บทนำ EP.1
บทนำ -1
“เฮ้อ...จบซะที ถ้าฉันไม่ช่วยเธอนะการะเกด ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างหนอ ให้ตายสิ...อยากเจอผู้ชายแบบท่านชายก้องจริงๆ เลย แต่ผู้ชายแสนดีแบบนั้นคงมีแต่ในหนังสือ”
คนอ่านหนังสือเพิ่งจบและเรื่องราวในเล่มยังคงค้างในความรู้สึกบ่นงึมงำ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วปิดหนังสือในมือลง รสิกาคิดว่าคงมีใครอีกหลายคนที่เป็นเช่นเธอ เวลาอ่านนิยายแล้วเกิดอาการขัดอกขัดใจตัวพระนางที่ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
นางเอกที่ไม่ว่าใครจะพูดอะไรให้ฟังก็เชื่อหมดยกเว้นพระเอก หรือตัวพระเอกที่หูเบาไม่ต่างกัน
เจ้าของดวงหน้าสวยประหลาดก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็ตกใจไม่น้อย นี่เธอติดอยู่ในรถและจมอยู่กับนิยายในมือร่วมสามชั่วโมงเชียวหรือนี่!
หญิงสาวเพิ่งรับรู้ถึงอาการเมื่อยขบก็เมื่อตอนอ่านหนังสือจบนี่เอง เพราะขณะอ่านแทบไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆ รอบตัวเลยแม้แต่น้อย ในใจจดจ่อและดื่มด่ำกับเรื่องราวที่พาตัวเองเข้าไปโลดแล่นเป็นนางเอกในหนังสือ ทำให้เรื่องราวในหนังสือมีสีสันและชีวิตชีวา ไม่จืดชืดอย่างที่เป็นอยู่
หลังจากขยับเขยื้อนกายไล่ความเมื่อยขบออกไปจากตัว ดวงตาคู่สวยก็ค่อยๆ เหลียวมองไปรอบๆ พลางอมยิ้มเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงบ้าน
ครั้นรถเมล์จอดสนิท สาวร่างสูงเพรียวเกินมาตรฐานหญิงไทยก็หอบหนังสือลงจากรถ เดินข้ามไปยังอีกฝั่งของถนนเพื่อกลับบ้าน แต่เป็นเพราะยังตกอยู่ในอารมณ์เคลิบเคลิ้มระคนอิ่มเอมกับเหตุการณ์ในหนังสือ จึงไม่ทันได้ระมัดระวัง รถยนต์ที่แล่นตรงมาด้วยความเร็วส่งเสียงเบรกดังลั่น หญิงสาวรู้สึกตัวเมื่อถูกรถคันดังกล่าวเฉี่ยวจนเสียหลักล้มลงกับพื้น ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตกอกตกใจจากคนรอบข้าง หนังสือที่ถืออยู่ในมือบัดนี้กระจายอยู่บนพื้นถนน
ไม่ถึงอึดใจต่อมาประตูรถยนต์คันหรูก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำสนิทก้าวลงมา
“เป็นยังไงบ้าง ทำไมเดินข้ามถนนไม่รู้จักมองรถ”
เสียงดุฉายแววตำหนิที่ได้ยินทำให้รสิกาที่กำลังพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็เบิกตากว้างราวกับเห็นผีเมื่อเห็นดวงหน้าของคนพูด จนต้องรีบลุกพรวดพราดขึ้นมายืนจ้องตาไม่กะพริบ เพราะใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้เหมือนกับพระเอกในนิยายที่เธอจินตนาการเอาไว้ในหัวไม่มีผิด เหมือนกระทั่งเสียงดุที่ได้ยินเมื่อครู่
“ท่านชายก้อง” หญิงสาวอุทานออกมาน้ำเสียงเบาหวิว
ภีมวัจน์กวาดสายตาคมมองสำรวจร่างของหญิงสาวที่ลุกพรวดพราดขึ้นยืนด้วยสายตาตระหนกในคราแรก แต่ครั้นเห็นเจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิดก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้วก็เริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นดวงตาโตๆ ของเจ้าหล่อนมองมายังเขาอย่างกับเห็นผี
“ตกลงจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ ผมต้องรีบไป ไม่มีเวลามากนัก” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงดุๆ อีกครั้ง แล้วก็พูดต่อไปโดยไม่รอคำตอบ เมื่อเห็นเจ้าของดวงตาโตๆ ยังยืนจ้องเขาด้วยกิริยาเช่นเดิม “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมให้นามบัตรไว้ มีอะไรให้ช่วยเหลือก็โทร. หาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
พูดจบเจ้าของร่างสูงก็เดินกลับไปหยิบนามบัตรในรถมายื่นส่งให้ ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกเสียวปลาบที่มือคล้ายประจุไฟฟ้าแล่นปราด จนยืนตะลึงอยู่กับที่ก่อนจะผละไปขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที ทิ้งให้รสิกามองตามไปจนรถคันหรูแล่นลับหายไปจากสายตา ด้วยยังงุนงงระคนประหลาดใจไม่หายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว เธอก้มลงมองมืออย่างงงๆ เมื่อกี้เธอรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดจากมือเขาสู่มือเธอ
มันคืออะไรกัน! กระทั่งลืมความเจ็บแปลบตรงช่วงสะโพกขวา ซึ่งคาดว่ามีสาเหตุมาจากการเสียหลักล้มกระแทกกับพื้นถนนจนสิ้น
“อะไรวะ พูด...พูด แล้วก็ไป”
หญิงสาวบ่นงึมงำพลางก้มลงมองนามบัตรในมือ ภีมวัจน์ อรรถเศรษฐ์สุนทร เธอหย่อนนามบัตรใบนั้นลงกระเป๋าสะพายอย่างไม่สนใจไยดีนัก เพราะมีเรื่องสำคัญให้คิดมากกว่า
‘ตกลงตาเธอฝาดกระทั่งมองหน้าผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นพระเอกในนิยายไปได้เชียวหรือยายโรส’
แต่คงจะตาฝาดจริงๆ นั่นแหละ ท่านก้องนั่นเป็นพระเอกในจินตนาการล้ำเลิศของเธอ ผู้ชายคนเมื่อกี้แค่บังเอิญหน้าเหมือนเท่านั้น แถมนิสัยก็ไม่ค่อยดีอีกต่างหาก
รสิกาถามเองตอบเองอยู่ในใจ และอาจจะยังคงยืนงงอยู่อย่างนั้นไปอีกนานสองนาน ถ้าไม่ได้ยินเสียงซักไซ้ไล่เลียงจากผู้เห็นเหตุการณ์ที่วิ่งกรูเข้ามารายล้อม
“หนูโรส เป็นอะไรมากหรือเปล่า นังสายพิณกับนังส้มจุกมันร้องเสียจนป้าตกอกตกใจ”
ป้าสมใจคนขายผลไม้ที่รู้จักคุ้นเคยกับหญิงสาวเป็นอย่างดีเอ่ยถามน้ำเสียงเป็นห่วง ก่อนจะก้มลงเก็บหนังสือที่หล่นบนพื้นถนนมาถือไว้ในมือ “ดีนะที่ถนนตรงนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่งพลุกพล่านนัก”
“แหม...ป้า ใครจะไม่ร้องได้เล่า เสียงเบรกดังออกขนาดนั้น” สายพิณแม่ค้าส้มตำเจ้าของเสียงร้องบอก
“จริงอย่างนังสายพิณมันว่าแหละป้า เสียงเบรกมันดังมากจนฉันนึกว่าหนูโรสคงต้องเจ็บหนักเป็นแน่” ส้มจุกเจ้าของเสียงร้องอีกคนซึ่งขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ใกล้ๆ พูดน้ำเสียงสั่นเพราะยังตกใจกับเหตุการณ์ไม่หาย
“ตกลงได้เรียกค่าเสียหายไปหรือเปล่าหนูโรส แล้วเจ็บตรงไหนบ้าง”
ป้าสมใจพูดพลางมองสำรวจร่างระหงของหญิงสาวที่ยังยืนงงอยู่ ในขณะที่คนถูกถามเพิ่งรู้สึกถึงอาการเจ็บตรงสะโพกขวาก็ตอนถูกซักถามนี่เองจนเผลอร้องโอดโอยออกมา
“โอย เจ็บสะโพกจังเลยค่ะป้าใจ”
ป้าสมใจส่ายหน้าไปมา “มันก็น่าเจ็บอยู่หรอก เพราะตอนเห็นหนูโรสล้มลงไปป้ายังคิดว่าจะเจ็บหนัก แล้วก็มัวแต่ตกใจเลยไม่ได้วิ่งมาดูแต่แรก ตกลงได้เรียกค่าเสียหายไปหรือเปล่า”
คนถูกถามยิ้มแห้งๆ พลางส่ายหน้า ก่อนบอกผู้หวังดีเสียงอ่อย
“เปล่าหรอกค่ะ เพราะถ้าพูดกันตามความเป็นจริงโรสก็เป็นฝ่ายผิด เดินไม่มองรถอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ ดีที่เขาเบรกทันไม่งั้นคงเจ็บหนักกว่านี้แน่นอน”
แม้ปากจะพูดออกไปอย่างนั้น รวมทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดเต็มประตูที่เดินไม่ระมัดระวัง ทว่าเมื่อนึกถึงน้ำเสียงดุๆ ของเจ้าของรถ ที่เธอมองว่าหน้าเหมือนพระเอกในนิยายที่เพิ่งอ่านจบ ก็สร้างความขุ่นเคืองใจให้เธอไม่น้อย เพราะคิดว่าเขาน่าจะพูดให้มันเข้าหูมากกว่านี้
ใครจะอยากเจ็บตัว เดินให้ถูกรถเฉี่ยวชนกันเล่า!