บทนำ
เวลา 23.16 น.
Zin rooftop bar (ซิน รูฟท็อป บาร์)
ซิน รูฟท็อป บาร์เป็นบาร์น้องใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมจากเหล่าผีเสื้อราตรีทั่วทุกสารทิศ อาจเป็นเพราะดนตรีที่หลากหลายไม่จำเจรวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่คัดมาทุกเกรดตั้งแต่ยาดองจนถึงเตกีล่าล่ะก็ใช่
แต่ทว่าเหตุผลหลักที่ทำให้โต๊ะเต็มทุกวันเพราะลูกค้าภายในบาร์แห่งนี้ล้วนสวยหล่อดูดีราวกับคัดเกรดหน้าตาเข้ามาในร้านต่างหาก ไม่แปลกที่ใคร ๆ ต่างก็อยากออกล่าหาเหยื่อเนื้อหวาน ๆ มาลิ้มลอง
ยิ่งเวลาใกล้จะเข้าวันใหม่เท่าไหร่ บรรยากาศภายในร้านกลับยิ่งครึกครื้นมากเท่านั้น นักเต้นเท้าไฟกลางฟลอร์ยืนเบียดเสียดกันแน่น แต่กระนั้นก็วาดลวดลายโชว์ของกันไม่เว้นช่วง
แสงไฟมืดสลัวแซมด้วยสปอร์ตไลท์ตามมุมร้านที่สาดส่องและกระพริบตามจังหวะเบส เสียงเพลงฮิตติดกระแสเรียกให้ฝูงชนโยกศีรษะและร่างกายตามจังหวะได้ไม่ยาก ขวดเบียร์และขวดเหล้าแสงนำทางวางตั้งไม่ต่ำกว่าสี่ขวดเกือบทุกโต๊ะ
ชั้นสองของบาร์เป็นโซนวีไอพีถูกกั้นด้วยเชือกกำมะหยี่สีแดงเลือดนก การ์ดรูปร่างสูงใหญ่สองคนยืนปักหลักทำหน้าทำตาขมึงเป็นยักษ์วัดแจ้งคุมเข้มคนที่จะผ่านทางเข้าออก
โต๊ะกระจกด้านในโซนวีไอพีที่ใกล้กันกับเวทีมากที่สุดถูกจับจองโดยกลุ่มคุณหมอทั้งหล่อทั้งสวยจากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำแห่งหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้ไปเบียดเสียดกับผู้คนกลางฟลอร์ทว่าบรรยากาศก็ครื้นเครงไม่ต่างกัน
“เฮ้ย!...ชนกันหน่อยเว้ย” เสียงของชายรูปร่างท้วมเอ่ยขึ้นเสียงดังไม่แพ้เสียงดนตรีอีดีเอ็มจากดีเจสาวสวย
เจ้าตัวลุกขึ้นกลางวงพร้อมกับชูแก้วใสในมือที่บรรจุเครื่องดื่มสีอำพันจนเต็มแก้ว ช่างดูขัดกับแว่นสายตาหนาเตอะกรอบสีดำที่ประดับอยู่บนใบหน้า
เคร้ง!
“ชนเว้ย!” หนุ่มสาวรอบวงต่างก็ยกแก้วขึ้นมาชนก่อนจะยกดื่มกระดกกรอกน้ำสีอำพันเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตายจนหมดแก้ว
แต่ก็เข้าใจได้ว่าการได้ปลดปล่อยตนเองหลังจากจบงานสัมมนาเคสผู้ป่วยประจำปีที่ค่อนข้างตึงเครียดและซับซ้อนจนต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเกือบสิบท่านซ้ำยังกินเวลาลากยาวมาไม่ต่ำกว่าห้าเดือนเป็นอย่างไร
“อึก!”
“เอ้อหมอภาม...ร้านนี้บรรยากาศดีจริงอย่างที่คุณว่าเอาไว้เลย” นายแพทย์หนุ่มรูปร่างผอมบางที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีกรมฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ กระนั้นสายตาแพรวพราวก็คอยสอดส่องไปรอบ ๆ เป็นระยะ
“ร้านของเพื่อนผมน่ะครับ” เจ้าของชื่อตอบกลับไปด้วยใบหน้าเรียบนิ่งตามปกติของเจ้าตัว มือหนาเทเหล้าลงในแก้วก่อนจะยกดื่มอีกครั้ง
ท่าทีกระดกแก้วไม่พักของหมอภามทำเอาเพื่อนร่วมงานสาวสวยที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงติดดุเล็กน้อย
“ภาม...ยั้งมือหน่อย เดี๋ยวก็เมาหรอก” มารินหรือแพทย์หญิงมาลาริน แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อเหมือนหมอภาม สถานะของเธอคือเพื่อนร่วมงานก็จริง
แต่คนที่แอบรักแอบชอบอีกฝ่ายมาเป็นปี ๆ ได้แต่รอเพียงค่ำคืนนี้เท่านั้น...ที่เธอและหมอภามจะได้เลื่อนสถานะกันซักที
ภามหรือนายแพทย์ภวินทร์ อายุยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปดปี หมอกระดูกมือหนึ่งของโรงพยาบาลที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ลือกันว่า ‘ดุ’ ไม่น้อย แต่ทว่าใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งไร้รอยยิ้มนั่นมักจะดึงดูดให้ผู้พบเห็น ‘หลงใหล’ ได้ไม่ยาก
“อย่าห่วงเลยครับคุณริน หมอภามแทบจะกินเหล้าเป็นน้ำเปล่าอยู่แล้ว...แค่แก้วสองแก้วทำอะไรไม่ได้หรอกครับ”
“หึ...ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ภวินทร์ไม่ได้ปฏิเสธ ใบหน้าหล่อคมจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะปลีกตัวมายังห้องน้ำ
“แหม...มองตามใหญ่เลยนะคะ หมอภามไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ”
เมื่อเห็นมาลารินมองตามภวินทร์ไม่วางตา คุณหมอเฉพาะทางด้านประสาทก็เอิ้นหยอกแซวเพื่อนร่วมงานจนหน้าขึ้นสีระเรื่อ มารินยิ้มออกมาอย่างเขินอายที่โดนเพื่อนร่วมงานรอบวงแซวเรื่องหมอภาม
ใช่...ทุกคนรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับหมอภาม มีเพียงเจ้าตัวนั่นแหละที่ไม่เคยรับรู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็ไม่อาจรู้ได้
ครั้นเมื่อคนอื่น ๆ เลิกให้ความสนใจเรื่องของเธอและหมอภามก็หันไปจับเข่าคุยกันเรื่องอื่นต่อ มารินอาศัยจังหวะที่สปอร์ตไลท์สาดไปทางอื่น หยิบซองยาบางอย่างออกมาก่อนจะรีบเทลงไปในแก้วเหล้าของภวินทร์จนหมด
ความรู้สึกผิดและความกลัวแล่นปราดเข้ามาในจิตใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะพัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกอยากได้ของเธอสูงลิ่วลอยแตะเพดานจนกลบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปหมด
มารินสอดส่องสายตาไปทางซ้ายทีขวาที ใจเต้นถี่รัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกราวกับต้องการสงบสติอารมณ์ของตนเองเมื่อเห็นคนที่ตนเองหมายปองกำลังเดินกลับมา
ร่างสูงหย่อนกายลงนั่งที่เดิม ก่อนจะคว้าแก้วเหล้าของตนเองขึ้นมาดื่มตามปกติ ภวินทร์รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองมาที่ตนเองก่อนจะหันขวับไปมองมาลารินที่ดูลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ
มาลารินสะดุ้งจนตัวโยนก่อนจะยิ้มแหย ๆ ส่งกลับไป มือขาวคว้าแก้วของตนเองขึ้นมาอย่างลนลานก่อนจะกระดกจนหมดแก้ว
ภวินทร์เป็นผู้ฟังที่ดีนั่งฟังเพื่อนหมอคุยกันอย่างออกรสเพราะกำลังกรึ่มได้ที่เรื่อย ๆ ก่อนจะรู้สึกร้อนวูบวาบช่วงท้องน้อยแปลก ๆ ทว่าในเวลาไม่ถึงสิบนาทีความรู้สึกนั้นกลับเคลื่อนตัวไปยังแก่นกายแทนจนรู้สึกปวดหนึบไปหมด
ความรู้สึกอยากปลดปล่อยแล่นเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ภวินทร์ข่มความต้องการที่กำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะทนไม่ไหวยันกายขึ้นอย่างรวดเร็ว เอ่ยลาเพื่อนร่วมงานก่อนจะดินปรี่ไปยังชั้นสามทันที
ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ งงงวยกับท่าทีที่แปลกไปของภวินทร์ มีเพียงมาลารินเท่านั้นที่รู้ดีกว่าใครว่าภวินทร์เป็นอะไร
“เดี๋ยวรินตามไปดูภามก่อนนะคะ” มาลารินแสร้งทำท่าทีเป็นห่วงออกมาก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินตามภวินทร์ไปทันที
เมื่อเดินขึ้นชั้นสามมาก็เจอเข้ากับร่างสูงที่กำลังร้อนรนหาคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้อง มาลารินสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยให้ความช่วยเหลือ
“ภาม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า...ให้รินช่วยอะไรไหม”
“ไม่ อึก ไม่เป็นไร”
เมื่อหาคีย์การ์ดเจอก็รีบแตะลงไปจนได้ยินเสียงเซ็นเซอร์ ทว่ายังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปก็มีเสียงทุ้มหนึ่งขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เฮ้ยไอภาม...ได้สาวแล้วรีบเลยนะมึง” ร่างสูงของคนแปลกหน้าสาวเท้าเดินเข้ามาอีกฝั่งของภวินทร์
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู ภามก็เงยหน้าขึ้นมา พอร์ช เพื่อนสนิทตนเองที่ยืนอยู่ตรงหน้า ครั้นเมื่อคนมาใหม่เห็นสภาพที่ไม่สู้ดีของเพื่อนตนเอง คิ้วหนาก็ขมวดขึงเข้าหากันทันที
“นี่มึง...”
“กูว่า อึก กูโดนวางยา”
“เหี้ยแล้วไง...ให้กูเรียกเด็กให้ไหม”
พอร์ชมองเพื่อนตนเองที่ยืนตัวงอ เม็ดเหงื่อผุดตามกรอบใบหน้า ใครมันกล้าใช้ยาอันตรายแบบนี้ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้...ว่าไอภามมันมากับใคร
มาลารินที่เงียบรอสถานการณ์อยู่นานชะงักกึกไปในทันทีเมื่อคนแปลกหน้าตวัดสายตาดุ ๆ มามองกัน สายตาของอีกคนที่จ้องมองมาทำเอามาลารินรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
ภวินทร์ที่ร้อนรุ่มเต็มไปด้วยอารมณ์ใคร่ก็รอไม่ไหวเปิดประตูห้องเข้าไปแล้วตรงไปยังห้องน้ำทันที มารินละสายตาจากคนตรงหน้าก่อนจะเดินตามเข้าไป ทว่าถูกชายร่างหนาคนเดิมเข้ามาขวางเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวผมดูแลไอภามเอง...คุณกลับไปเถอะ” พอร์ชพิงกรอบประตูเอาไว้ก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอกด้วยท่าทีสบาย ๆ
มารินเล่นสงครามประสาทกับชายตรงหน้า ก่อนจะทนมองดวงตาดุ ๆ นั่นไม่ไหวดึงสายตาตนเองกลับมาดังเดิม
“...ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบมาลารินก็สาวเท้าเดินกลับไปทางเดิม ได้แต่นึกหงุดหงิดในใจเมื่อแผนที่วางไว้ล่มไม่เป็นท่า
พอร์ชมองตามหญิงสาวร่างบางที่ดูมีพิรุธเป็นพิเศษ เขาจะหมายหัวเธอไว้ก่อนละกัน ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานมัดตัว แต่เขาก็มั่นใจว่าแววตาขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายทิ้งไว้มันต้องเกี่ยวข้องกับไอภามที่โดนวางยาแน่นอน
ทางด้านอีกฝั่งแก๊งเพื่อนสาวที่นัดกันมาดื่มในรอบห้าปีที่ไม่ได้พบปะกันมานานหลังจากเรียนจบที่มหาวิทยาลัยฯ กำลังสนทนากันอย่างออกรสและคงจะสนุกมากขึ้นเพราะใบหน้าแต่ละคนเริ่มขึ้นสีแดงจาง ๆ ด้วยฤทธิ์ของน้ำเมา
พันดาวหรือพริบพันดาว สาวอินโทรเวิร์ตที่หมกตัวอยู่แต่ในบ้านแทบจะไม่ออกไปไหน ใจจริงอยากนอนอยู่บ้านมากกว่าแต่เพราะทนคำรบเร้าและคำตัดพ้อของเพื่อนไม่ไหวจึงจำต้องยอมมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เมื่อไหร่ อึก กะ แกจะแต่งงานวะไอดาว”
“ใช่...จะยี่สิบหกแล้วนะโว้ย!”
“แกคงไม่ได้คิดจะเกาะคานไปยาว ๆ ใช่ไหม...หื้อ ไอดาว”
พันดาวใช้ตาปรือปรอยจ้องมองไปที่เพื่อนสามคนที่รุมกันซักไซร้ราวกับกำลังสัมภาษณ์งานก็ไม่ปาน
ใช่...ในช่วงอายุเดียวกันเพื่อนในกลุ่มที่มีอันน้อยนิดของเธอทยอยกันแต่งงานและมีลูกกันหมดแล้ว เว้นเสียแต่ว่าตัวเธอเองนี่แหละที่กินลมชมวิวอยู่บนคานไม่ยอมลงมาซักที
“ก็ อึก ก็ฉันไม่อยากมีนี่...อยู่คนเดียวก็มาได้แย่ซะหน่อย” พันดาวบ่นอุบอิบ ยู่ปากออกมาน้อย ๆ ก่อนจะแสร้งมองไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อหลบหลีกจากสายตาแหลมคมของเพื่อน
หลังจากนั้นพันดาวก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยแถมยังชวนเพื่อนยกแก้วไม่หยุด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หมดสภาพเมามายกันทั้งกลุ่ม เพื่อนสองคนมีสามีมารับถึงที่ ส่วนเพื่อนอีกคนที่ตั้งใจหารห้องนอนด้วยกันดันทิ้งเธอเอาไว้ให้นอนที่บาร์คนเดียว
“แกฉันขอโทษนะ เดี๋ยวฉันพาแกไปส่งที่ห้อง...มาเถอะ”
“ไม่เป็นไร อึก ฉันไหว...แกไปเถอะ เดี๋ยวแฟนรอนานนะ”
“อืม...เอางั้นเหรอ”
เมื่อเห็นเพื่อนยืนลังเลพร้อมกับสีหน้ารู้สึกผิด พันดาวก็โกรธไม่ลง ร่างบางส่งยิ้มให้เพื่อนก่อนจะย้ำกับเจ้าตัวเป็นรอบที่ร้อยว่าเธอดูแลตนเองได้แน่นอน พูดจบก็ดันหลังเพื่อนออกไปพร้อมกับก็โบกมือลา
คนตัวเล็กเดินโซซัดโซเซเกาะราวบันไดขึ้นมาทีละขั้นอย่างช้า ๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือบันไดแยกร่างเป็นสี่ชั้นก่อนจะวนไปมาจนศีรษะหนักอึ้งมากกว่าเดิม
พันดาวเดินเกาะประตูไปทีละห้อง ดวงตาหวานหยาดเยิ้มพยายามเพ่งมองตัวเลขหน้าห้อง ทว่าไฟที่สลัวกลับไม่เป็นใจเอาซะเลย...ห้องที่เธอจองเอาไว้อยู่ไหนกันนะ ตาแทบจะปิดอยู่ร่อมร่อ สติพร้อมจะดับวูบตลอดเวลา
ร่างเล็กเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง มือเล็กพยายามควานหาคีย์การ์ดแต่ทว่าล้วงไปที่ช่องไหนก็เจอแต่ความว่างเปล่า ได้แต่ก่นด่าในความสะเพร่าของตนเองในใจ
ดวงตาคู่สวยหรี่ลง พันดาวยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองเมื่อความรู้สึกพะอืดพะอมตีขึ้นจุกอยู่ที่คอ ร่างบางลนลานหันรีหันขวางหาที่สำหรับอาเจียน ก่อนสายตาจะสะดุดกับบานประตูของห้องตรงข้ามที่เปิดแง้มเอาไว้อยู่
ไม่ต้องคิดพิจารณา พันดาวก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปในห้องนั้นทันที ภายในห้องมีเพียงไฟสีส้มสลัว ร่างบางวิ่งผ่านเตียงนอนหลังใหญ่ตรงไปยังห้องน้ำทันทีโดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังนอนเหงื่อตกอยู่
เมื่อได้อาเจียนเอาแอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระเพาะออกไป แต่ทว่าอาการมึนเมายังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย พันดาวพาร่างกายที่อ่อนเปลี้ยของตนเองออกมาก่อนจะพุ่งตรงไปทิ้งตัวลงที่กลางเตียงทันที
“อะ!”
“ฮึ่ม!”
เสียงของพันดาวร้องอย่างตกใจเมื่อสัมผัสที่ได้ควรจะเป็นเตียงนุ่มแต่กลับเป็นร่างแข็ง ๆ ตัวใหญ่ ๆ ของอะไรก็ไม่รู้ทำเอาจุกไม่น้อย เมื่อตั้งสติได้ก็รีบตะเกียกตะกายพาร่างของตนเองออกมา แต่ทว่าแรงและสติที่มีอันน้อยนิดทำให้ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในทันที
“อึก...อ่า”
!!!
เสียงทุ้มที่ครางอย่างผะแผ่ว ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ข้างใบหูทำเอาพันดาวชะงักกึก ก่อนจะสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อถูกวงแขนหนาตวัดโอบรอบเอวบางของตนเองเอาไว้แน่น
“อื้อ! อึก ดะเดี๋ยว”