กรวิชญ์มองตัวเลขบอกความเร็วของจากัวร์คันงามที่ภีมวัจน์เป็นผู้ขับ ซึ่งลดระดับความเร็วลงอย่างแปลกใจ ผิดกับก่อนหน้าที่แล่นทะยานบนท้องถนนจนเกือบเกิดอุบัติเหตุ ดีที่ว่าเจ้าตัวเบรกได้ทัน เท่านั้นยังไม่พอเสียงถอนหายใจเฮือกๆ ราวกับมีเรื่องกลัดกลุ้มอะไรอยู่ในใจยิ่งเพิ่มความประหลาดใจแก่เขามากขึ้น
เพราะนับจากผู้เป็นเพื่อนลงไปดูอาการของผู้หญิงที่ตัวเองขับรถเฉี่ยว กระทั่งกลับขึ้นมาก็ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียว ซ้ำยังมีสีหน้าท่าทางแตกต่างจากเมื่อตอนลงไปจนเขารู้สึกได้
“ไหนแกบอกว่าจะรีบไปงานไม่ใช่หรือวะ”
“ก็...รีบอยู่” ปากบอกว่ารีบแต่กลับขับช้าไม่สมกับสมรรถนะของรถ
“รีบประสาอะไรวะ ขับอย่างกับเต่าคลาน” กรวิชญ์ว่าเข้าให้ “ผู้หญิงที่ถูกรถแกเฉี่ยวไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรือวะ”
“ฉันก็บอกแกไปแล้วไม่ใช่หรือวะว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นอะไร แกความจำเสื่อมหรือไง”
คนถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดราวกับคำถามดังกล่าวจี้ถูกจุด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของคำถามรู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด ดวงหน้าขาวคมคายปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากด้วยความขบขัน เพราะไม่บ่อยนักที่คนควบคุมสีหน้าและสภาวะอารมณ์ได้ดีในทุกสถานการณ์อย่างภีมวัจน์จะแสดงอาการเช่นนี้ออกมา ทำให้กรวิชญ์สงสัยหนักยิ่งขึ้นว่าอะไรกันที่เป็นสาเหตุ
“ก็ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วแกจะหงุดหงิดทำไมนักหนาวะ”
คำถามของเพื่อนสนิททำให้ภีมวัจน์เงียบไปชั่วอึดใจ นั่นสิ...นี่เขากำลังหงุดหงิดด้วยเรื่องอะไร
ทว่าเมื่อพยายามค้นหาสาเหตุ ดวงหน้าสะสวยแปลกตาของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นมาในมโนภาพทันควันราวกับนั่นคือคำตอบ
“แกจะไม่ให้ฉันหงุดหงิดได้ไงวะ ผู้หญิงคนนั้นมองฉันอย่างกับเห็นผี เป็นแก แกจะคิดยังไง”
คนหงุดหงิดพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะตอนลงจากรถลงไปหา เธอยังนั่งทำท่าทางงงๆ อยู่เลย แต่พอเงยหน้ามาเห็นเขาเท่านั้นกลับลุกพรวดขึ้นยืน เบิกตามองมาอย่างกับเห็นผี ไม่ได้มองอย่างชื่นชมอย่างที่เขามักจะได้รับจากผู้หญิงคนอื่นอยู่เสมอ
ภีมวัจน์ อรรถเศรษฐ์สุนทร ถูกผู้หญิงมองด้วยสายตาแบบนี้ เสียความมั่นใจชะมัด!
กรวิชญ์ฟังคำตอบของเพื่อนแล้วหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เพราะไม่บ่อยนักที่เพื่อนของเขาจะทำท่าเหมือนสูญเสียความมั่นใจเช่นนี้
“อ้อ ปกติเคยถูกผู้หญิงมองด้วยความชื่นชมตลอด แต่ผู้หญิงคนนี้กลับมองแกเหมือนเห็นผีเลยหงุดหงิด งุ่นง่าน เสียความมั่นใจ ว่างั้นเถอะ”
คำพูดที่เดาได้ตรงเผงราวกับเข้ามานั่งอยู่กลางใจ ทำให้คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดนิ่งอึ้ง เท่ากับเป็นการยอมรับโดยดุษณี
“ผู้หญิงคนที่แกว่ามองแกเหมือนเห็นผีน่ะ ขนาดฉันมองเห็นแวบเดียวยังรู้เลยว่าสวย แต่สวยยังไงบอกไม่ถูกจริงๆ ว่ะ” กรวิชญ์เพ้อรำพันด้วยน้ำเสียงชวนฝันก่อนจะหันไปจ้องหน้าเพื่อนเขม็ง “แกเห็นด้วยกับฉันหรือเปล่าวะ”
เอี๊ยดดด!
เสียงเบรกที่ได้รับแทนคำตอบทำเอาเจ้าของคำถามถึงกับหน้าคะมำ จนต้องหันไปด่าเสียงดังลั่นรถ
“ไอ้ภาม แกขับให้มันดีๆ หน่อยสิวะ นึกจะเบรกก็เบรก ดีนะที่ฉันคาดเข็มขัด ไม่งั้นหัวหูแตกหมด”
“โทษทีว่ะเพื่อนไม่ได้ตั้งใจ” คนขี้แกล้งบอกเสียงนิ่งๆ ทว่านัยน์ตาดำราวกับนิลเนื้อดีไหวระริก จึงถูกผู้เป็นเพื่อนส่งค้อนให้ ก่อนจะถามคำถามเดิมด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
“แกยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ”
“คำถาม? เรื่องอะไรมิทราบ”
ภีมวัจน์ทำไขสือทั้งๆ ที่รู้ดีว่าหมายถึงอะไร อยากตะบันหน้าเจ้าของคำถามนัก ไม่รู้จะคาดคั้นเอาคำตอบเพื่ออะไร
“ไม่ต้องมาทำเป็นไขสือเลย ฉันถามว่าแกเห็นด้วยกับฉันหรือเปล่าที่ว่าผู้หญิงคนที่ถูกแกขับรถเฉี่ยวน่ะสวยแล้วก็สวยมากเสียด้วย”
“ฉันไม่ทันมอง แกก็เห็นนี่หว่าว่าฉันรีบลงไปแล้วก็รีบขึ้นมา” ภีมวัจน์ปฏิเสธทั้งที่ไม่ตรงกับใจเลยสักนิด จึงถูกผู้เป็นเพื่อนย้อนทันควัน
“หน็อย...ไม่ทันมอง แกลืมไปหรือเปล่าว่าฉันเป็นเพื่อนกับแกมาตั้งแต่ตัวเท่ากำปั้น แล้วคนที่ชอบเก็บรายละเอียดทุกอย่างรอบตัวอย่างแกน่ะหรือจะพลาด”
คู่สนทนาเงียบกริบ กรวิชญ์จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ “แล้วถ้าแกไม่มองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นมองแกอย่างกับเห็นผี”
คนถูกจับได้นิ่งงันเพราะจำนนด้วยคำพูด รู้อยู่แก่ใจว่าที่เพื่อนพูดน่ะถูกต้องทุกอย่าง ทำไมเขาจะไม่เห็นเล่า เห็นอย่างชัดเจนจากดวงตาทั้งสองข้างว่าผู้หญิงคนที่เพื่อนพูดถึงน่ะ...สวย
สวย...อย่างประหลาด สวยจนติดอยู่ในตาตรึงอยู่ในใจ จนกระทั่งบัดนี้ภาพของเธอยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่คลาย
เขาต้องยอมรับกับตัวเองว่าเธอสวยจนต้องมองซ้ำ แม้จะใช้เวลาในการมองแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็ตามที แต่สมองของเขาก็เก็บและจดจำรายละเอียดของเธอไว้ได้อย่างแม่นยำ เรียกว่าถ้ามีอุปกรณ์สำหรับวาดภาพอยู่ในมือ ก็สามารถวาดดวงหน้างดงามแปลกตานั่นออกมาได้เลยทีเดียว
โดยเฉพาะดวงตาโตๆ ของเจ้าหล่อนภายใต้ขนงอน ที่มองมายังเขาราวกับเห็นผีนั่นเขาจำได้จนติดตา และนั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการหงุดหงิดดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขามาก่อน