บทที่ 14 มีเรื่องจนทะเลาะกัน

1928 คำ
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เมิ่งเซี่ยอียังคงบอกให้เฉินหว่านเยว่ไปกินมื้อเย็นที่บ้าน “วันนี้ไปกินมื้อเย็นที่บ้านป้านะหว่านเยว่ เดี๋ยวป้าจะทำอาหารเผื่อ น่าจะมีเนื้อกระต่ายให้กิน” “ฉันขอรบกวนแค่มื้อเที่ยงก็พอนะคะป้าเซี่ยอี” เฉินหว่านเยว่บอกออกไปด้วยความเกรงใจ “ไม่ได้ ๆ เอาตามนี้ก็แล้วกัน ป้าจะทำอาหารเย็นเผื่อ แล้วเจอกันที่บ้านหมิงนะ ป้ากลับบ้านก่อน” พูดจบเมิ่งเซี่ยอีก็เดินกลับบ้านไป โดยไม่อยู่ฟังคำปฏิเสธของหญิงสาว ทว่าเมื่อทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วยังไม่เห็นเฉินหว่านเยว่มา เมิ่งเซี่ยอีจึงให้ลูกชายคนเล็กนำอาหารมาให้หญิงสาวที่ห้องพักแทน “พี่สาวหว่านเยว่ อยู่ไหมครับ” เด็กน้อยตะโกนเรียกเพื่อหวังว่าพี่สาวหว่านเยว่ของเขาจะได้ยิน เฉินหว่านเยว่เดินออกมาจากห้องก็พบกับหมิงเฟยหลงที่หอบหิ้วอาหารมาให้ ก็รีบพูดขึ้นทันที “เอามาทำไม อาหลงเอากลับไปกินเถอะ” “เอากลับไปไม่ได้ครับ แม่ให้เอาข้าวมาให้ครับ” เด็กน้อยส่งตะกร้าให้ ก่อนจะรีบวิ่งกลับบ้านทันที ทว่าเฉินหว่านเยว่กลับเรียกไว้ ก่อนทำให้เขาต้องหันกลับมา “เดี๋ยวอาหลงรอก่อน พี่จะฝากผลไม้ไปให้ลุงกับป้ารวมถึงเราและอันอันด้วย พี่ซื้อมาเยอะเลยเมื่อวาน รอตรงนี้ก่อนนะ” พูดจบก็เธอเอาอาหารกลับเข้าไปในห้อง เพื่อเอาผลไม้ออกมาฝากให้คนบ้านหมิง โดยอ้างว่าซื้อมาเมื่อวาน เรื่องที่บ้านรองหมิงนำอาหารมาให้เธอถึงบ้าน สร้างความเกลียดชังอย่างดีจากยุวปัญญาชนที่อยู่ร่วมบ้าน “เก่งเนอะ มาไม่กี่วันก็ชนะใจบ้านรองหมิงได้แล้ว ต่อไปจะบ้านไหนดีล่ะ ช่างประจบคนเก่งเสียจริง” เมื่อเธอออกมาจากห้องพร้อมถุงผลไม้กลับโดนจิกกัดจากยุวปัญญาชนหญิง จนเฉินหว่านเยว่เริ่มทนไม่ได้ แรก ๆ ที่โดนก็พอทน แต่โดนบ่อย ๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน เธอจึงเหลือบตามองเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางเด็กน้อยที่มองอยู่ “อาหลง เอานี่แล้วกลับบ้านก่อนนะ เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจหรอก” หญิงสาวก้มหน้าลงมาบอกหมิงเฟยหลง พร้อมกับส่งถุงผลไม้ให้ “แต่...” หมิงเฟยหลงรับถึงผลไม้มาแต่ไม่อยากกลับเท่าไรนัก เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบ้านหมิงของเขาโดยตรง “กลับไปก่อนเถอะ พี่จัดการได้” หญิงสาวยังคงยืนยันคำเดิม จนทำให้เด็กน้อยอย่างหมิงฟางหลงพยักหน้ารับอย่างจนใจ พร้อมกับรีบวิ่งกลับบ้านทันที ในใจนั้นคิดว่าจะต้องรีบจะไปตามพี่สาวกับแม่มาช่วยพี่สาวหว่านเยว่ให้เร็วที่สุด หลังจากที่เด็กน้อยกลับไปแล้ว เฉินหว่านเยว่จึงหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายทันที “เอาล่ะ เด็กไม่อยู่ตรงนี้แล้ว พวกเธอมีอะไรจะพูดอีกไหม จะได้ฟังทีเดียว” หญิงสาวกวาดสายตามองแต่ละคนด้วยความเย็นชาแล้วถามขึ้น ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อทั้งหมดไม่พูดอะไร “ถ้าไม่มีอย่างนั้น เธอ เธอ และก็พวกเธอ ช่วยดูปากฉันนะ ที่ฉันสนิทสนมกับบ้านรองหมิงก็เพราะอันอันช่วยเหลือฉันตั้งแต่ที่สถานีรถไฟ พอมาที่นี่ฉันก็เหมือนตัวคนเดียว แม้แต่เสบียงก็ยังไม่มี อันอันเห็นเข้าจึงได้ไปเอาเสบียงของที่บ้านมาให้ยืม อีกทั้งป้าเซี่ยอียังดีต่อฉัน สอนการทำงานทุกอย่าง แถมยังทำอาหารให้ฉันกิน ในเมื่อบ้านหมิงมีบุญคุณขนาดนี้ พวกเธอคิดว่าฉันควรทำยังไง นอกจากหากมีสิ่งของอะไรที่จะตอบแทนได้ ฉันก็ต้องหยิบยื่นไปให้บ้านหมิงบ้าง แล้วแบบนี้ฉันผิดด้วยเหรอ” หญิงสาวตอบกลับเสียงเย็น คนพวกนี้เธอพยายามที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้วแต่ทำไมกันนะถึงได้มาหาเรื่องเธอแบบนี้ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือยังไง “แต่ยังไงหล่อนก็ประจบไม่ใช่เหรอ หรือว่าอยากเป็นสะใภ้บ้านรองหมิง นี่แหละน๊า คนเมืองหลวง ชอบเอาสิ่งของมาหลอกล่อ อยากได้ลูกชายคนอื่นจนต้องประจบนู้นนี่ แบบนี้พ่อ แม่ คงไม่เคย...” เพี้ยะ!! ผู้หญิงคนนั้นพูดยังไม่ทันจบประโยค ฝ่ามือของเฉินหว่านเยว่ก็ฟาดเข้าที่หน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง “ลู่เฟิน!!” ยุวปัญญาชนหญิงที่อยู่ด้วยกันต่างก็ร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ “ก่อนจะพูดจาอะไรหัดคิดบ้างนะ แม้ว่าฉันไม่ชอบมีเรื่องทะเลาะกับใครเพราะรำคาญ แต่การที่เธอลามปามถึงพ่อแม่ฉันแบบนี้ แค่โดนฝ่ามือมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ” เฉินหว่านเยว่พูดออกมาอย่างแข็งกร้าว หญิงสาวไม่รู้หรอกนะว่าอีกฝ่ายจะพูดประโยคอะไรต่อมา แต่การที่ไม่ชอบเธอแล้วเอ่ยถึงพ่อแม่มันไม่ใช่สิ่งที่สมควร แม้ว่าเธอจะไม่มีความผูกพันต่อท่านทั้งสองก็ตาม แต่ในเมื่อมาอยู่ร่างนี้แล้ว ใครก็ไม่สามารถมาแตะต้องท่านทั้งสองคนได้ เพราะเธอยังได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูรองตระกูลเฉิน!! “กรี๊ดดดดดด แกนังหว่านเยว่ หล่อนกล้าตบฉันเหรอ” ลู่เฟินกรีดร้องออกมาและชี้หน้าอีกฝ่าย เธอไม่คิดว่าตนเองจะถูกตบจนหน้าชา เพราะดูจากที่ผ่านมา เฉินหว่านเยว่ไม่เคยโต้ตอบอะไรเลยสักครั้ง “ฉันคงเอามือไปนาบที่แก้มเธอละมั้ง แล้วจำไว้ด้วยว่าคนอย่างเฉินหว่านเยว่ไม่รังแกใครก่อน และจะไม่ทำร้ายใครหาก ไม่เหลืออด แต่วันนี้เธอล้ำเส้นฉันเกินไปแล้ว คงไม่มีลูกที่ดีคนไหนยอมให้ใครก็ไม่รู้มาตำหนิหรือพูดถึงพ่อแม่ในทางที่เสียหายได้หรอกนะ จริงไหม” เฉินหว่านเยว่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งดู เย็นชา “ตะ...แต่ ฉันยังไม่...” ลู่เฟินไม่กล้าพูดเต็มเสียง เนื่องจากเธอเองที่ล้ำเส้นอีกฝ่ายจริง ๆ การทะเลาะกันของทั้งสองคน มียุวปัญญาชนหญิงแอบไปร้องเรียนกรรมการและหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่นานคนจำนวนไม่น้อยก็มาถึงที่บ้านพักหลังนี้ รวมถึงบ้านรองหมิงด้วยเหมือนกัน “หว่านเยว่ เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” เมิ่งเซี่ยอีวิ่งเข้ามาพร้อมลูกทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยปากถามและสำรวจร่างกายของเฉินหว่านเยว่ด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวว่าเธอจะโดนสหายร่วมบ้านพักรังแกนั่นเอง “....” เฉินหว่านเยว่ทำเพียงส่ายหน้าและยิ้มให้อย่างอ่อนโยนกลับไป “แล้วนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงเกิดการลงไม้ลงมือกันแบบนี้ อยู่บ้านเดียวกันควรจะสามัคคีกันสิ ไม่ใช่ทะเลาะกันจนคนอื่นเดือดร้อนไปหมด” กรรมการหมู่บ้านเดินเข้ามาโวยวาย เนื่องจากเวลานี้คือเวลากินอาหารมื้อเย็นและพักผ่อนของแต่ละครอบครัว ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาจัดการปัญหาทะเลาะกันของยุวปัญญาชนแบบนี้ “แต่เรื่องนี้ฉันไม่ผิดนะ หว่านเยว่ต่างหากที่ผิด เธอทำร้ายร่างกายฉัน” ลู่เฟินรีบพูดขึ้นมาก่อนทันที เมื่อมีคนมามากมาย ลู่เฟินที่มองว่าตนเองนั้นอยู่ที่นี่มาก่อน ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นยุวปัญญาชนหญิงจากเมืองหลวงก็ตาม อย่างน้อยความน่าเชื่อถือเธอย่อมมีมากกว่า “ไม่จริงครับลุงจื่อ ผมอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนแรก แม่ให้ผมเอาอาหารเย็นมาให้พี่หว่านเยว่ แต่กลับโดนพี่สาวกลุ่มนี้พูดจาไม่ดีใส่ว่า เก่งเนอะ มาไม่กี่วันก็ชนะใจบ้านรองหมิงได้แล้ว ต่อไปจะบ้านไหนดีล่ะ ช่างประจบคนเก่งเสียจริง ส่วนหลังจากนี้ผมไม่รู้ครับ แต่พี่สาวหว่านเยว่ไม่ได้หาเรื่องก่อนแน่นอนครับ” หมิงเฟยหลงยกมือขึ้นพร้อมกับบอกเรื่องที่เขาได้ยินมาก่อนหน้านี้ให้ทุกคนฟังครบทุกประโยค ส่วนหลังจากนั้นก็คิดต่อกันเอาเอง “ฉันยอมรับว่าฉันผิดที่ทำร้ายร่างกายคนคนนี้ แต่หว่านเยว่คนนี้ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน อีกอย่างเธอย่อมต้องรู้ว่าเธอได้ล้ำเส้นฉันหรือเปล่า และล้ำเส้นเรื่องอะไร ถึงได้ล้มทั้งยืนแบบนั้น” เฉินหว่านเยว่ยอมรับว่าตนเองผิดที่ใจร้อนทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย แต่เพราะยุวปัญญาชนคนนี้ล้ำเส้นเธอ โดยการพูดจาไม่ดีกระทบกระทั่งไปถึงพ่อแม่เธอก่อน ส่วนใครจะมองว่าอีกฝ่ายยัง ไม่พูดและพูดไม่จบประโยค เธอไม่สนใจ เพราะเธอรู้ดีว่าประโยคต่อจากนั้นจะเป็นยังไง เมื่อเฉินหว่านเยว่ยอมรับผิดในส่วนของตนเอง ทุกคนจึงหันไปมองทางลู่เฟินทันที พอเจอเข้ากับสายตาแบบนี้เธอจึงได้แต่ ส่ายหน้า ทว่าเพราะเจอความกดดันจากสายตาทุกคน ไม่นานจึงสารภาพและพูดถึงเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเอง สรุปแล้วกรรมการและหัวหน้าหมู่บ้านจึงทำเรื่องถึงคอมมูน ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าใครผิดหรือถูก ต่างก็ถูกลงโทษด้วยการตัดเงินเดือนที่ทางรัฐมอบให้ รวมถึงหักแต้มคะแนนหนึ่งอาทิตย์ เฉินหว่านเยว่ไม่คิดมากเรื่องนี้เพราะเธอไม่เดือดร้อน เรื่องเงินแม้แต่น้อย จึงยอมรับแต่โดยดี ส่วนลู่เฟินแม้ไม่อยากยินยอมรับโทษนี้ แต่ก็เลือกที่จะเงียบและลงชื่อตนเองในเอกสารอย่างไม่พอใจ พอจบเรื่องราว เมิ่งเซี่ยอีจึงเอ่ยปากชวนหญิงสาวมาพักที่บ้านรองหมิงเป็นการชั่วคราวก่อน เพราะแม้ว่าเฉินหว่านเยว่และ ลู่เฟินจะมีห้องพักแยก แต่อย่างไรก็อยู่ในรั้วหลังคาเดียวกัน เธอกลัวว่าจะเกิดการกระทบกระทั่งกันอีก “ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าเซี่ยอี ยังไงฉันก็อยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอยู่แล้ว ป้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ” หญิงสาวปฏิเสธความหวังดีนั้นด้วยความนุ่มนวล “อย่างนั้นก็ตามใจ แต่ถ้ามีอะไรก็รีบไปที่บ้านนะ แล้วต่อไปก็ไปกินข้าวที่บ้านทุกมื้อ อาหารที่เราซื้อมาให้ยังมีอีกมากมายเลยล่ะ ถ้าหว่านเยว่ไม่ไปกินที่บ้าน ป้าจะหอบเสบียงทั้งหมดมาคืนที่นี่แล้วนะ” เมิ่งเซี่ยอียิ้มให้พร้อมกับสั่งกำชับเรื่องอาหาร โดยยกเรื่องการไม่รับเสบียงจากหญิงสาวมาเป็นข้ออ้าง “ค่ะป้าเซี่ยอี ฉันจะไปกินข้าวที่บ้านหมิงก็แล้วกัน” นั่นทำให้หญิงสาวจำเป็นต้องพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย “อย่างนั้นป้ากลับบ้านก่อนนะ ไปกันเถอะทุกคน” เมื่อเห็นว่าเฉินหว่านเยว่ยืนยันที่จะอยู่ที่นี่จึงได้ชวนลูก ทั้งสองคนกลับบ้าน ส่วนคนที่เหลือต่างก็แยกย้ายเพื่อไปพักผ่อนเช่นกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม