จวนตระกูลหลิว #2

1393 คำ
“หลิวกุ้ยเฟยจะเสด็จออกไปเยี่ยมท่านแม่ที่จวนหรือเพคะ” ฉีฉี่เอ่ยถามเสียงเบาขณะที่เตรียมปรนนิบัติให้หลิวกุ้ยเฟยล้างหน้าล้างมือ “ใช่ เราจะไปบ้านก็ไม่ได้หรือ” ดวงหน้านวลมองตัวเองซ้ายขวาเพื่อชื่นชมความงดงามของหลิวกุ้ยเฟยที่ตนมาอาศัยร่างอยู่ “หามิได้เพคะ แต่หม่อมฉันเห็นว่าตั้งแต่พระสนมเข้าวังมา ร้อยวันพันปีไม่เคยติดต่อคนที่จวนเลย หม่อมฉันแค่รู้สึกแปลกใจ” ฉีฉี่อธิบายพลางเอากลีบกุหลาบและน้ำอบกลิ่นหอมหยดลงไปในอ่าง ก่อนจะยกไปวางให้พระสนมของนาง “ฮึ่ม! เจ้าเด็กนี่ถามมากความ ข้าแค่คิดถึงท่านแม่กับท่านพ่อ จึงอยากกลับไปเยี่ยมท่านบ้างตามธรรมเนียมที่บุตรที่ดีควรทำก็เท่านั้น แม้ว่าตอนนี้ข้าจะออกเรือนมาแล้ว ก็ใช่จะตัดขาดกับตระกูลไปเลยเสียเมื่อไหร่” “ถ้าอย่างนั้นพระสนมต้องไปทูลขอกับฮ่องเต้ก่อนนะเพคะ จะออกไปตามพระทัยเห็นทีจะไม่ได้” “ได้สิ ก็แค่ทูลขออนุญาตไม่ใช่หรือ” จางอ้ายเหรินรีบผัดหน้าแต่งกายใหม่ ผมสีดำเงางามยาวลงมาถึงเอวคอดถูกรวบครึ่งหัวและประดับปิ่นที่ฮ่องเต้ประทานให้เล็กน้อย ปิดท้ายด้วยแต่งเติมใบหน้าให้ดูมีสีสัน เพียงเท่านี้ก็ออกไปพบปะผู้คนได้แล้ว ณ ห้องทรงงานของฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังโถงว่าการ หยางมู่เฉินมักนั่งตรวจฎีกาดูความเดือดร้อนของประชาชนและงานราชการของแผ่นดินจากทั่วทุกมุมเมืองที่มีเข้ามามากมายในทุกวันเป็นประจำ หากวันใดที่ว่างจากงานหลวงก็ยังมีลานฝึกซ้อมยุทธ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาสามารถใช้เวลาอยู่ตรงนี้ได้เป็นวัน ๆ จุดประสงค์หลักก็เพื่อคลายความเครียด และยังได้ฝึกซ้อมแผนการทหาร รวมไปถึงดูแลการฝึกของเหล่าองครักษ์ด้วย “อ้าว หลิวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาเจิ้นมีธุระอันใด” หยางมู่เฉินถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จางอ้ายเหรินมองพระสวามีที่ก่อนหน้านี้กำลังนั่งหน้านิ่วอยู่กับกองฎีกาจำนวนมาก ดูเปี่ยมไปด้วยบารมี รอบกายมีเหล่าขุนนางช่วยตรวจสอบไม่ห่าง “หม่อมฉันมาทูลขออนุญาตออกไปนอกวังเพคะ” “จะไปที่ใดหรือ รอสักหน่อยได้หรือไม่ เจิ้นจะพาไป” จบประโยคนี้เหล่าขุนนางเฒ่าก็พร้อมใจกันหันพรึ่บมาทางหลิวกุ้ยเฟยจนนางเดาออกได้ทันทีว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่อนุญาตให้นางพาฮ่องเต้หนีงานออกไปในตอนนี้เด็ดขาด “เอ่อ...หม่อมฉันไม่กล้ารบกวนเวลางานของฝ่าบาทหรอกเพคะ เพราะว่าที่ที่หม่อมฉันอยากไปเป็นเพียงจวนตระกูลหลิวเท่านั้น” สีหน้าของหยางมู่เฉินดูแปลกใจเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยท้วงอะไรขึ้นมา ซ้ำยังเอ่ยปากอนุญาตอย่างง่ายดาย แต่ต้องให้องครักษ์ประจำตัวของฮ่องเต้ติดตามไปด้วยสองคนเพื่อความปลอดภัย จางอ้ายเหรินเห็นว่าเงื่อนไขนี้ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพราะอย่างไรเสียก็ต้องมีเหล่าทหารและนางกำนัลตามออกไปเป็นโขยงอยู่ดี เพิ่มเข้ามาอีกสองคนจะเป็นไรไป ขบวนรถพระที่นั่งของกุ้ยเฟยหลิวเยว่ซินเคลื่อนมาจนถึงหน้าจวนตระกูลหลิว จางอ้ายเหรินก้าวลงมาจากรถม้าด้วยท่วงท่าที่งามสง่าก่อนจะเดินมายืนรอที่หน้าประตู “มีใครอยู่หรือไม่” เสียงของฉีฉี่ดังขึ้น ก่อนหน้านี้จางอ้ายเหรินได้ให้คนมาแจ้งกับคนในตระกูลหลิวแล้วว่านางจะมาเยี่ยมท่านแม่ เหตุใดถึงไม่มีผู้ใดออกมาต้อนรับเลย หลิวกุ้ยเฟยนั้นอยู่ในตระกูลขุนนางชั้นสูงที่มีฐานะ อีกทั้งสนิทชิดเชื้อกับฮ่องเต้องค์ก่อน หากจางอ้ายเหรินไม่รู้จักคนในครอบครัวของนางเอาไว้ ในงานฉลองวันเกิดของฮองเฮาที่กำลังจะมาถึงนี้มีหวังได้หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเป็นแน่ “เอ ไม่มีใครออกมาเลยเพคะ” “ไม่อยู่จวนกันสักคนเลยหรือ” จางอ้ายเหรินพยายามมองลอดช่องประตูเล็ก ๆ เข้าไป “หรือว่าพวกเขาจะไม่ต้อนรับเราอีกแล้วเพคะ” ฉีฉี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงอย ไม่ต้อนรับหรือ นี่มันจวนของพระสนมไม่ใช่หรืออย่างไร...ในเมื่อพระสนมอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่แล้วก็ควรให้เกียรติกันบ้างสิ อย่างน้อยมาเปิดประตูให้ก็ยังดี “นี่ฉีฉี่ ปกติข้ามานี่ที่บ่อยหรือไม่” จางอ้ายเหรินรู้สึกแปลก ๆ เลยต้องเอ่ยถามออกไป “อืม...” ฉีฉี่ทำท่าครุ่นคิด “...ครั้งสุดท้ายก็ก่อนพระสนมจะตกน้ำจนประชวร แต่หม่อมฉันไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะทุกครั้งที่เสด็จมาที่นี่ ท่านไม่เคยให้ใครเข้าไปด้วยเลยสักครั้ง แล้วทุกครั้งก็เป็นอย่างนี้แหละเพคะ ไม่เคยมีใครออกมาต้อนรับ” แปลกจริง หรือว่าหลิวกุ้ยเฟยจะเป็นลูกชังของคนตระกูลนี้กันนะ เพราะจนป่านนี้แล้วข่าวลือเรื่องหลิวกุ้ยเฟยสวมหมวกเขียวให้ฮ่องเต้ก็ยังมีคนสงสัยอยู่เลยว่าเป็นเรื่องจริง ไม่แน่ว่าคนที่ได้รับผลกระทบจนทำให้อับอายมากที่สุดจะเป็นคนตระกูลหลิวนี่แหละ “เช่นนั้นพวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ามา” “จะเสด็จเข้าไปคนเดียวหรือเพคะ” “อืม จะเข้าไปดูสักหน่อย รอที่นี่นะ” ทันใดนั้น จางอ้ายเหรินก็รีบผลักประตูไม้ขนาดใหญ่เข้าจวนไป พลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ บรรยากาศช่างวังเวง ไม่เหมาะกับขนาดจวนที่ดูใหญ่โตจนมองไม่หมดจริง ๆ แม้แต่คนรับใช้สักคนก็ยังไม่มี “กุ้ยเฟย” จางอ้ายเหรินสะดุ้งเพราะกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ไม่คิดว่าจะมีคนมาเรียกนางจากด้านหลัง ทำเอาหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม หญิงสาวรีบหันกลับไป เห็นแม่บ้านชราคนหนึ่ง ท่าทางกระฉับกระเฉง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแห่งวัยถูกฉาบเอาไว้ด้วยรังสีความดุเฉกเช่นผู้ใหญ่ที่ต้องคอยอบรมสั่งสอนผู้อื่นเสมอ “ตะ ตกใจหมดเลย” “หม่อมฉันไม่ยักรู้ว่ากุ้ยเฟยเป็นคนจิตอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ เชิญเสด็จทางนี้เพคะ ฮูหยินรอพบท่านอยู่” คนเก่าคนแก่ของตระกูลเดินนำจางอ้ายเหรินไปยังห้องรับรองที่อยู่ด้านในสุด ผ่านบ่อน้ำเล็ก ๆ และสวนดอกไม้ที่ถูกจัดเอาไว้อย่างสวยงาม กว้างใหญ่กว่าสวนหย่อมในตำหนักของนางหลายเท่าเลยทีเดียว ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงเรือนขนาดใหญ่ที่ดูเก่าทรุดโทรมราวกับไม่ได้รับการบำรุงมานาน ภายในมีสาวใช้วัยแรกรุ่นอยู่เพียงไม่กี่คนเดินกรูกันออกมาพร้อมถังไม้และผ้าเก่าขาด ๆ วิ่งผ่านหน้าของนางไป จางอ้ายเหรินมองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะถูกแม่บ้านชราเรียกให้เดินตามเข้าไปด้านใน ภายในมีเครื่องประดับราคาแพงอยู่มาก บ่งบอกถึงฐานะของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดี จางอ้ายเหรินมองสำรวจรอบ ๆ ได้ไม่นาน ร่างของสตรีสูงวัยผู้หนึ่งก็เดินออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “ถวายบังคมเพคะกุ้ยเฟย” หญิงชราเอ่ยทัก “ท่านคือ...” จางอ้ายเหรินครุ่นคิดสักครู่ ใช่แน่แล้ว ท่านผู้นี้คือฉินเยว่หลัน แม่ของหลิวเยว่ซินไม่ผิดแน่ “ท่านสบายดีหรือไม่” “ข้าสบายดี กุ้ยเฟยดูมีความสุขยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่ข้าเคยเจอนะเพคะ” ฉินเยว่หลันคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ ทว่าแววตากลับดูเศร้าหมอง “...ทั้งที่พี่ชายและท่านพ่อของกุ้ยเฟยต้องไปตกระกำลำบากอยู่ชายแดน เพราะการกระทำอันไร้จิตสำนึกของกุ้ยเฟยแท้ ๆ ทำไมถึงได้...มีสีหน้าเบิกบานเช่นนี้ได้เล่าเพคะ” ตึง! จางอ้ายเหรินถึงกับใจเสีย ไม่นึกเลยว่าตระกูลของหลิวเยว่ซินจะตกต่ำลงไปถึงเพียงนี้... แล้วเช่นนี้นางจะทำอย่างไรต่อไปดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม