก้อนทองนี้ล่อตาล่อใจเหลือทน มูลค่านี้สามารถทำให้เขาไม่ต้องขายหนังไปอีกหลายวันเลย
“ท่านไปรอข้าที่โรงน้ำชาต้าถังก่อน ข้าจะเอาของไปเก็บแล้วตามไป” พ่อค้าขายหนังกระซิบ
สิ้นคำทั้งคู่ก็แยกทางกัน จางอ้ายเหรินใช้เงินของหลิวกุ้ยเฟยจองห้องอาหารแบบส่วนตัวเอาไว้แล้วขึ้นไปรอพ่อค้าที่นั่น ไม่นานนักเขาก็ตามเข้ามาด้วยชุดจอมยุทธ์สีดำ
“ท่านรู้จักข้าได้อย่างไร” ทันทีที่ลู่เสี่ยวหลานเดินเข้ามาก็เอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“รู้จากไหนไม่สำคัญ สำคัญแค่ตอนนี้ข้ามีงานให้ท่านทำก็พอ”
“ข้าไม่ได้รับงานมานานแล้ว ท่านอาจจะต้องผิดหวังกลับไป”
“ข้าไม่ผิดหวังหรอก...งานที่ให้ทำก็เป็นเพียงงานตามหาคนเท่านั้น ท่านคงทำได้” จางอ้ายเหรินยกน้ำชาอุ่นขึ้นกระดกลงคอหลังจากพูดจบ
ดวงตาคมจ้องมองบุรุษร่างน้อยตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน “สตรีงดงามเช่นท่าน ไยต้องแต่งกายราวบุรุษด้วยเล่า”
“ไม่ใช่เรื่องของท่าน ว่าแต่งานนี้ท่านจะรับทำหรือไม่”
“ข้าขอดูค่าจ้างหน่อย”
จางอ้ายเหรินควักถุงออกมาจากอกเสื้อก่อนจะวางลงตรงหน้า ชายผู้นั้นรับถุงไปเปิดดูก็ถึงกับดวงตาลุกวาวเป็นประกาย ทองหลายก้อนทับซ้อนกันอยู่เกือบครึ่งถุง ใบหน้าบึ้งตึงพลันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อค้าอีกครั้ง
“ท่านต้องการตามหาผู้ใด”
“คุณชายสามตระกูลหลิงที่เมืองทางตอนเหนือ เขาชอบสวมชุดลายพื้นสีขาว ห้อยหยกที่เอว หากพบเขา ฝากบอกว่าจางอ้ายเหรินยังคงมีชีวิตอยู่ที่เมืองนี้ ท่านส่งข่าวให้เขาเพียงเท่านี้พอ”
“บอกแค่นี้ แต่ให้ค่าจ้างข้ามามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“เท่านี้จริง ๆ ข้าเพียงแค่...” จางอ้ายเหรินชะงักไปก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ “...เมื่อท่านทำงานสำเร็จก็ไปฝากข่าวเอาไว้ที่ร้านโอสถโกแปะ ข้าจะมารับในวันเทศกาลโคมลอย”
“ขอรับ” รับคำเสร็จลู่เสี่ยวหลานก็เดินจากไป ปล่อยให้หญิงสาวนั่งเงียบอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง พลางหวนคิดถึงเรื่องราวร้าย ๆ ที่เคยเกิดขึ้น...
ก่อนวันที่จางอ้ายเหรินจะตาย...
ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปรง ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี มีร่างของหนุ่มสาวกำลังกอดรัดกันด้วยความเสน่หารักใคร่จนเกินเลย ร่างหนาเข้าสวมกอดร่างอรชรของคนรักเอาไว้ก่อนมอบจุมพิตให้อย่างโหยหา กลืนกินความสาวไร้เดียงสาอย่างเร่งรีบเพราะกลัวใครจะผ่านมาเห็นเข้า กระทั่งเสร็จสมจนพอใจแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินจากไป พร้อมกับไม่ลืมทิ้งคำหวาน ๆ ให้ความหวังกับคนที่เฝ้ารอให้คิดไปไกล
“หากข้าสอบจอหงวนผ่านแล้ว ข้าจะกลับมารับเจ้าไปอยู่ที่จวน”
จางอ้ายเหริน หญิงชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบ้านเก่าทรุดโทรมบริเวณตีนเขาเพียงลำพัง เฝ้ารอคอยคุณชายตระกูลหลิงด้วยใจรักมั่นชนิดที่ถอนตัวไม่ขึ้น หัวใจ ร่างกาย ชีวิตทั้งชีวิตนางล้วนยกให้เขา บุตรชายตระกูลสูงส่ง นางถูกคำหวานหว่านล้อมให้หลงรัก หลอกล่อให้อยู่คอยรับใช้เป็นทาสกามารมณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้