03
#หลงเมียครั้งที่สาม
Zin rooftop bar (ซิน รูฟท็อป บาร์)
“เฮ้ยไอภาม...ทำไมออกได้วะวันนี้”
“...”
เมฆ ที่เพิ่งถึงร้านคนสุดท้ายกำลังหย่อนกายลงนั่งพร้อมกับเอ่ยถามเพื่อนของตนเองที่พักหลังมานี้ไม่ค่อยจะออกมาพบปะเพื่อนฝูง ทว่าเพื่อนตัวดีอย่างภวินทร์เอาแต่นั่งแกว่งแก้วเหล้าวนซ้ำ ๆ ราวกับกำลังดิ่งลึกลงไปในความคิดจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง
“มันเป็นอะไรของมัน” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากนายแพทย์หนุ่ม เมฆจึงหันไปถามดีนที่นั่งอยู่ถัดไป
“ไม่รู้ว่ะ...กูมาถึงแม่งก็นั่งเหม่ออยู่ละ” ดีนตอบกลับไปก่อนจะยกแก้วบรรจุน้ำสีอำพันขึ้นมาดื่มรวดเดียว
“ไอพอร์ช เพื่อนมึงเป็นไรวะ...นั่งเงียบไม่พูดไม่จา” เมฆที่ยังสงสัยเลิกจึงหันไปถามเพื่อนที่รู้ไส้รู้พุงกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นของภวินทร์อย่างพอร์ชทว่าคำตอบที่ได้กลับมาก็คือความไม่รู้อยู่ดี
“ไอภาม ไอเหี้ยภาม!” ดีนเอ่ยเรียกเพื่อนตนเองเสียงดังพร้อมกับโบกมือหยอย ๆ ไปตรงหน้าเจ้าตัว ครั้งนี้เหมือนจะได้ผลเมื่อภวินทร์หลุดออกจากภวังค์ก่อนจะผินหน้ามามองเพื่อนตนเองอย่างงง ๆ
“เสียงดังทำเหี้ยอะไร” เสียงทุ้มหลุดด่าเพื่อนตนเองออกมา
“ไม่ต้องถามกู...มึงอะเหม่อเหี้ยไรครับ”
“เออ...มีเรื่องอะไรหรือเปล่าวะ” พอร์ชพยักพเยิดไปทางดีนอย่างเห็นด้วยก่อนจะหันไปถามภวินทร์ที่อาการเหมือนมีเรื่องให้หนักใจจริง ๆ
“...” นายแพทย์หนุ่มนิ่งเงียบ หัวคิ้วย่นขึ้นเล็กน้อยดูเหมือนหมกมุ่นครุ่นคิด
พักหลังมานี้ภวินทร์แทบไม่มีเวลาออกมาสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน เนื่องด้วยจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้ต้องลากเวรยาวเป็นวัน ๆ จะมีก็แต่วันนี้ที่รู้สึกว่ามีเรื่องให้ต้องคิดมากเป็นพิเศษ หวังว่าแอลกอฮอล์คงจะช่วยเจือความคิดที่วกวนไปมาให้บางเบาลงไปได้
เขาแทบจะพลิกแผ่นดินตามหาตัวผู้หญิงคนนั้นแต่กลับคว้าน้ำเหลวอยู่ทุกครา ข้อมูลที่มีก็มีเพียงสร้อยข้อมือเส้นนี้เท่านั้น เขาร้อนรนแทบเป็นแทบตายแต่เธอกลับหายไปราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริง ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตกับสร้อยเงินเส้นนี้จนกลายเป็นชีวิตประจำไปเสียแล้ว
บางวันก็ทำงานหนักจนลืม เพราะทุกครั้งที่มีใครทักเรื่องสร้อยเส้นนี้พลันภาพในคืนนั้นแล่นวาบเข้ามา ในหัวสมองก็เอาแต่คิดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปมาจนน่าหงุดหงิด
ในระยะเวลาสามปีกว่าที่ผ่านมา ภวินทร์ได้แต่กักเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่ได้เอ่ยปากเล่าเรื่องน่าอับอายที่เขาโดนผู้หญิงฟันแล้วทิ้งนี้ให้ใครฟังทั้งนั้นแม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างพอร์ชก็เถอะ
แต่เหมือนว่าภวินทร์จะทนอยู่กับความอึดอัดนี้แทบไม่ไหวแล้วร่างสูงถอนหายใจออกมายาวพรืดจนเพื่อน ๆ มองอย่างสงสัยแต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครปริปากอะไรออกมาราวกับเฝ้ารอให้เจ้าตัวเป็นคนพูดเอง
คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันเพื่อทบทวนความทรงจำ นายแพทย์หนุ่มจมอยู่กับความคิดมากมายเพียงลำพังก่อนการรอคอยที่เนิ่นนานสิ้นสุดลงเมื่อภวินทร์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มึงจำคืนนั้นได้ไหมไอพอร์ชที่กูโดนวางยา”
พอร์ชเงียบไปอึดใจหนึ่ง แววตากรอกไปมาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีคืนหนึ่งที่ไอภามโดนวางยาปลุกเซ็กส์ มันเลยขังตัวเองเอาไว้ในห้องห้ามใครมารบกวน แต่นั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือไง
“...เมื่อสามปีที่แล้วน่ะหรือ”
“ใช่”
“เดี๋ยว ๆ คือยังไงนะ”
“เออ คืนไหนวะ”
เมฆกับดีนถามออกมาอย่างงง ๆ ใบหน้าของทั้งคู่แลมีคำถามแววตาใคร่รู้มองสลับเพื่อนทั้งสองคนล่อกแล่กไปมา พอร์ชจึงอาสาทำหน้าที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ทั้งคู่ฟัง กระนั้นเรื่องราวก็ยังคงจบที่ไอภามนอนอยู่ในห้อง...แต่แค่นอนอยู่ในห้องคนเดียวมันต้องเครียดต้องกังวลขนาดนี้เลยหรืออย่างไร
“โหย...กูก็นึกว่าอะไร”
“เออ...แม่งเสือกเครียดเหมือนไปทำใครท้อง”
กึก!
ภวินทร์ชะงักมือที่กำลังถือแก้วเหล้าทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น พอร์ชที่มองอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...หวังว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่ไอเมฆพูดขึ้นละกัน
“อย่าบอกนะว่ามึง...ชะ เชี่ย!” เมฆดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจกับเรื่องราวที่เหลือจะเชื่อ อ้าปากพะงาบ ๆ กินอากาศไปหลายอึกก่อนจะถูกเพื่อนตัวดียกมือปางห้ามญาติปรามเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว ฟังกูก่อน”
เมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนที่ดูตระหนกตกใจดูท่าแล้วน่าจะไปกันใหญ่จึงตัดสินใจเล่าเรื่องส่วนที่เหลือให้ฟังทั้งหมดรวมถึงข้อมูลของเธอคนนั้นที่มีเพียงสร้อยข้อมือเท่านั้น
“ง่าย ๆ เลยคือมึงโดนเขาฟันแล้วทิ้ง” พอร์ชถามออกมา
“อื้ม”
เรื่องราวที่ฟังจากปากของภวินทร์ทำเอาเพื่อน ๆ นิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน ในกลุ่มก็มีแค่มันเท่านั้นที่รักนวลสงวนตัว ยิ่งและเอาใจยากจนสาว ๆ ท้อกันไปข้างแต่กลับพลาดท่าเผลอไปวันไนท์กับผู้หญิงคนหนึ่งโดยที่ไม่ได้ป้องกัน ฉิบหาย...งานงอกแล้วไหมล่ะมึง!
“แต่ก็หายไปเลยนะเว้ย...แปลก ๆ มึงไม่มีข้อมูลอื่นเลยหรือไง”
“มีแค่สร้อยเส้นนี้นี่แหละ” ภวินทร์ไม่ว่าเปล่าชูข้อมือข้างขวาขึ้นมา ความวาววับของมันสะท้อนกับแสงไฟสลัวภายในร้านทว่าก็ยังเห็นไม่ชัดเจนอยู่ดี
พอร์ชมองสร้อยเงินเส้นนั้นด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ เขามองจี้ตัวอักษรไม่ชัดทว่ารูปทรงของมันกลับดูคุ้นราวกับเคยเห็นมาก่อน
...คงจะบังเอิญน่ะ สร้อยเส้นนี้มีเป็นล้านเส้น ใครจะซื้อใครจะใส่ก็ไม่เห็นจะแปลก
ทว่าก่อนความสงสัยจะเพิ่มมากขึ้น เสียงทุ้มของเมฆที่เอ่ยออกมาอย่างทีเล่นทีจริงหยุดชะงักความคิดเอาไว้เสียก่อน พอร์ชจึงละสายตาก่อนจะผินหน้าไปมองนั่งเป็นผู้ฟังที่ดีตามเดิม
“เจอกันอีกทีไม่ใช่ว่าลูกโตแล้วนะเว้ย”
สิ้นเสียงของดีนพอร์ชจึงหันมามองเพื่อนตนเองอีกครั้ง ดวงตาคู่ดุคู่นั้นฉายแวววูบไหวมันเป็นแววตาวกวนสับสนอย่างคนหาทางออกไม่ได้
“...กูเลยตามหามาตลอดสามปีนี่ไง”
เมื่อได้ระบายเรื่องราวที่อึดอัดภายในใจออกไปดูเหมือนว่าอารมณ์ที่ขุ่นมัวมาทั้งวันจะดีขึ้น แอลกอฮอล์ที่พร่องไปแค่ครึ่งแก้วแทบจะไม่มีผลต่อสติสัมปชัญญะเลยแม้แต่น้อย ภวินทร์นั่งปรับทุกข์กับกลุ่มเพื่อนต่ออีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับไปเตรียมตัวเพื่อขึ้นเวรดึกที่โรงพยาบาล
นายแพทย์หนุ่มในชุดห้องผ่าตัด เสื้อและกางเกงเป็นเนื้อผ้าโทเรสีกรมท่า คลุมทับด้วยเสื้อกาวน์ตัวยาวสีขาวมีชื่อและตำแหน่งปักระบุเอาไว้ตรงอกด้านซ้ายเดินราวน์เคสตามวอร์ดต่าง ๆ ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องพักแพทย์
หย่อนกายลงนั่งไม่ถึงสิบนาทีอยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของโรงพยาบาลในห้องพักแพทย์ก็ดังขึ้น ภวินทร์เอื้อมมือไปรับสายก่อนจะกรอกเสียงราบเรียบของตนเองลงไป
“ครับ”
“โทรฯ จากอีอาร์ (Emergency room : ห้องฉุกเฉิน) นะคะ พอดีมีเคสเด็กวัยสองขวบกว่าลื่นตกจากสไลเดอร์ ลำตัวและข้อมือด้านขวากระแทกพื้น แรกรับรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง FRS pain* สี่คะแนน บริเวณข้อมือขวาบวมค่ะ น้ำหนักตัวสิบสามจุดสองกิโลกรัมค่ะ”
“มีแพ้ยาอะไรไหม”
“ปฏิเสธแพ้ยาและแพ้อาหารค่ะ”
“ส่งซีที สแกน**ด่วน บูเฟ่น*** สามซี.ซี สแตท****...เดี๋ยวผมลงไป”
หมายเหตุ :
* : FRS pain หรือ Facial rating scale ประเมินความเจ็บปวดในเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถบอกตัวเลขได้
** : CT scan เป็นการตรวจหาความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายด้วยการฉายรังสีเอ็กซ์แล้วใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผล
*** : แพทย์สั่งจ่ายยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็นยากลุ่ม NSAIDs มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดไข้ และลดอาการปวด
**** : สั่งจ่ายยาในปริมาณสามมิลลิลิตร (Milliliter/ml.) หรือสามลูกบาศก์เซนติเมตร (Cubic Centimeter/cc.) 1 cc = 1 ml ซึ่งปริมาณการสั่งใช้ยาในเด็กต้องคำนวณจากน้ำหนักตัวเป็นหลัก สแตท (Stat) ตามคำสั่งแพทย์คือให้ทำ ณ เวลานั้นเลย
ขาเรียวสูงของนายแพทย์หนุ่มสาวเท้าเดินมายังห้องอีอาร์ในเวลาไม่ถึงสิบนาที พยาบาลเจ้าของเคสคว้าชาร์ตคนไข้ไว้ในมือแล้วรีบวิ่งปรี่เข้าไปหาก่อนจะเดินนำภวินทร์ไปที่เตียงผู้ป่วยทันที
“ฮึก หม่ามี๊...กะ กลัว อึก ครามกลัว ฮือ” เสียงเด็กผู้ชายร้องไห้สะอึกสะอื้นลั่นไปทั่วห้องฉุกเฉิน
ภาพเด็กผู้ชายวัยประมาณสองไปสามขวบร้องห่มร้องไห้จนหน้าแดงก่ำ นอนราบเอามือประสานกันไว้ที่หน้าอกรองด้วยแผ่นเจลประคบเย็นลดอาการบวมเอาไว้ ผู้หญิงคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้ปกครองของเจ้าตัวโน้มตัวลงไปกอดเด็กชายเอาไว้ในอ้อมอก
ภวินทร์เห็นเพียงแค่ผมยาวดูดีสีน้ำตาลเข้มเท่านั้น ไหล่บางกลมมนสั่นสะท้านเล็กน้อย การเกิดอุบัติเหตุไม่มีการบอกหรือเตือนเอาไว้ล่วงหน้า ดูท่าแล้วน่าจะใจเสียไม่น้อยเมื่อเห็นน้ำตาของลูกชาย
นายแพทย์หนุ่มยืนรอให้พยาบาลทำให้หัตถการที่เขาออเดอร์เอาไว้ทางโทรศัพท์จนเสร็จก่อนจะเดินเข้าไปแทนที่ ดวงตาคู่ดุกวาดตามองใบหน้าละมุนที่ขอบตาและจมูกรั้นแดงก่ำจากการร้องไห้ มือเล็กคอยลูบศีรษะปลอบประโลมลูกชายที่ยังคงสะอื้นไห้ไม่ห่าง
“ผมขอซักประวัติหน่อยนะครับ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้างระคนตกใจ รู้สึกเหมือนลมหายใจจะสะดุดไปชั่วครู่เมื่อสบตากับเขา ร่างสูงของนายแพทย์หนุ่มชะงักไปไม่ต่างจากคนหน้าหวานตรงหน้า
...ทำไมรู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก
“หม่ามี๊ฮะ อึก ฮือ”
เด็กน้อยร้องเรียกผู้เป็นแม่ หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะละสายตาไปยังลูกชาย ทว่ายังคงรับรู้ได้ว่านัยน์ตาสีดำคู่คมนั่นยังคงจ้องมองกันตลอดเวลาแทบไม่ละสายตาไปไหน
“คะ ครับลูก”
“ผมขอถามเพิ่มเติม...”
ภวินทร์ใช้เวลาสอบถามข้อมูลจากผู้ปกครองหน้าหวานพร้อมกับตรวจร่างกายสักพักก่อนจะก้มลงไปเขียนออเดอร์แพทย์ลงในชาร์ตคนไข้ ในเวลานี้พยาบาลเจ้าของเคสวิ่งไปรับเคสอื่นเป็นที่เรียบร้อย ทิ้งให้หนึ่งหมออยู่กับเด็กน้อยและผู้เป็นแม่เพียงลำพัง
บรรยากาศที่เงียบงันไร้ซึ่งการสนทนาใด ๆ ที่นอกเหนือจากการซักประวัติดูกระอักกระอ่วนไม่น้อย ภวินทร์ปรายตามองคนตรงหน้าที่เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็เม้มปาก ดูลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ ยามเมื่อเจ้าตัวลอบมองข้อมือข้างขวาของเขาเป็นระยะ
“กระดูกข้อมือด้านขวาหัก ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แต่อาจต้องใส่เฝือกดามเอาไว้แล้วนัดติดตามอาการเป็นระยะ”
“อึก...ค่ะ”
ภวินทร์มองคนตรงหน้าที่สะดุ้งออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างมีพิรุธ แถมเจ้าตัวยังเลือกเบนหน้าหนีเลี่ยงการสบสายตากับเขา...หรือว่าเขาทำอะไรผิดหรือเปล่า
...หรือเราเคยรู้จักหรือพบเจอกันมาก่อนไหมนะ
“จำเป็นต้องนอนดูอาการสักประมาณสองวัน...เดี๋ยวผมจะส่งน้องขึ้นไปที่หอผู้ป่วยเด็กนะครับ”
“คะ ค่ะ”
เมื่อตรวจเสร็จนายแพทย์หนุ่มเดินตรงมาหย่อนกายนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ที่เคาเตอร์พยาบาล ดวงตาฉายแววครุ่นคิดไม่เลิก ทว่าจังหวะที่กำลังจะจมกับความคิดตนเองก็บังเอิญได้ยินพยาบาลคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
“...ดูไปดูมาหน้าคล้ายหมอภามเลยนะแก”
ทว่าอยู่ ๆ ก็รู้สึกใจกระตุกเต้นผิดจังหวะไปเสี้ยววินาทีหนึ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น ภวินทร์ชำเลืองมองไปที่หญิงสาวร่างบางคนนั้นขณะใคร่ครวญ ในสมองกำลังประมวลผลความเป็นไปได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างระมัดระวังแต่ดันสมองตันคิดอะไรไม่ออกเสียอย่างนั้น
หึ...หน้าเหมือนเขางั้นหรือ ตลกน่า
นายแพทย์หนุ่มละสายตาออกมา ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวเดินกลับไปยังห้องพักแพทย์ทว่าไม่วายก้มลงไปอ่านชื่อของทั้งคู่อีกรอบ
‘เด็กชายนคินทร์ พุฒิสิริโยธิน (น้องคราม)’
‘นางสาวพริบพันดาว พุฒิสิริโยธิน (มารดา)’