บทที่ 1 นักธุรกิจสาว
ทิชา นักธุรกิจสาวที่ทั้งสวย ทั้งรวย และมีเสน่ห์ เธอไต่เต้าและสู้ชีวิตด้วยสองมือจนเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายในวัยเพียง สี่สิบปี เธอไม่มีครอบครัวให้คอยห่วงหา และไม่มีครอบครัวที่มอบความอบอุ่นให้ในวันที่เหนื่อยล้า เพราะเธอมาจากบ้านเด็กกำพร้าที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแม่
“คุณทิชาคะ วันนี้สีหน้าไม่สู้ดีเลย นิดว่าคุณทิชาไปโรงพยาบาลตรวจเช็กร่างกายหน่อยดีไหมคะ”
นิดหรือว่าสุนิสา เลขาคนสนิทของทิชา ที่ทำงานกับเธอมาตั้งแต่เริ่มก่อสร้างธุรกิจแรก ๆ เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หลังได้เห็นใบหน้าที่ดูซีดเซียวของเจ้านาย
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกนิด แค่เพลีย ๆ นิดหน่อยเท่านั้น ขอบใจเธอมากนะที่เป็นห่วง” ทิชาเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ วันนี้ยังมีเอกสารอีกมากที่รอให้เธอไปอ่านและเซ็นชื่อ ดังนั้นอาการป่วย เล็ก ๆ น้อยที่เกิดขึ้น ทิชาจึงไม่ได้สนใจมันเท่าไรนัก
“ถ้าคุณทิชารู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือรู้สึกไม่สบายรีบบอกนิดเลยนะคะ” แม้เจ้านายจะบอกด้วยปากตัวเองว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร แต่สุนิสาก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี จึงเอ่ยปากบอกออกไปอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วล่ะ ฉันขอไปล้างหน้าตาสักหน่อยก็แล้วกัน” ทิชาพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้า
แต่ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำ เพื่อล้างหน้าล้างตาให้หายเพลียตามที่บอกเอาไว้ อาการหน้ามืดก็พลันเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้หญิงสาวล้มลงหมดสติลงไปต่อหน้าต่อหน้าต่อตาของเลขาคนสนิทที่บัดนี้ตกใจจนร้องเรียกชื่อเจ้านายไม่หยุดด้วยความตกใจ
“คุณทิชา คุณทิชาคะ ฟื้นสิคะคุณทิชา ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลเร็ว คุณทิชาเป็นลมหมดสติ ช่วยด้วย”
สุนิสาตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงสั่น ก่อนจะเริ่มร้องไห้อย่างคนทำอะไรไม่ถูก เพราะคนในอ้อมแขนที่ตอนแรกคิดว่าแค่หมดสติไปเพียงอย่างเดียว ในตอนนี้กลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึง ชีพจรหรือลมหายใจได้อีกต่อไปแล้ว
ใครจะไปคิดว่าการวูบหมดสติของทิชาในครั้งนี้ จะทำให้เธอหมดลมหายใจไปตลอดกาลได้
นักธุรกิจสาวที่คิดว่าตัวเองเพียงแค่เป็นลมหมดสติไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ภายในห้องห้องหนึ่งที่ดูไม่คุ้นตา อีกทั้งบนร่างกายยังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์สวมใส่ แต่ โชคดีที่เธอยังมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างเอาไว้อยู่อีกหนึ่งชั้น ส่วนลับของเธอจึงยังถูกปกปิดเอาไว้ไม่ได้โผล่ออกมาอวดโฉมภายนอก
ทิชาค่อย ๆ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอย่าง ช้า ๆ หญิงสาวค่อนข้างสับสนเล็กน้อยเพราะจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นลมหมดสติไป แต่ภายในห้องทำงานนอกจากเธอแล้ว ยังมีลูกน้องคนสนิทอยู่ด้วย เธอก็ควรจะฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาลสิ ไม่ใช่ฟื้นขึ้นมาภายในห้องที่ดูแปลกตาในสภาพโป๊เปลือยเช่นนี้
ร่างบางพยายามดึงผ้าห่มขึ้นมา เพื่อใช้ห่อตัวลงไปจากเตียง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะผ้าห่มผืนนี้ไม่ได้มีเพียงแต่เธอคนเดียวที่กำลังครอบครองมัน
“ใครกันอีกล่ะเนี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ทิชาอุทานออกมาด้วยความตกใจ หลังพบว่าบนเตียงกว้างหลังนี้ นอกจากเธอแล้วยังมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่อีกหนึ่งคน ชายคนนี้ก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างไปจากเธอเลยสักนิด และการที่คนสองคนในสภาพแบบนี้นอนอยู่ บนเตียงเดียวกัน มันชวนให้เธอคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยสักนิด
“นี่คุณ ตื่นสิ คุณ” แต่เพราะเธอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองไม่ได้ หญิงสาวจึงเลือกจะปลุกชายแปลกหน้าขึ้นมาเพื่อถามหาความจริงที่เกิดขึ้นแทน
หญิงสาวเรียกอีกฝ่ายเพียงแค่ครั้งเดียว อีกฝ่ายก็ลืมตาตื่นขึ้นมาแทบจะในทันที สายตาของชายหนุ่มที่มองมาที่เธอฉายแววตกใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะรีบเว้นระยะจากตัวเธอให้ห่างออกไป
“คุณหนูเฉิน” น้ำเสียงทุ้มพูดออกมาด้วยภาษาจีน มันน่าแปลกที่เธอฟังออกทุกประโยค ทิชาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง หลังนึกได้ว่า ก่อนหน้านี้เธอก็พูดกับเขาด้วยภาษาจีนที่สำเนียงราวกับเจ้าของภาษามาเองเช่นเดียวกัน
ทิชาอยากจะกุมขมับ เรื่องที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดเกินไปจนทิชาชักจะตั้งรับไม่ถูกเสียแล้วสิ แล้วไหนจะสรรพนามที่คนตรงหน้าใช้เรียกเธออีก ‘คุณหนูเฉินอย่างนั้นเหรอ’ ทิชาคิดในใจกับสรรพนามที่เขาเรียกเธอ
“คุณเรียกฉันว่าอะไรนะคะ คุณหนูเฉินอย่างนั้นเหรอ ทำไมถึงเรียกอย่างนั้นล่ะ” ทิชามองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยและ เอ่ยถามออกว่าเหตุใดเขาถึงเรียกเธอว่าคุณหนูเฉิน
แต่ในขณะที่เธอกำลังรอคำอธิบายจากร่างสูง เสียงเอะอะจากภายนอกก็ดังลอดเข้ามา จนสองคนที่กำลังสนทนากันอยู่หัน ไปมอง และทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับผู้มาก หน้าหลายตาที่ทิชาไม่รู้จักเลยสักคนเดียว คนพวกนั้นพากันเดิน เข้ามาภายในห้อง เสียงพูดคุยอันดังลั่นก่อนหน้า พลันเงียบลงทันทีที่คนทั้งหมดเห็นภาพของคนสองคนที่อยู่ด้านใน
เมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง ชายหนุ่มที่ถอยห่างเธอออกไปก็รีบขยับกลับเข้ามาใกล้ตัวเธออีกครั้งอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใช้เรือนกายอันสูงใหญ่ของตัวเองบังร่างกายของทิชาที่โผล่ออกมานอกผ้าห่มเอาไว้ เพื่อไม่ให้กลุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาได้เห็นร่างกายอันเปลือยเปล่าของเธอ
“เฉินหว่านเยว่!”
ชายวัยกลางคนน่าเกรงขามที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด มองมาที่เธอก่อนจะตวาดเรียกชื่อนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
“ลูกแม่ ไม่จริง” หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างกายชาย คนนั้นมองมาที่เธอ แล้วปิดปากร้องไห้ สายตาของเธอแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากจะเชื่อว่าภาพที่เห็นตรงหน้าจะเป็นเรื่องจริง
“แม่คะ อย่าร้องไห้เลย เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่เข้าใจกันผิดแน่ ๆ” น้ำเสียงอ่อนหวานดังออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาว อีกคน เธอคนนี้มีใบหน้าที่สวยหวาน เมื่อรวมเข้ากับดวงตาดำขลับกลมโตคู่นั้น ก็ยิ่งทำให้เธอดูเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนดูน่าทะนุถนอมมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เหว่ยหราน เธอจะแก้ตัวแทนน้องสาวไปทุกเรื่องไม่ได้นะ”
“ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด”
“ใช่ ๆ ดูสิ งานวันเกิดของท่านนายพลเฉินแท้ ๆ มีลูกสาวบ้านไหนกัน ที่กล้าทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงสร้างความอับอายให้กับครอบครัวแบบนี้” กลุ่มคนที่เดินตามมาร่วมชมความสนุก อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ออกมาอย่างออกรส
เมื่อทิชาได้ยินคำพูดที่ฟังดูเหมือนจะพูดถึงตัวเธอเหล่านั้น ก็ไม่ได้คิดใส่ใจ เพราะสิ่งที่เธอกำลังสนใจคือชื่อที่หลุดออกมาจากปากกลุ่มคนเหล่านี้ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น เฉินหว่านเยว่ หรือ เฉินเหว่ยหราน ทั้งสองชื่อฟังดูคุ้นหูเธออย่างน่าประหลาด เหมือนจะเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่งแต่ก็นึกไม่ออก
“ทุกคนฉันขอร้องเถอะค่ะ อย่าพูดถึงน้องสาวของฉันเสีย ๆ หาย ๆ แบบนี้เลย ฉันขอล่ะ” หญิงสาวที่ชื่อเฉินเหว่ยหรานเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือฟังดูน่าสงสาร
“เห็นแก่เหว่ยหรานที่ต้องโชคร้าย เกิดมามีน้องสาวทำตัวหน้าไม่อายแบบนี้ ฉันจะไม่พูดแล้วก็ได้”
“แล้วใครใช้ให้พวกเธอพูดกัน มีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าลูกสาวฉัน ออกไปกันให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ” หญิงวัยกลางคนที่ตอนแรกยืนร้องไห้อยู่ หันไปตะโกนใส่กลุ่มคนที่พูดจาไม่ดี
“คุณแม่คะ ใจเย็นก่อน ๆ ทุกคนช่วยออกไปกันก่อนเถอะนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเรา พวกเราขอจัดการกันเอง” เฉินเหว่ยหรานช่วยพูดอีกแรง พร้อมกับทำหน้าวิงวอนขอร้องอย่างน่าเห็นใจ
“ถ้าขืนฉันได้ยินว่ามีใครว่าร้ายลูกสาวฉันอีก ได้เห็นดีกันแน่” หญิงวัยกลางคนตะโกนใส่คนพวกนั้นไปอย่างเกรี้ยวกราด