บทที่ 15 ชวนกันทำการค้า

1979 คำ
สองสัปดาห์ต่อมา... การค้าของเฉินหว่านเยว่กับทางนายท่านฉางต่างก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย เพราะทำการค้ามาร่วมสิบปี ล้มลุกคลุกคลานมาก็พอตัว นายท่านฉางจึงไม่คิดที่จะสืบหาว่าคู่ค้าของตนนั้นเอาสินค้ามาจากไหน เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ และไม่หักหลังกัน นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มยึดถือมาตลอด “นายท่านครับ สินค้าที่รับมาจากคุณหว่านเยว่ เวลานี้เราต้องเพิ่มปริมาณแล้วครับ สินค้าเริ่มขาดตลาดแล้ว” คนสนิทเอ่ยรายงานขึ้น ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เพราะสินค้าที่นำมาจากเฉินหว่านเยว่นั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการจริง ๆ “อืม ขายเท่าที่มีก่อน เดี๋ยววันไหนพบกับเธอค่อยพูดคุยถึงปริมาณที่จะซื้อเพิ่มเติม” นายท่านฉางที่นั่งยืนเหม่อมองไปนอกหน้าต่างพร้อมกับเอามือไพล่หลังคล้ายกับครุ่นคิดบางอย่าง “แล้วรู้ตัวตนของเธอหรือยัง” เขาถามขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่สนใจว่าคู่ค้าจะหาสินค้ามาจากไหน ทว่าตัวตนของคู่ค้าเขาต้องสืบให้แน่ชัดว่าไม่เป็นภัยกับตนเองในภายหลัง “ครับ เธอคือคุณหนูรองจากตระกูลเฉิน เฉินหว่านเยว่ครับ” ลูกน้องคนสนิทรีบรายงานตามข่าวที่ตนเองไปสืบมาให้นายท่านทราบทันที “ลูกสาวของนายพลเฉินแห่งปักกิ่งอย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงได้มาอยู่ที่ชนบทอย่างนี้ล่ะ” นายท่านฉางได้ยินก็ถามออกไปอย่างสงสัย ในเมื่อเธอคือคุณหนูรองจากตระกูลเฉิน หนำซ้ำพ่อยังมีตำแหน่งเป็นถึงท่านนายพลระดับสูง แล้วทำไมถึงปล่อยให้ลูกสาวมาเป็นยุวปัญญาชนที่นี่ล่ะ และหากเบื้องหลังของเฉินหว่านเยว่เป็นแบบนี้คงไม่แปลก และไม่ใช่เรื่องยาก หากเธอจะหาสินค้าจำนวนมากมาจำหน่ายให้กับเขา “เห็นว่าเมื่อราว ๆ เกือบสองเดือนก่อน เกิดเรื่องบางอย่างที่ตระกูลเฉิน แล้ว จู่ ๆ คุณหนูรองก็ถอนหมั้นกับคุณชายเหวิน ไม่นานเธอก็หนีมาครับ และมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ครับ” ลูกน้องคนสนิทรายงานต่อเพื่อคลายความสงสัยให้กับคนที่เป็นนาย “แสดงว่าครอบครัวของเธอไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่” นายท่านฉางเอ่ยขึ้นมาตามสิ่งที่เขาคิด “ครับนายท่าน แต่คุณนายเฉินน่าจะทราบครับ เพราะเธอจัดแจงทุกอย่างให้ลูกสาวคนนี้เอง เวลานี้นอกจากท่านนายพลยังมีคุณหนูใหญ่และนายทหารคนหนึ่งที่กำลังตามหาร่องรอยของคุณหนูรองครับ” คนสนิทบอกเรื่องราวทั้งหมดที่สืบได้ให้เจ้านายรับรู้ ก่อนจะยืนรอรับคำสั่งของนายท่านฉาง ไม่นานชายหนุ่มก็เอ่ยเสียงเรียบนิ่งแต่ทรงอำนาจขึ้นมา “ลบร่องรอยของเธอให้ดี อย่าให้คนพวกนั้นรู้ได้ว่าเฉินหว่านเยว่มาอยู่ที่เมืองนี้” ชายหนุ่มที่ยืนมองออกไปนอกหน้าต่างมีรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ในเมื่อร่วมมือทำการค้ากันแล้วแบบนี้ เรื่องแค่นี้คง ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไรนักที่จะช่วยหญิงสาวที่ต้องการจะซ่อนตัวจากทุกคน หากเธอไม่ต้องให้ใครพบเจอ เขาก็จะจัดการให้อย่างที่เธอต้องการ “แล้ว...นานหรือไม่ครับ” คนสนิทเอ่ยถาม เพราะไม่มั่นใจว่าเจ้านายนั้นจะให้กลบร่องรอยของคุณหนูรองเฉินนานเท่าไร “จนกว่าเธอจะยอมติดต่อกับทางบ้าน ซึ่งเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” คราวนี้นายท่านฉางหันมามองหน้าลูกน้อง แล้วอี้ฉางเฟิงก็พูดขึ้นมาพร้อมกับยักไหล่ ใช่แล้ว! นายท่านฉางแท้จริงแล้วคืออี้ฉางเฟิงนั่นเอง!! เฉินหว่านเยว่ยังคงทำงานเหมือนเดิม วันนี้เป็นวันหยุดของเหล่าบรรดานักเรียนทั้งหลาย แปลงนาและงานในคอมมูนจึงดูครึกครื้นมากกว่าปกติ เมื่อลูก ๆ หลาน ๆ ของหลายบ้านต่างก็มาช่วยกันทำงาน เพื่อแลกแต้มเล็ก ๆ น้อยๆ แม้จะมีความวุ่นวาย แต่หญิงสาวเลือกที่จะไม่สนใจ เธอก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเอง โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำลังเกิดเรื่องวุ่นวายที่บ้านรองหมิง “แกจะช่วยหลานไม่ได้หรือยังไง เจ้าใหญ่ก็หลานแก ตอนนี้ต้องใช้เงินเพื่อซื้อตำแหน่งงาน ฉันเองก็แก่แล้ว ไม่รู้จะไปหยิบยืมใคร หรือต่อให้บากหน้าไปหยิบยืม แล้วใครจะให้ยืมกันล่ะ แกก็เอาเงินมาให้หลานมันไปซื้อตำแหน่งหน่อยก็แล้วกัน” แม่เฒ่าหมิง หรือ ย่าหมิงเอ่ยกับลูกชายคนรองซึ่งก็คือหมิงเจียงเทานั่นเอง เนื่องจากหลานชายจากบ้านใหญ่จะได้ไปทำงานในโรงงานยาสูบ เพราะสหายของเขาแจ้งมาว่ามีตำแหน่งว่าง แต่ต้องจ่ายเงินร้อยห้าสิบหยวนเพื่อซื้อตำแหน่ง ทว่าบ้านใหญ่กลับมีเงินไม่พอ และถ้าไม่จ่ายก็เสียดายชามข้าวเหล็กนี้ไม่น้อย จึงมาเอ่ยปากขอเงินจากบ้านรองที่แยกบ้านกันไปแล้ว “นั่นสิเจ้ารอง แกจะไม่สนใจหลานและบ้านใหญ่ที่ต้องดูแลฉันกับแม่แกเหรอ” พ่อเฒ่าหมิงเอ่ยขึ้นมาอีกคน “พ่อกับแม่ก็รู้ว่าผมไม่มีเงินมากขนาดนั้น แล้วผมจะเอาเงินจากไหนมาให้ล่ะครับ” หมิงเจียงเทาตอบกลับอย่างหนักใจ เงินที่บ้านรองมีอยู่นั้นล้วนมาจากลูกชายคนโตที่ส่งกลับมาให้ แล้วส่วนหนึ่งก็คือเงินที่เก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนของลูกทั้งสองคน หากให้ไปหมดแล้วบ้านรองเขาล่ะ จะอยู่อย่างไร “ก็เงินเดือนเจ้าหวงซานยังไงล่ะ เจ้านั่นน่าจะส่งเงินมาให้ทุกเดือนไม่ใช่หรือไง นี่พวกแกบ้านรองลืมไปแล้วเหรอว่าเพราะใคร ลูกชายของแกถึงได้มีหน้ามีตาในหมู่บ้านนี้” แม่เฒ่าหมิงเท้าเอวชี้หน้าลูกชายคนรอง เมื่อผู้เป็นแม่พูดมาอย่างนี้ ยังไงบ้านรองก็เป็นหนี้บุญคุณที่ลูกชายพี่ใหญ่สละสิทธิ์ให้หมิงหวงซานไปเป็นทหารแทน ดังนั้นหมิงเจียงเทาจึงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ “บ้านผมไม่มีมากขนาดนั้นหรอกครับ อย่างมากก็มีให้แค่สามสิบหยวนเท่านั้น แม่ลองไปหาเจ้าสามดูสิครับ” “แค่นั้นก็ได้ เอามาเถอะ” สองผู้เฒ่าหมิงจำยอมเอามาแค่นั้น เพราะไม่อยากบีบคั้นลูกชายคนรองมากนัก พอได้ในสิ่งที่ต้องการ สองผู้เฒ่าจึงกลับบ้านใหญ่ไปทันที หมิงเพ่ยอันแม้จะรู้ว่าเงินของบ้านยังมีอีก แต่ก็อดเสียดายไม่ได้ เพราะจำนวนนั้นสามารถจ่ายค่าเล่าเรียนของเธอและน้องชายได้เป็นปี รวมถึงค่าใช้จ่าย ๆ ของบ้านได้ตั้งหลายเดือน แต่เธอพูดอะไรไม่ได้ ทำได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ข้างใน ยิ่งคิดยิ่งไม่อยากอยู่บ้านเธอจึงเดินออกมาเพื่อไปเก็บผักเก็บหญ้าบนเขาแก้เบื่อ ไม่นานก็เหนื่อยจึงนั่งพักเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในขณะที่หมิงเพ่ยอันกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่นั้น เฉินหว่านเยว่ที่ถูกมอบหมายงานให้มาเก็บหญ้าบนเขาให้วัวก็เห็นเข้าพอดี เมื่อเห็นสหายตัวน้อยนั่งซึมและดูเหม่อ ๆ เธอจึงอดที่จะเดินเข้ามาถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีสีหน้าอย่างนั้นล่ะอันอัน” เฉินหว่านเยว่ถามขึ้นอย่างอ่อนโยน “อ้างพี่หว่านเยว่ ทำไมขึ้นเขามาล่ะคะ” หมินเพ่ยอันหันไปถามขึ้นอย่างแปลกใจที่เห็นพี่สาวหว่านเยว่ที่นี่ “เรายังไม่ตอบคำถามพี่เลยนะ” เฉินหว่านเยว่ไม่ตอบแต่เลือกที่จะถามเหมือนเดิม “พอดูฉันรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยน่ะค่ะ เลยมานั่งปาก่อนหินเล่น” หมิงเพ่ยอันตอบกลับมา พร้อมกับปาก้อนหินออกไปเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดของตนเอง “พี่ว่าไม่นิดหน่อยล่ะมั้ง หน้าตายังกับคนอมทุกข์ หากไม่ใช่ความลับก็เล่าให้พี่ฟังได้นะ เก็บไว้คนเดียวเดี๋ยวอกแตกตายพอดี” หญิงสาวพูดออกมายิ้ม ๆ และนั่งลงข้างๆ เด็กสาว “ก็ดีเหมือนกันนะคะ เรื่องมันมีอยู่ว่า....” จากนั้นหมิงเพ่ยอันจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่สาวหว่านเยว่ฟังอย่างไม่ปิดบัง “เอาเงินพี่ไปก่อนไหม พี่ยังพอมีเงินอยู่บ้าง” เฉินหว่านเยว่ เมื่อฟังจนจบก็พยักหน้าเข้าใจ และพูดขึ้นมาอย่างใจกว้าง เธอไม่คิดตระหนี่แต่ก็ยังไม่กล้าบอกว่าเธอมีเงินแค่ไหน “ไม่เอาหรอกค่ะ ที่บ้านก็ยังพอมีเงินเหลือ ฉันแค่ไม่พอใจที่บ้านใหญ่ชอบเอาเรื่องพี่ชายของฉันมาบีบบังคับเอาเงินที่พี่ชายส่งกลับมาแบบนี้ ฉันเลยอยากจะทำงานหาเงินในช่วงวันหยุด จะได้ช่วยหาเงินเข้าบ้านด้วย และเงินส่วนนี้ฉันจะไม่ให้ใครมาแย่งไปเด็ดขาด แต่เพราะฉันยังเรียน จึงทำได้แค่เพียงวันหยุดเท่านั้น ทำให้ไม่ค่อยมีคนจ้างเท่าไรนัก” เด็กสาวพูดออกมาตามความตั้งใจของตนเอง เธออยากทำงานเพื่อช่วยครอบครัวหาเงิน แต่ก็ติดขัดปัญหาเรื่องเวลาและตอนนี้เธอก็ยังเด็กอยู่ “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้อันอันไปตลาดมืดกับพี่ไหม พอดีพี่เจอคนรู้จัก เขามีสินค้าให้แล้วขายเก็งกำไรเอาเอง เผื่ออันอันจะสร้างรายได้จากส่วนนี้ได้ แต่เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับก่อนนะ ห้ามบอกใคร แม้แต่ลุงกับป้า รวมถึงเจ้าตัวแสบอย่างอาหลงด้วย” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วตัดสินใจที่จะชวนสหายอายุน้อยคนนี้ไปหาเงินด้วยกัน เพราะยุคนี้สิ่งที่สำคัญคือเงินและอาหาร แม้ว่าการค้ายังไม่เปิดอย่างเสรีก็ตาม แต่อย่าลืมว่าทุกคนต้องกินต้องใช้ อย่างน้อยก็มีร้านค้าต่าง ๆ ที่ร่วมกับรัฐ หรือแหล่งซื้อขายอย่างตลาดมืดอย่างไรล่ะ “จริงเหรอคะ!! เราจะไปทำการค้าที่ตลาดมืดเหรอคะ” หมิงเพ่ยอันร้องเสียงดังขึ้นมาทันที เด็กสาวกำลังตื่นเต้น ไม่คิดว่าพี่สาวหว่านเยว่ของเธอจะเจอคนรู้จักที่นี่ด้วย แถมยังชวนเธอไปทำการค้าที่ตลาดมืดอีกด้วย “ชู่ว์ เบา ๆ สิ เดี๋ยวใครก็ได้ยินหรอก” หญิงสาวรีบเอ่ยบอกพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาแนบชิดริมฝีปากเป็นสัญญาณว่าให้เงียบเสียงลง เพราะกลัวว่าชาวบ้านที่อยู่แถวนี้จะได้ยิน เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็รีบยกมือปิดปากทันที พร้อมกับหันซ้ายหันขวาดูว่ามีใครได้ยินเธอเมื่อครู่นี้หรือไม่ เฉินหว่านเยว่เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเด็กสาวก็ได้แต่ยิ้มขำทันที “จริงสิ แต่พี่ไม่บังคับนะ เพราะเรื่องนี้มันอันตรายพอตัวหากเกิดโดนจับได้ อันอันตัดสินใจยังไงค่อยมาบอกพี่ก็แล้วกัน พี่จะไปตลาดมืดพรุ่งนี้” เฉินหว่านเยว่พยักหน้าและพูดยืนยันออกมา แต่ก็เปิดทางให้อีกฝ่ายเลือกด้วยว่าอยากทำหรือไม่อยากทำ หญิงสาวไม่อยากบังคับอีกฝ่าย เพราะรู้ดีว่าการค้าขายในตลาดมืดนั้นมันคือเรื่องที่อันตราย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม