ชายชุดดำเงื้ออาวุธพุ่งเข้ามาด้วยเพลงกระบี่อันมีชั้นเชิง หยางมู่เฉินเพียงเอี้ยวตัวหลบมิได้ตอบโต้เพราะกลัวว่าหลิวเยว่ซินจะได้รับบาดเจ็บไปด้วย ทว่าไม่นานนักทหารที่แฝงตัวแอบอยู่ตามจุดต่าง ๆ ก็เข้ามาช่วยและไล่ตามคนพวกนั้นไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถามพร้อมกับสำรวจร่างกายของหญิงสาวอย่างละเอียด
“พวกนั้นเป็นใครเพคะ”
“นักฆ่า”
“ฮะ?” จางอ้ายเหรินยังคงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ นางเกือบถูกสังหารมีทั้งทั้งดาบทั้งกระบี่ ยังดีที่หยางมู่เฉินรู้วิธีหลบเลี่ยงนางจึงรอดมาได้
หยางมู่เฉินจูงมือจางอ้ายเหรินวิ่งกลับมาที่ภัตตาคาร ก่อนที่องครักษ์จะวิ่งหน้าตาตื่นมารับเพราะเห็นว่าฮ่องเต้วิ่งกลับมา
“มีนักฆ่าอยู่ตรงนั้น ไปตรวจสอบที”
“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เกราะดำรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งกระจายกันออกค้นหาผู้ที่กล้ามาลอบทำร้ายฮ่องเต้และกุ้ยเฟยกลางเมืองอย่างอุกอาจเช่นนี้ ทั้งที่ได้วางกำลังเอาไว้หนาแน่นแล้ว ก็ยังลอบปะปนเข้ามาได้ในงานโคมลอย
“พระองค์ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” ฮองเฮารีบเข้ามาดู หลังเห็นว่าทั้งคู่เดินขึ้นมาชั้นบนด้วยสภาพที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“ไม่เป็นไร” หยางมู่เฉินตอบก่อนจะหันไปทางหลิวเยว่ซินที่ยังคงยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลัง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังตกใจอยู่ใช่หรือไม่” หยางมู่เฉินเสียงแผ่วเบา ทำให้หลิวเยว่ซินปล่อยโฮออกมาในที่สุด
“ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง...” ฝ่ามือหนาเอื้อมไปเช็ดน้ำตาที่อาบสองแก้ม ก่อนดึงร่างนางเข้ามากอดเอาไว้แน่น “...เจ้าปลอดภัยแล้ว”
“รีบพาหลิวกุ้ยเฟยกลับวังไปพักผ่อนกันเถิดเพคะ หม่อมฉันคิดว่าพี่หญิงคงตกใจมาก” เจียงเลี่ยงหลิงกล่าวพลางเข้าไปประคองฮองเฮาให้ลุกขึ้น
“หม่อมฉันเห็นด้วยนะเพคะ อย่างไรที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เกรงว่าหากพวกนักฆ่าย้อนกลับมาจะลำบาก” อวี๋เยี่ยนฟางเสริม เพราะตนเองก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นเตรียมรถม้าเลย เราจะกลับกันแล้ว”
“เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวพลางผายมือออกไปทางประตู
ทั้งสี่เดินออกมาจากภัตตาคารก่อนจะพบว่ามีรถม้ารออยู่สามคัน หยางมู่เฉินประคองหลิวเยว่ซินขึ้นรถ แล้วตามขึ้นไป อวี๋เยี่ยนฟางจึงได้เรียกเจียงเลี่ยงหลิงให้มานั่งกับตน เพราะคิดว่านางคงกลัวเช่นกัน
ทั้งคู่ต่างนั่งนิ่งเงียบจนกระทั่งเจียงเต๋อเฟยเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาในที่สุด
“ฮ่องเต้ทรงเป็นห่วงหลิวกุ้ยเฟยยิ่งนัก ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่เพคะฮองเฮา”
อวี๋เยี่ยนฟางเหลือบมองเจียงเลี่ยงหลิงที่กำลังมองมาที่ตนแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย แม้ในใจจะแอบน้อยใจอยู่ลึก ๆ ทว่ากลับไม่สามารถแสดงออกมาให้ใครเห็นได้ เพียงเพราะตำแหน่งที่ตนยืนอยู่นั้นไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องเช่นนี้ได้
“หลิวกุ้ยเฟยมีครรภ์มังกรอยู่ จะไม่ให้ฮ่องเต้ทรงเป็นห่วงได้อย่างไร” อวี๋เยี่ยนฟางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าอีกคนกลับไม่ยอมหยุด
“หากฮ่องเต้ไม่ทรงลำเอียง ป่านนี้พวกเราก็คงท้องพร้อมกันไปแล้ว นี่อะไรกัน ตั้งแต่หลิวกุ้ยเฟยฟื้น หลายเดือนมานี้ฮ่องเต้ก็เอาแต่ไปหานางอยู่ผู้เดียว”
อวี๋เยี่ยนฟางเองก็รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นางเองก็ไม่อาจบังคับฮ่องเต้ให้ไปนอนกับใครได้ ยังดีที่นางเป็นฮองเฮา ฮ่องเต้เลยยังทรงเกรงใจมานอนเป็นเพื่อนที่ตำหนักอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่อาจเทียบกับหลิวกุ้ยเฟยที่ถูกฮ่องเต้เอาใจใส่เฉกเช่นผู้ที่มีรักลึกซึ้งต่อกันได้
“เช่นนั้นเจ้าก็พยามเข้านะ ข้าเอาใจช่วย”
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเป็นห่วง” ความจริงแล้วเจียงเลี่ยงหลิงไม่ได้คิดว่าอยากจะไปแย่งชิงความโปรดปรานกับใคร เพราะถึงอย่างไรที่นางเข้ามาในวังได้ ส่วนหนึ่งล้วนเป็นฝีมือของคนตระกูลเจิ้ง ท่านพ่อของนางมีเพียงตำแหน่งที่นั่งเล็ก ๆ ในวัง เสียงจะแย้งกับเสนาคนอื่นยังไม่มี จะเอาปัญญาที่ไหนผลักดันให้ลูกเข้ามารับใช้ฮ่องเต้ได้กัน หากไม่ใช้บารมีของไท่เฟยเฒ่าเจิ้งหนิงฮวา
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวมาจนถึงตำหนักลี่ฝู เจียงเลี่ยงหลิงก็ก้าวลงจากรถม้าอย่างรวดเร็วก่อนจะยืนส่งฮองเฮาจนกระทั่งรถม้าพระที่นั่งลับสายตาไป นางทอดสายตามองไปยังถนนอันว่างเปล่าด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย พลางคิดในใจ
‘เมื่อใดหนอที่ข้าจะไม่ต้องตกเป็นรองผู้ใดอีก…’
“พระสนมทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ” ห่าวซวนเดินเข้ามาถามก่อนจะห่อวรกายของพระสนมด้วยผ้าคลุมผืนหนากันน้ำค้างลง
“ข้ากำลังคิดว่า...เมื่อใดฮ่องเต้จะทรงเห็นข้าอยู่ในสายตาบ้าง” น้ำเสียงอันเลื่อนลอยพรั่งพรูความในใจออกมา เจียงเลี่ยงหลิงถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตำหนักหลังเล็ก
ภายในตำหนักถูกตกแต่งด้วยกิ่งดอกท้อป่างดงามรอวันที่ฮ่องเต้เสด็จมา วันนั้นพระองค์คงจะได้เชยชมความงดงามของดอกท้อที่ทรงละเลยมานานแสนนาน
“ท่านพ่อติดต่อมาบ้างหรือไม่” น้ำเสียงใสเอ่ยถามขณะที่กำลังเด็ดดอกท้อมาถือไว้ในมือ อาการเหม่อลอยคล้ายกับกำลังคิดเรื่องวุ่นวายใจขณะเดินมานั่งหน้ากระจกบานใหญ่
“เพคะ มารดาของพระสนมให้สายมาส่งข่าวว่ามีการเตรียมเอ่อ...” ห่าวซวนชะงักพลางมองซ้ายขวาอย่างระวังแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “...จะมีทหารลับแฝงกายเข้ามาในวัง ท่านจึงได้ตระเตรียมทางหนีฉุกเฉินเผื่อเอาไว้ให้ เพราะครั้งนี้เห็นทีจะถึงคราวมีการผลัดเปลี่ยนครั้งใหญ่”
“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียว”
“ดูท่าครั้งนี้ฮ่องเต้จะทรงแย่แล้ว ทางที่ดีพระสนมก็ควรเตรียมตัวเอาไว้บ้างก็ดีนะเพคะ” ห่าวซวนเดินเข้ามาจากด้านหลังเตรียมตัวผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้กับเจียงเลี่ยงหลิงอย่างที่เคยทำทุกวัน