เพล้ง! เสียงแจกันหล่นลงพื้นกระจัดกระจายเต็มไปหมด ทำเอานางกำนัลน้อยใหญ่ต่างก็ไม่กล้ายื่นหน้าเข้าไปยุ่ง ได้แต่ยืนหลบมุมรอเสียงเรียก เพราะเมื่อใดที่เจิ้งซูเฟยโมโห ข้าวของนับไม่ถ้วนจะถูกขว้างปาเช่นนี้อยู่เป็นประจำ หากใครถือดีกล้าเข้าไปขวางเป็นต้องเจ็บตัวกลับไปทุกราย
เว้นเพียงผู้เดียว ที่ปรากฏตัวเมื่อใด พายุใหญ่เป็นต้องสงบลงเมื่อนั้น
“ออกไปกันก่อน” หญิงชราที่เพิ่งเดินมาเห็นเหตุการณ์หันไปสั่งกับทุกคนที่คอยอยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินมาประชิดตัวคนที่กำลังลงมือกับข้าวของ
เพียะ!! เสียงฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าขาวนวลที่กำลังโกรธเกรี้ยว เจิ้งหนิงเอ๋อหันกลับมากะจะเอาความ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครแจกันในมืออีกใบก็แทบจะร่วงหล่นออกจากมือ
“เปิ่นกงให้เจ้ารีบมีลูกให้ฮ่องเต้ เหตุใดถึงเอาแต่ใส่อารมณ์กับข้าวของเช่นนี้ ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ หนิงเอ๋อ” เสียงดุด่าดังขึ้นทำเอาคนภายนอกแสดงสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“หม่อมฉันพยายามแล้วนะเพคะ แต่ฮ่องเต้ไม่เคยสนพระทัยหม่อมฉันเลย”
“พยายามหรือ...แค่นี้เจ้าเรียกว่าพยายามได้แล้วหรือ” หญิงสูงวัยถอนหายใจก่อนจะใช้เท้าเขี่ยเศษเครื่องปั้นดินเผาเคลือบทองบนพื้นออกให้พ้นทางแล้วเดินนำหลานสาวตนให้มานั่งที่ห้องรับน้ำชา
ใบหน้าที่มากด้วยวัยเงยหน้าขึ้นมองเพดานแสนโอ่อ่าที่ตนจัดหามาให้ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่เคยให้ขัดสน เหตุใดถึงไม่เคยได้คืนมาสักตำลึง
“เห็นทีพระสนมคงจะสุขสบายเกินไปแล้ว จนลืมไปเสียสิ้นว่าเปิ่นกงไปขุดเจ้ามาจากที่ใด เคยให้สิ่งใด เคยรับปากเปิ่นกงไว้อย่างไร ใช่หรือไม่” น้ำเสียงเยือกเย็นทำเอาคนฟังสะท้านไปถึงกระดูก
เจิ้งหนิงเอ๋อเดิมเป็นเพียงบุตรสาวปลายแถวของใต้เท้าสกุลเจิ้ง ญาติห่าง ๆ ของเจิ้งหนิงฮวา เดิมฐานะทางบ้านก็ลำบากแร้นแค้นไม่เคยสุขสบาย ข้าวแทบไม่มีให้กิน วันใดได้กินแป้งอบหรือน้ำซาวข้าวเพียงถ้วยก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
หากไม่ใช่เพราะหลายปีก่อนเจิ้งหนิงฮวาได้ออกติดตามฮ่องเต้องค์ก่อนไปราชการที่ต่างเมือง วาสนาลูกอนุอย่างนางมีหรือจะเอื้อมถึงฮ่องเต้ผู้หล่อเหลาผู้นี้
“หม่อมฉันไม่เคยลืมเพคะ” เจิ้งหนิงเอ๋อตอบเสียงอ่อนลง ท่าทีที่สงบนั้นทำให้เจิ้งหนิงฮวาเริ่มพอใจขึ้นมาบ้าง
“ดี...บุญคุณเพียงข้าวสักเม็ดก็ต้องตอบแทนเป็นชาติถึงจะหมด เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ”
“เพคะ ไท่เฟย”
พูดจบเจิ้งไท่เฟยก็เดินออกไป แต่ก่อนจะก้าวขาพ้นประตู หญิงชรากลับไม่ลืมหันมากำชับผู้ที่ตนคอยชุบเลี้ยงไว้เป็นเบี้ยให้รู้ถึงหน้าที่
“เมื่อวานฮ่องเต้เสด็จไปพบหลิวกุ้ยเฟยมา แต่ไม่ได้ค้างที่ตำหนัก เจ้าให้คนไปสืบมาว่าระหว่างฮ่องเต้กับหลิวกุ้ยเฟยมีสิ่งใดเปลี่ยนไปบ้าง”
“เพคะไท่เฟย”
สิ้นธุระ ไท่เฟยเฒ่าก็เดินกลับออกไป ทิ้งให้เจิ้งหนิงเอ๋อหลั่งน้ำตาแห่งความคับแค้นใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ท้ายที่สุดนางก็ต้องทำตามคำสั่งของเจิ้งไท่เฟยทุกอย่าง
“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ” หรงเอ๋อเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเจิ้งหนิงฮวาเดินออกมาจากตำหนักอย่างรีบร้อน
“ไปตำหนักเจียงเต๋อเฟย”
“ให้หม่อมฉันแจ้งไปก่อนหรือไม่เพคะ”
“ไม่ต้อง เปิ่นกงแค่จะไปพูดธุระเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ทั้งสองเดินคุยกันมาจนถึงตำหนักที่เล็กที่สุดในบรรดาตำหนักของวังหลัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เพราะต้องคอยไปมาหาสู่กันตลอด เจิ้งหนิงเอ๋อจึงกราบทูลฮองเฮาขอให้เจียงซูเฟยมาพักที่ตำหนักใกล้ ๆ
“เจิ้งซูเฟยมาหาหม่อมฉันแต่เช้า มีธุระอันใดหรือเพคะ” ร่างอรชรละความสนใจจากแปลงดอกไม้ตรงหน้า ผุดลุกขึ้นด้วยท่วงท่าเรียบเฉยพลางส่งพลั่วให้บ่าวของตน ก่อนจะหันไปหาเจิ้งหนิงเอ๋อที่เข้ามาภายในตำหนักอย่างรีบร้อน แล้วหย่อนกายนั่งที่โต๊ะหินอ่อนด้วยท่าทางที่ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ทันทีว่าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“ฮ่องเต้เสด็จไปที่ตำหนักหลิวเยว่ซิน”
“อะไรนะเพคะ”
สิ่งนี้สร้างความเคืองใจให้แก่พระสนมทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเจียงเลี่ยงหลิงอาจจะไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจมากเท่ากับเจิ้งหนิงเอ๋อ เพราะหากนับลำดับการเข้ามาแล้ว เจิ้งหนิงเอ๋อถือว่าเข้ามาก่อนหลิวเยว่ซิน ฉะนั้นการทำเช่นนี้จึงดูเป็นการข้ามหน้าข้ามตาไปหน่อย
โบราณว่าไว้ ไฟไหม้ด้านนอกของเรือนย่อมจะดับง่าย แต่ไหม้จากด้านในดับยากมากกว่า ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่ากำลังสร้างความไม่เท่าเทียมให้แก่ทุกคนหรอกหรือ
อีกอย่างฮ่องเต้ก็ไม่เคยมาที่ตำหนักพวกนางอีกเลยหลังจากการแต่งตั้ง คืนนั้นแม้แต่ปลายนิ้วฮ่องเต้ยังไม่ทรงแตะต้องด้วยซ้ำ รุ่งเช้าก็รีบออกจากตำหนักไปไม่แม้แต่จะเอ่ยคำร่ำลา
ความรักที่ฮ่องเต้ทรงมีแก่หลิวกุ้ยเฟยมาตั้งแต่เด็กใคร ๆ ต่างก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น แม้แต่พระสนมทั้งสองเองก็เช่นกัน
“เช่นนั้นพวกเราจะทำเช่นไร” เจียงเลี่ยงหลิงทำได้เพียงขอความเห็น
“หากวันนั้นแผนของเราสำเร็จ วันนี้ก็คงไม่ต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่”
“แล้วไท่เฟยตรัสเช่นใดบ้างเพคะ”
“ทรงให้คอยขัดขวาง ไม่ให้นางท้องก่อนฮองเฮา” เจิ้งหนิงเอ๋อถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย “เมื่อไหร่ยาของไท่เฟยจะออกฤทธิ์เสียทีนะ”
“หรือเราจะต้องเพิ่มจำนวนเข้าไป เห็นว่าหลายวันมานี้หลิวกุ้ยเฟยมัวแต่ขลุกอยู่ที่ห้องเครื่องของฮองเฮา ไม่รู้ว่าทำอะไร” เจียงเลี่ยงหลิงกล่าวก่อนจะเทน้ำชาให้แขก แล้วจึงกลับมาเทให้ตนบ้าง
“เช่นนั้น...ก็คงต้องเล่นสกปรกสักหน่อยแล้วล่ะ”
ทันใดนั้นใบหน้าบูดบึ้งของเจิ้งหนิงเอ๋อก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มออกมาราวกับว่าเป็นผู้ชนะ
“หลิวกุ้ยเฟย...หลิวกุ้ยเฟยเพคะ พระองค์จะปลอมตัวแอบออกไปข้างนอกไม่ได้อีกแล้วนะเพคะ หม่อมฉันไม่ยอมให้ท่านออกไปเสี่ยงอีกเป็นอันขาด หากถูกจับได้มีหวังถูกทำโทษอีกแน่ ๆ” ฉีฉี่ยืนกางแขนกางขาพองตัวเล็ก ๆ ของนางขวางผู้เป็นนายไว้ไม่ให้ทำผิดอีก ครั้งที่แล้วออกไปก็เกือบถูกไท่เฟยจับได้มาทีหนึ่งแล้ว
“ครั้งเดียว ครั้งสุดท้ายแล้ว นะ นะ เจิ้งไท่เฟยก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใด เจ้าไม่เห็นหรือ” รอยยิ้มที่แสนจะสดใสปรากฏขึ้นมาบนสีหน้าซุกซนของจางอ้ายเหริน