“หม่อมฉันขอตัว” จางอ้ายเหรินรีบเดินออกไปทันที ก่อนจะเอาข้าวของในมือโยนลงไปในเรือแล้วจ้วงพายกลับวังอย่างเร่งรีบ โดยมีสายตาของคนสองคนยืนมองอยู่ไกล ๆ
“หลิวกุ้ยเฟยทำตัวน่าสงสัยจริง ๆ เลยนะพ่ะย่ะค่ะ หรือนางจะตามมาสืบเรื่องที่พวกเราทำ”
“เจ้ากล้าสงสัยนางหรือ นางเป็นเพื่อนเปิ่นหวางมาตั้งแต่เด็ก เปิ่นหวางรู้นิสัยนางดีกว่าใคร ไม่มีทางที่นางจะคิดไม่ดีกับเปิ่นหวางแน่นอน” หยางอู่เฉินหันไปตวาด
“กระหม่อมแค่คิดว่าตอนนี้หลิวกุ้ยเฟยเป็นคนของฮ่องเต้ไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการบุกตีค่ายทหารของเราที่ชายแดนด้วย”
ผัวะ!! มือใหญ่ออกแรงฟาดองครักษ์ประจำตัวทันที “หากเสด็จแม่ไม่สั่งเอาไว้เปิ่นหวางจะสั่งโบยเจ้าเสีย ลู่เซียน”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มเงียบปากทันที ก่อนจะถอยกรูดไปยืนอยู่ข้างหลังคนเป็นนายอย่างเจียมตัว ขณะที่ชินอ๋องยังคงยืนมองแผ่นหลังของหลิวกุ้ยเฟยพายเรือกลับวังไปจนลับสายตา
“พระสนม ทำไมเที่ยวนี้เสด็จไปนานนักล่ะเพคะ” ฉีฉี่รีบออกมาจากที่กำบังแล้ววิ่งมาจับเรือของจางอ้ายเหรินไว้ เพื่อให้พระสนมของนางได้ขึ้นจากฝั่งมาอย่างปลอดภัย ก่อนจะเอาเชือกไปมัดไว้กับตอไม้เล็ก ๆ อย่างเช่นทุกที
“ข้าแวะไปทำธุระมานิดหน่อย เรารีบกลับกันเถอะ”
“เมื่อครู่มีทหารเดินมาตรวจ แต่หม่อมฉันทำทีเป็นว่ามาเดินเก็บผลพุทราในตำหนักเย็นที่พระสนมเคยปลูกไว้ พวกทหารถึงได้เชื่อ”
“ที่ตำหนักเย็นมีผลพุทราที่ไหนกัน...” จางอ้ายเหรินเปรยพลางหันไปมองคนสนิทที่ยืนเกาหัวแกรก ๆ หลังนึกได้ว่าตนพลาด “...แต่ก็เอาเถอะ นี่ข้าซื้อมาฝากเจ้า” มือบางยื่นปิ่นสีขาวที่ซื้อมาให้ฉีฉี่ ดูนางดีใจมากแต่ก็ไม่กล้ารับ เพราะของนี้มีราคาแพงเกินไป
“หม่อมฉันไม่กล้ารับหรอกเพคะ พระสนมเก็บไว้เถอะ”
“เอาไปเถิด ถือว่าข้าให้เป็นของขวัญ”
ฉีฉี่ยังคงยืนเฉยไม่กล้าเอื้อมมือไปรับ จางอ้ายเหรินจึงตัดสินใจเอาปิ่นนั้นขึ้นไปปักผมให้อีกฝ่ายเอง ก่อนจะกล่าวชม
“สวยมาก!”
“พระสนมเพคะ”
“เอาน่า เงินข้าก็มีออกเยอะแยะ แค่ปิ่นบนหัวเจ้าอันเดียวไม่ทำให้ข้าเดือดร้อนหรอก” พูดจบจางอ้ายเหรินก็เดินนำฉีฉี่กลับตำหนักเพื่อนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนมาต้มเป็นโอสถขับพิษในร่างกายของฮองเฮาทันที หมอได้แนะนำกับนางมาว่าควรใช้สมุนไพรนี้เพียงพอประมาณ มิเช่นนั้นก่อนที่พิษจะถูกขับออก มีหวังได้ออกฤทธิ์มากกว่าเก่าเป็นแน่
ตลอดเวลาหลายเดือนที่มาขลุกอยู่กับฮองเฮา ทำให้จางอ้ายเหรินค้นพบอะไรบางอย่างในตัวยาที่ไท่เฟยเฒ่านำมาถวาย ดูเผิน ๆ อาจไม่มีอะไร ทว่าตัวยาผิดไปหลายส่วน ในเมื่อสงสัยเช่นนี้นางจึงได้อยู่เก็บข้อมูล จดบันทึก แล้วนำไปให้หมอเก่ง ๆ ในเมืองดู พร้อมกับขอซื้อโอสถมาให้ฮองเฮาเสวยแก้พิษ
ฮองเฮาเองก็ทรงระแคะระคายอยู่บ้าง แต่ไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวาให้คนที่นำโอสถมาถวายอยู่เฝ้าจนกว่าฮองเฮาจะดื่มจนหมด พวกนางจึงจะยอมกลับไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำได้เพียงกินโอสถขับพิษออกมาเท่านั้น
พักนี้ฮองเฮาจึงดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก แปลว่าโอสถที่หมอให้มานั้นได้ผล แต่ด้วยสมุนไพรบางชนิดนั้นหายากพอสมควร จำเป็นต้องใช้เวลานาน จึงต้องตระหนี่ใช้ให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ถวายบังคมไท่เฟยเจิ้งหนิงฮวาเพคะ” อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุไม่คาดคิด ระหว่างที่จางอ้ายเหรินกำลังง่วนอยู่กับนางกำนัลในห้องเครื่อง ไท่เฟยเฒ่าก็ได้มาเยี่ยมนางถึงที่อย่างไม่บอกกล่าว
“ทำตัวตามสบายเถิดหลิวกุ้ยเฟย หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยม ไม่ทราบว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง” เจิ้งหนิงฮวาเอ่ยทักก่อนจะผายมือให้คนอ่อนวัยกว่าเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้รับรองข้าง ๆ ตน
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ ว่าแต่ที่ไท่เฟยมาหาหม่อมฉันวันนี้ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือไม่”
“หึ หม่อมฉันก็แค่ผ่านมา เลยแวะเข้ามาทักทายเท่านั้น ไม่คิดว่าหลิวกุ้ยเฟยจะยุ่งอยู่” เจิ้งหนิงฮวายิ้มมุมปากด้วยกิริยาอันเยือกเย็นยากคาดเดา
“หม่อมฉันยุ่งอยู่จริง ๆ เสียมารยาทแล้วที่ไม่ได้เตรียมต้อนรับไท่เฟย”
“ไม่ต้องคิดมาก...” เจิ้งหนิงฮวากล่าว พลางวิเคราะห์กลิ่นสมุนไพรที่ติดกายหญิงสาว เพียงครู่ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ “ไม่ทราบว่าที่ตำหนักหลิวกุ้ยเฟยมีใครป่วยหรือ ถึงได้ปรุงโอสถที่มีแต่ของเผ็ดร้อน”
คำถามนี้ทำเอาจางอ้ายเหรินสะอึกไปชั่วครู่...ไม่คิดว่าเพียงแค่กลิ่นติดตัว ไท่เฟยเฒ่าก็เดาได้ทันทีว่านางกำลังทำอะไรอยู่
ดูท่านางคงประเมินความสามารถของไท่เฟยเฒ่าผู้นี้ต่ำเกินไปจริง ๆ
“หม่อมฉันก็ทำไปเรื่อยนั่นแหละเพคะ เห็นว่าช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว บ่าวไพร่ในตำหนักก็ล้วนมีแต่สตรีบอบบาง จึงได้ต้มยาเอาไว้ให้พวกนางดื่มแก้หนาวเพียงเท่านั้น”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง พระสนมทรงมีเมตตาจริง ๆ แม้แต่บ่าวไพร่ก็ยังดูแลได้ดีเช่นนี้” คำพูดที่เหมือนจะกล่าวชม ทว่าในทีลึก ๆ กลับมีการตำหนิแฝงอยู่ จางอ้ายเหรินเองก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออกว่าไท่เฟยเฒ่าผู้นี้เดินทางมาที่นี่เพื่อจับผิดนาง
“มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่หาอะไรทำแก้เบื่อเพียงเท่านั้น”
“อย่างไรก็น่าชื่นชม...” เจิ้งหนิงฮวาเอื้อมมือเหี่ยวย่นมากุมมือหลิวกุ้ยเฟยเอาไว้แน่น ริมฝีปากแดงเพราะชาดราคาแพงคลี่ยิ้มแสดงความมีมิตรไมตรี ก่อนจะเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“ช่วงนี้...ฮ่องเต้เสด็จมาร่วมบรรทมด้วยหรือไม่”
“อะ อะไรนะเพคะ” จางอ้ายเหรินชักมือกลับพร้อมทั้งทำตัวไม่ถูกที่อยู่ ๆ ก็ถูกตั้งคำถามแบบนี้ต่อหน้าเหล่านางกำนัล
สตรีอาวุโสถอนใจออกมา ใบหน้ายังคงแสดงว่าความอบอุ่นอ่อนโยนตลอดเวลา ทั้งที่ในใจกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อข่าวที่ได้รับมานั้นเป็นความจริง
“...หลิวกุ้ยเฟยยังจำลำดับขั้นตอนได้หรือไม่ หากฮองเฮายังไม่ให้กำเนิดโอรสสวรรค์ พระสนมก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หลิวกุ้ยเฟยควรระวังตัวให้มากกว่านี้ ไม่ว่าฮ่องเต้จะโปรดปรานท่านมากเพียงใด ก็อย่าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาฮองเฮาเด็ดขาด หม่อมฉันขอเตือนด้วยความหวังดี...” ประโยคหลัง ๆ น้ำเสียงคล้ายกับขู่เข็ญมากกว่าการเตือนด้วยความหวังดี จนจางอ้ายเหรินแอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย