“รับไปเถอะ ก่อนที่พี่จะเดินทางมาที่นี่ พี่ซื้อมาเยอะมาก ของพวกนี้มาจากปักกิ่งทั้งนั้นเลยนะ ไว้หมดแล้วพี่ค่อยให้ทางบ้านส่งมาให้อีก ไม่ต้องกังวลไปหรอก คิดว่านายเป็นสหายตัวน้อยคนที่สองของพี่ก็แล้วกัน”
เฉินหว่านเยว่ตอบกลับไปอย่างจริงใจ ส่วนขนมพวกนี้เธอก็แค่หาข้ออ้างในที่ไปที่มาของมันเพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัยเท่านั้น เธอไม่จำเป็นต้องให้ทางบ้านส่งมาให้อย่างที่บอกออกไป เพราะขนมพวกนี้ล้วนมีในมิติทั้งนั้น อยากจะกินเมื่อไรก็ได้กิน
“ทำไมผมถึงเป็นสหายคนที่สองของพี่ละครับ แสดงว่าพี่สาวมีสหายแค่คนเดียวใช่ไหม” เด็กน้อยขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อพี่สาวคนนี้เป็นยุวปัญญาชนหญิงก็ย่อมต้องมีสหายที่เป็นยุวปัญญาชนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงบอกว่าเขาเป็นสหายคนที่สองล่ะ แล้วสหายคนแรกคือใครกันนะ
“นั่นก็เป็นเพราะว่าพี่เพิ่งมาอยู่ที่นี่เมื่อวานน่ะสิ แล้วก็มีสหายเพียงคนเดียว คือคนที่มีน้ำใจเอาเสบียงมาให้พี่เพราะพี่โดนขโมยเสบียงบนรถไฟไปจนหมด เอาล่ะอย่าพูดมากเลย เรารีบไปกันดีกว่า เวลานี้พ่อแม่ของนายคงจะถามหาแล้ว”
เฉินหว่านเยว่เหลือบมองยุวปัญญาชนหญิงเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นมาอีกนิดเพื่อให้พวกหล่อนได้ยินด้วย เมื่อพูดจบชวนเด็กชายคนนี้เดินออกมาทันที
“อาหลงไปไหนล่ะเนี่ย เวลานี้แล้วทำไมยังไม่กลับมาอีก”
เมิ่งเซี่ยอีบ่นอย่างกระวนกระวายใจเมื่อไม่เห็นลูกคนเล็กกลับมาบ้านเสียที นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเข้าทำงานช่วงบ่ายแล้วแต่ ลูกชายคนเล็กยังไม่กลับมากินข้าวเที่ยวอีก
“คงวิ่งเล่นอยู่ล่ะมั้ง เธอก็ปล่อย ๆ ลูกบ้างเถอะ”
หมิงเจียงเทาเอ่ยขึ้นกับภรรยารักอย่างนั้นเพื่อให้เธอคลายความกังวลใจ แม้ในใจจะห่วงลูกชายคนเล็กไม่น้อยไปกว่ากัน อีกอย่างก็กลัวว่าเด็กเกเรในหมู่บ้านจะรังแกเอาอีก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คงเป็นหลานชายจากบ้านใหญ่
สองสามีภรรยาต่างก็ใจจดใจจ่อรอลูกชาย ทว่าไม่นานทั้งสองคนก็เห็นเด็กน้อยเดินมากับหญิงสาวคนหนึ่ง เมื่อมองอย่างชัดเจนก็เห็นว่าเธอคือ เฉินหว่านเยว่ ยุวปัญญาชนหญิงที่เพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อวานนั่นเอง
“เอ๊ะ!! นี่บ้านคุณป้าเหรอคะ โลกกลมจังเลยนะคะ”
เฉินหว่านเยว่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสามีภรรยายืนอยู่หน้าบ้านด้วยท่าทางที่กระวนกระวายใจ
“ใช่จ้ะ แล้วนี่ไปยังมายังไงกันละ ถึงได้มาพร้อมกับเจ้าตัวแสบนี้ได้” เมิ่งเซี่ยอีรู้สึกโล่งใจที่ลูกชายกลับมาบ้านเสียที และถามอีกฝ่ายว่ามาได้ยังไงกัน
“พอดีฉันกำลังจะกลับบ้านพัก ระหว่างทางก็เจอน้องชายคนนี้โดนกลุ่มเด็กเกเรในหมู่บ้านรังแก ฉันเลยเข้าไปช่วยเล็กน้อย ก่อนจะพาแวะไปเอาขนมที่บ้านพักเลยได้กลับมาช้า ยังไงฉันต้องขอโทษลุงกับป้าด้วยนะคะ ที่พาน้องกลับมาช้าเลยทำให้ต้องเป็นห่วง”
เฉินหว่านเยว่เอ่ยขอโทษทันที และคิดว่านี่คือเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง เมื่อวานได้ลูกสาวบ้านนี้พากลับมายังหมู่บ้าน แถมยังให้ยืมเสบียงประทังชีวิตอีกด้วย เมื่อเช้าก็ได้ป้าคนนี้ช่วยสอนงานให้ ตกตอนเที่ยงเธอกลับช่วยลูกชายบ้านนี้จากเด็กอันธพาลในหมู่บ้าน หากไม่คิดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญ ก็คงเพราะมีวาสนาต่อกันแน่ ๆ
“ขอบใจมากนะแม่หนู ที่ช่วยลูกชายของลุงไว้”
หมิงเจียเทาเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง เนื่องจากลูกชายคนนี้มีนิสัยเรียบร้อยไม่สู้คนซึ่งต่างพี่ ๆ ของเขา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุง อย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ จะกลับไปกินมื้อเที่ยง เดี๋ยวบ่ายต้องเข้างานอีก” หญิงสาวเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาจึงเอ่ยลาทันที เพราะเธอนั้นยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเหมือนกัน
“นี่ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเหมือนกันเหรอ อย่างนั้นมากินมื้อเที่ยงด้วยกันก่อนสิ ให้บ้านหมิงของเราได้ตอบแทนที่หว่านเยว่ช่วยอาหลงไว้ด้วยเถอะนะ ไหนจะขนมเต็มไม้เต็มมือนั่นอีก ราคาค่างวดคงไม่น้อยเลยทีเดียว” เมิ่งเซี่ยอีเอ่ยชวนหญิงสาวทันทีเมื่อรู้ว่าเธอก็ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง
เฉินหว่านเยว่เองก็ไม่อยากปฏิเสธ เนื่องจากเธอมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับบ้านหมิงและมองว่าทุกคนในบ้านน่าจะเป็นคนดี และหากถ้าเธอปฏิเสธก็คงไม่สมควรนัก
“อย่างนั้นขอรบกวนด้วยนะคะ” เฉินหว่านเยว่ตอบอย่างนอบน้อม
“ไปกันครับพี่สาว ผมลืมแนะนำตัว ผมชื่อเฟยหลง หมิงเฟยหลงครับ ว่าแต่พี่สาวชื่ออะไร ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่เลย” เมื่อเห็นว่าพี่สาวใจดียอมกินมื้อเที่ยงที่บ้านของตนเองแล้ว หมิงเฟยหลงจึงรีบแนะนำตัวพร้อมกับถามชื่อแซ่ของพี่สาวคนใหม่ทันที
“พี่สาวชื่อ เฉินหว่านเยว่จ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะหนุ่มน้อย”
หญิงสาวแนะนำตนเองด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเข้าบ้านทันที
แม้ว่าอาหารมื้อนี้จะดูธรรมดาและไม่มีเนื้อสัตว์ แต่เฉินหว่านเยว่กลับมองว่ามันอร่อยมาก จึงได้เอ่ยชมออกมาจากใจจริง “ป้าเซี่ยอีทำอาหารอร่อยมากค่ะ”
“เราก็พูดไป ป้าก็ทำเหมือนปกตินั่นแหละ ไม่ได้มีเนื้อสัตว์หรืออาหารดี ๆ เหมือนคนในเมืองเขากินกันหรอก ยังไงวันหลังหากลุงเขาขึ้นเขาแล้วได้สัตว์ป่ามา ป้าจะตุ๋นน้ำแกงให้กินนะ”
เมิ่งเซี่ยอีพูดออกมาอย่างถ่อมตัว
มีใครบ้างไม่ชอบคำเยินยอ แต่เพราะอาหารวันนี้มีเพียงอาหารทั่วไปที่ปรุงด้วยผักเท่านั้น หากวันไหนสามีของเธอขึ้นเขาล่าสัตว์ป่ามาได้ วันนั้นเธอจะทำน้ำแกงและตุ๋นเนื้อให้กินหญิงสาวได้กินด้วย
แม้ว่าบ้านของเธอมีลูกชายคนโตที่กำลังไปเป็นทหารรับใช้ชาติและส่งเงินมาให้ทุกเดือนก็ตาม แต่เพราะยังมีค่าใช้จ่ายอย่างค่าเล่าเรียนของลูกอีกสองคน รวมถึงเก็บเงินไว้เป็นสินสอดเมื่อถึงเวลาขอลูกสะใภ้ให้ลูกชายคนโต อะไรที่ดูเหมือนจะสิ้นเปลือง เมิ่งเซี่ยอีจึงไม่ค่อยจะซื้อมากนัก
เฉินหว่านเยว่รู้สึกซาบซึ้งในครอบครัวนี้อย่างมาก แต่เมื่อเมิ่งเซี่ยอีเอ่ยถึงเนื้อสัตว์ หญิงสาวจึงทำทีเป็นถามหาแหล่งซื้อของพวกนี้เพราะต้องการแหล่งการค้า
“จริงสิคะป้าเซี่ยอี หากฉันต้องการซื้อพวกเนื้อสัตว์และอาหาร ฉันต้องไปซื้อที่ไหนเหรอคะ”
หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างและเข้าใจว่าหญิงสาวตรงหน้าเพิ่งมาถึงที่นี่และน่าจะยังไม่รู้เรื่องอะไร จึงได้เอ่ยปากบอกอย่างไม่ปิดบัง
“โดยทั่วไปชาวบ้านมักจะไปซื้อของที่สหกรณ์ แต่ที่นี่ต้องจ่ายด้วยเงินและคูปองที่รัฐมอบให้เท่านั้น แต่ของบางอย่างจำพวกเนื้อสัตว์และผักผลไม้ต้องไปเช้าหน่อย เพราะแต่ละวันมีของมาไม่เยอะ”
“แล้วถ้าเกิดไม่มีคูปองล่ะคะ ฉันจะสามารถไปซื้อที่ไหนได้อีกบ้าง นอกจากสหกรณ์” เฉินหว่านเยว่ยังคงถามต่อ เพราะเธอรู้ดีว่ายุคนี้นั้นมีตลาดมืดเพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่จะให้ถามออกไปตรงๆ ว่าตลาดมืดของที่นี่อยู่ที่ไหน ก็ดูจะโจ่งแจ้งเกินไป จึงได้ถามออกไปอย่างอ้อมๆ
“หากไม่มีคูปอง ชาวบ้านอย่างเรา ๆ ก็มักจะไปซื้อขายของที่ตลาดมืดในเมือง แต่ที่นั่นค่อนข้างอันตราย เพราะมันไม่ถูกกฎหมายเท่าไรนัก ป้าว่าอย่าไปเลยนะมันอันตรายสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว”
เมิ่งเซี่ยอีไม่เห็นด้วยที่เฉินหว่านเยว่จะไปที่ตลาดมืด เพราะมันอันตราย หากวันใดโดนทหารแดงตรวจค้นขึ้นมา ถ้าหนีไม่ทันก็จะโดนจับไปลงโทษที่เหมือง ซึ่งที่นั่นทั้งอันตรายและเหนื่อยกว่าทำงานในทุ่งนามากนัก
“ฉันก็ถามไปอย่างนั้นแหละค่ะ ฉันไม่ใช่คนที่นี่คงไม่กล้าไปที่ตลาดมืดคนเดียวแน่ อย่างมากคงไปซื้อที่สหกรณ์นั่นแหละค่ะป้าเซี่ยอี” เฉินหว่านเยว่รับรู้ถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงนั้นได้ จึงตอบออกไปอย่างนั้น
และแม้จะตอบไปอย่างนั้น แต่ในใจนั้นกลับคิดหาลู่ทางที่จะไปค้าขายที่ตลาดมืดเรียบร้อยแล้ว
หลังจากจบมื้อเที่ยง ทั้งหมดจึงกลับไปที่คอมมูนเพื่อทำงานตามหน้าที่ของตนเองจวบจนถึงเวลาเลิกงาน
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ทุกคนต่างก็เอาอุปกรณ์ไปเก็บและมาแจ้งชื่อเพื่อเลิกงาน หลังจากลงชื่อเรียบร้อยแล้ว เฉินหว่านเยว่จึงกลับมายังบ้านพักของตนเองทันที
จากนั้นจึงได้เริ่มเลือกดูสิ่งของในมิติไว้ เพื่อไปลองขายที่ตลาดมืดในวันพรุ่งนี้ โดยที่เธอไม่ต้องหอบของไปให้ผิดสังเกต เมื่อไปถึงตลาดมืดแล้วค่อยเอาของออกมาจากมิติห้างสรรพสินค้าก็ยังได้ หญิงสาวตั้งใจว่าจะขอลาหยุดงาน โดยหาข้ออ้างว่าจะออกไปซื้อของใช้ และเสบียงมาไว้ เนื่องจากปัญหาที่เธอพบในขณะเดินทางมาที่นี่ทุกคนต่างรับรู้แล้ว
พอได้จำนวนและสินค้าที่จะไปขายพรุ่งนี้ตามต้องการแล้ว จึงได้เลือกอาหารออกมากิน และครั้งนี้หญิงสาวเลือกมาคือผัดไทยกุ้งสดห่อไข่ ในใจนั้นเกิดรู้สึกเสียดาย เพราะอาหารสำเร็จรูปพร้อมขายนั้นมีไม่มากเท่าไร
แต่ช่างเถอะ ยังไงเธอยังสามารถเอาวัตถุดิบออกมาทำได้ เรื่องนี้หากอยากกินอะไรที่นอกเหนือจากที่มี ค่อยเอาวัตถุดิบมาทำกินเอง จะอร่อยไหนค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน
หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อย เฉินหว่านเยว่จึงตระเตรียมเสื้อผ้าเพื่อจะออกไปอาบน้ำทันที เหตุที่ไปเวลานี้เพราะเชื่อว่าคนอื่น ๆ น่าจะยังกินอาหารกันอยู่
ยุวปัญญาชนหญิงคนอื่นที่เห็นเฉินหว่านเยว์ไม่ได้ทำอาหารกิน ในใจนั้นรู้สึกสมน้ำหน้าเธอไม่น้อย เพราะคิดว่าอาหารที่มีคงหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และแต่ละคนก็ไม่คิดที่จะเอ่ยชวนหรือแบ่งปันให้เลยแม้แต่น้อย แต่มีเหรอที่หญิงสาวจะสนใจ จะชวนหรือไม่ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้เธอกินผัดไทยที่แสนอร่อยจนอิ่มแล้วต่างหากล่ะ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับเข้าห้องเพื่อนอนพักผ่อนทันที