เมื่อใดที่ต้องการ เขาย่อมมาหานางได้ทุกเมื่อ
จนกระทั่งความจริงเริ่มปรากฏ หลังจากจางอ้ายเหรินได้ตั้งครรภ์ ชายผู้ที่เคยบอกว่ารักก็เงียบหายไป นางจึงตัดสินใจบุกไปทวงคำสัญญาที่จวนตระกูลหลิงพร้อมกับลูกในท้อง
“ท่านจะทำเยี่ยงนี้ไม่ได้ ข้ารักท่านด้วยใจจริง ข้าถึงยอมตกเป็นของท่าน” เสียงขอร้องอ้อนวอนหน้าประตูจวนดังมาครึ่งวันแล้ว แต่กลับไร้วี่แววว่าชายคนรักจะเห็นใจเปิดประตูออกมารับ
“ไป ไปเสียให้พ้น นางคนบ้าเสียสติ เสียงดังรบกวนหน้าจวน” สาวใช้เฒ่าเปิดประตูออกมาไล่พร้อมกับสาดน้ำใส่จางอ้ายเหรินราวกับว่าเธอนั้นเป็นสิ่งสกปรก หาใช่คนไม่
“ไม่ ไม่ เปิดประตูให้ข้า ข้าจะไปหาสามีข้า!”
“สามีเหรอ เป็นของเล่นสนองความใคร่คุณชายแค่ชั่วคราว กล้าเรียกสามีได้อย่างไร ออกไป!”
“ไม่! ไม่! ให้ข้าพบคุณชายเถอะ ไม่ โอ๊ย!” ทันใดนั้นชายฉกรรจ์หลายคนก็กรูเข้ามาจับจางอ้ายเหรินให้ลุกขึ้นก่อนจะทุบตีนางปางตาย แล้วเอาเหล้ากรอกปากหวังให้นางแท้งลูก
หญิงสาวได้แต่พยุงร่างกายอันบอบช้ำ วิ่งหนีออกมาจากคนตระกูลหลิงด้วยแรงเฮือกสุดท้าย พร้อมกับเลือดที่ไหลนองอาบเรียวขา
จางอ้ายเหรินลากตัวเองเดินมาถึงสะพานไม้ผุพัง ด้านล่างเป็นสายน้ำเชี่ยวกรากไหลลงไปยังทิศที่พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวลับขอบฟ้าอยู่ไกล ๆ ตอนนี้นางเสียเลือดมากจนร่างกายรับไม่ไหวแล้ว
หญิงสาวทำได้เพียงยืนร่ำไห้พรั่งพรูความคับแค้นใจออกมา ข่มความเจ็บปวดทางจิตใจราวกับคนบ้าเสียสติ เสียทั้งลูกในท้อง เสียทั้งชายคนรัก ช่างเจ็บปวดเหลือทน จนไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ตู้มมมมม!!!
จางอ้ายเหรินซื้อโอสถจากร้านขายโอสถ แล้วก็ไม่ลืมซื้อของไปฝากให้ฉีฉี่ผู้ยอมเสี่ยงชีวิตดูต้นทางให้ที่ท้ายตำหนัก
“ปิ่นหยกนี้ราคาแพงนัก แต่ว่าเหมาะกับฉีฉี่ไม่เบา นางจะตำหนิข้าที่ใช้เงินของสนมหลิวอย่างฟุ่มเฟือยหรือไม่นะ”
หญิงสาวรู้ตัวดีว่าตนใช้เงินของผู้อื่นค่อนข้างฟุ่มเฟือยมิใช่น้อย แต่อย่างไรเสีย สถานการณ์ในตอนนี้เงินของพระสนมก็ไม่ต่างอะไรกับเงินของนางนี่นา จางอ้ายเหรินคิดในใจก่อนจะเดินไปที่ร้านขายของใช้สตรีที่ตั้งแผงอยู่ตรงหน้า นางเลือกกำไลหยกและปิ่นสีขาวมาอย่างละหนึ่งชิ้น ดูเรียบร้อยไม่หรูหราเกินไปจนเป็นที่เตะตา
“สองชิ้น ราคารวมเป็นสามร้อยอีแปะขอรับคุณชาย” ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอยากจะขาย
“แพงจริง...สองร้อยได้ไหมเถ้าแก่”
“ไอ๊หยา ของซื้อของขาย ลดให้ขนาดนั้นข้าน้อยก็เจ๊งพอดีสิขอรับ” ใบหน้าชายชราดูตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินจางอ้ายเหรินต่อรอง
“เช่นนั้นข้าจ่ายสองร้อยยี่สิบเป็นอย่างไร”
“ไม่ได้ขอรับ เต็มที่ข้าลดได้แค่สองร้อยเก้าสิบ”
“สองร้อยสี่สิบ” นางยอมต่อเพิ่มให้อีกหน่อย
“ไอ๊หยา! ข้าน้อยไม่ได้กำไรเลยนะขอรับ”
“สองร้อยห้าสิบเล่า พอได้หรือไม่ ข้าจะซื้อไปฝากเมีย เมียข้ากำลังท้อง...” ในเมื่อขอกันดี ๆ ไม่ได้ จางอ้ายเหรินจึงต้องของัดเล่ห์กลอุบายที่ติดตัวจากชาติที่แล้วมาใช้สักหน่อย
“...”
“ถ้าอย่างนั้นสองร้อยเจ็ดสิบเล่า เห็นใจข้าเถิด ข้ามีเท่านี้ ฮูหยินของข้านางชอบของสวยงาม หากท่านยอมลดให้ครานี้ ครั้งหน้าข้าจะหอบเงินมาซื้อของร้านท่านแบบไม่ต่อเลยสักอีแปะดีหรือไม่”
ชายชรายกมือขึ้นมาลูบเคราตัวเองไปมา พลางทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบ “ก็ได้ นี่ข้าเห็นว่าท่านแต่งตัวดี แล้วยังคิดถึงแต่ฮูหยินหรอกนะ ข้าถึงยอมลดให้พิเศษ”
อันที่จริงคนขายเพียงใช้ความคิดและสายตาอันแหลมคมของตนมองผลประโยชน์การค้าในวันข้างหน้าเท่านั้น ดูจากเสื้อผ้าเนื้อดีและการถักทองดงามไม่มีที่ติ อีกทั้งยังสวมรองเท้าราคาหลายตำลึงอยู่ด้วย ยากที่คนธรรมดาจะหาซื้อมาใส่ได้ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าคุณชายผู้นี้หากไม่ใช่บุตรชายของสกุลขุนนางก็ต้องเป็นองค์ชายที่แอบหนีทหารในวังออกมาเที่ยวเป็นแน่
“อะ อะไรนี่ พูดจริงหรือเปล่า”
“ขอรับ”
จางอ้ายเหรินยิ้มร่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติ นางจ่ายเงินให้กับพ่อค้าไปทันทีก่อนจะรีบหมุนตัวเดินกลับไปยังท่าเรือร้างทันที
“โอ๊ย!!” เสียงร้องดังขึ้นหลังจากร่างบอบบางถูกชนจนเกือบหงายหลังล้มไม่เป็นท่า ยังดีที่ถูกมือปริศนาคว้าจับเอาไว้ก่อน และดึงนางกลับเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“หลิวกุ้ยเฟย ท่านมาทำอะไรที่นี่” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหูพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนรดที่ต้นคอ ทำเอาหัวใจของจางอ้ายเหรินหล่นวูบไปที่ตาตุ่มเมื่อรู้ว่ามีคนจำนางได้
จางอ้ายเหรินเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อพบว่าต้นเสียงนั้นคือใครก็รีบผละออกอย่างไม่ลังเล “ชินอ๋อง!”
“ข้าเอง นี่ไม่รู้หรอกหรือว่าสตรีในวังหลังถูกห้ามมิให้ออกมาเดินเตร่ข้างนอกคนเดียวแบบนี้ อุ๊บ!!”
จางอ้ายเหรินรีบใช้มือปิดปากหยางอู่เฉินแล้วดันให้เขาเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ที่ไร้ผู้คน ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันจนแทบจะแนบเนื้อ ไออุ่นจากผิวกายของหญิงสาวทำเอาผู้ที่เฝ้าคะนึงหาสัมผัสนี้มาเนิ่นนานเกือบจะอดใจเอาไว้ไม่อยู่
“เอาละ หม่อมฉันไม่ได้มาเดินเตร่คนเดียวหรอกเพคะ เพียงแค่มีธุระ” จางอ้ายเหรินผละตัวออกห่างก่อนจะปล่อยมือเล็ก ๆ จากริมฝีปากหยักที่ลอบยิ้มอย่างพอใจจากการถูกสัมผัสเมื่อครู่
“แล้วเหตุใดพระสนมจึงไม่ใช้ให้คนในตำหนักออกมาแทนเล่า”
“ธุระของหม่อมฉัน ชินอ๋องไม่ต้องสนพระทัยหรอกเพคะ”
“ได้อย่างไร หากธุระที่พระสนมว่าล่วงรู้ถึงหูหยางมู่เฉินละก็ เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเกี่ยวกับข้าเป็นแน่” ใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคาดเดาไม่ได้ค่อย ๆ โน้มลง หวังจะจุมพิตกลีบดอกบัวสีชาดให้หายคิดถึงเสียหน่อย ทว่านางกลับหลบทันแถมยังมองกลับมาด้วยสายตาตำหนิ
“หากชินอ๋องไม่พูด หม่อมฉันไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ พระองค์เองก็ออกมาเดินเตร่คนเดียวเหมือนกันนี่ เหตุใดหม่อมฉันจึงจะโดนทำโทษเพียงผู้เดียว”
“ไม่เหมือนกัน ก็ข้าไม่ได้เป็นสนมของหยางมู่เฉินสักหน่อย จะเหมือนกันได้อย่างไร” หยางอู่เฉินผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อพูดจบ
รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนักเมื่อคิดถึงน้องชายต่างมารดา ที่ใช้อำนาจแย่งชิงสตรีของตนไป
“แล้วอย่างไร หม่อมฉันไม่ได้มาเพื่อธุระของตัวเองสักหน่อย หม่อมฉันย่อมมีข้อแก้ตัวที่ดีอยู่แล้ว” จางอ้ายเหรินเชิดใบหน้าขึ้นก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทางยโสปนโกรธเคือง เมื่อนึกถึงสาเหตุที่พระสนมต้องมาฆ่าตัวตายเพราะถูกใส่ร้ายป้ายมลทิน แถมชายผู้นี้กลับไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ยังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น