บทที่ 8 ช่วยเหลือเด็กน้อย

1902 คำ
เช้าวันต่อมา... เฉินหว่านเยว่ตื่นแต่เช้าและรีบไปเข้าห้องน้ำก่อนใครๆ อาจจะเพราะไม่ชินกับสถานที่เลยทำให้เธอนอนไม่ค่อยหลับสักเท่าไหร่ หรือคิดไปว่าเพราะความสะเพร่าของตนเองจนเจอเหตุการณ์เลวร้ายบนรถไฟ เลยทำให้เธอไม่กล้าที่หลับสนิท หลังจากที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเรียกหน้าต่างห้างสรรพสินค้าขึ้นมาและเลือกดูว่าเช้านี้เธอจะกินอะไรดี สุดท้ายแล้วก็ได้กาแฟกับแซนด์วิชมาหนึ่งชุด พร้อมกับเลือกดูเสื้อผ้าที่คล้ายของยุคนี้แบบฉบับชาวบ้านธรรมดาอีกสามชุด เนื่องจากเสื้อผ้าที่เธอเอาติดตัวมานั้นมันดูหรูหราเกินกว่าที่จะเอามาใส่ทำงานในทุ่งนา เมื่อได้ชุดที่ต้องการก็รีบเอามาสวมใส่ ก่อนจะออกมาหน้าห้องและเดินลัดเลาะมายังคอมมูนทันที “นี่ยังไม่ถึงเวลางาน ทำไมถึงรีบมาเสียล่ะ ว่าแต่ชื่ออะไรป้าจะลงเวลาให้” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น และป้าคนนี้มีชื่อว่าฉีซือ เธอคือคนที่รับหน้าที่ตรวจรายชื่อและลงคะแนนของคนทำงานที่หมู่บ้านแห่งนี้ เนื่องจากเธอมีนิสัยเป็นกลาง นางฉีซือคนนี้แม้จะเป็นลูกหลานของตัวเอง เธอก็ไม่มีการแอบเพิ่มคะแนนให้ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะอย่างนี้เลยทำให้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้มาตลอด “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ เฉินหว่านเยว่ ยุวปัญญาชนหญิงมาใหม่เมื่อวาน ฝากตัวด้วยนะคะ หากผิดพลาดตรงไหนสามารถตักเตือนได้เลยนะคะ” เฉินหว่านเยว่เอ่ยทักทายออกไปอย่างสุภาพและนอบน้อมพอสมควร หญิงสาวเป็นนักธุรกิจมาก่อนย่อมรู้จักการวางตัวและรู้ว่าต้องทำอย่างไร แม้ว่าจะอยู่คนละยุคคนละสมัย แต่การนอบน้อมต่อคนที่มีอายุมากกว่าย่อมเป็นเรื่องที่ควรกระทำและไม่เสียหายอะไร หากคนคนนั้นดูน่าเคารพ “แม่หนูหว่านเยว่ดูนอบน้อมเสียจริง แล้วนี่มาจากเมืองไหนกันเหรอ อยู่ห่างไกลบ้านแบบนี้คงคิดถึงครอบครัวแย่เลย อยู่ที่นี่ไปก่อนสักพักค่อยทำเรื่องขอกลับไปทำงานแถวบ้านได้นะ หากที่นั่นว่างก็ไปได้เลย” ฉีซือเห็นท่าทางของหญิงสาวก็นึกชอบใจขึ้นมา จึงพูดด้วยความเป็นกันเองและแนะนำแนวทางให้อย่างใจกว้าง เรื่องที่ยุวปัญญาชนขอทำเรื่องกลับไปลงคอมมูนใกล้บ้านใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น แต่น้อยคนนักที่จะกลับไปถิ่นเดิมตนเอง ส่วนเพราะสาเหตุอะไรนั้นเธอเองก็ไม่รู้หรอก “ขอบคุณนะคะป้า...” หญิงสาวยิ้มกลับอย่างอ่อนโยนและไม่ตอบคำถามว่าเธอมาจากที่ไหน ส่วนเรื่องที่จะกลับไปบ้านนั้นเลิกคิดได้เลย กว่าจะหนีมาที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และหมู่บ้านแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่เลวร้ายสักเท่าไร อยู่ไปอีกหน่อยก็จะชินเอง “เรียกกว่าป้าฉีเถอะ ไปนั่งรอตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนก็ได้นะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าทำงาน” ฉีซือบอกอย่างใจดีเมื่ออีกฝ่ายล่ะชื่อนางไว้ พร้อมกับชี้ไปที่ต้นไม้ที่มีเก้าอี้วางไว้ให้นั่ง “ค่ะ ป้าฉี” เฉินหว่านเยว่พยักหน้าและยิ้มให้ ก่อนจะเดินมานั่งหลบมุมที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตามที่นางฉีซือแนะนำมา เมื่อถึงเวลาเริ่มงาน สัญญาณก็ดังขึ้น และกลุ่มคนจากทุกที่ของหมู่บ้านแห่งนี้ต่างก็มาลงชื่อและเริ่มงานของตนเองทันที “ยุวปัญญาชนมาใหม่ใช่หรือไม่ ป้าชื่อเซี่ยอี หรือจะเรียกป้าสะใภ้หมิงก็ได้ มาทำงานตรงนี้เถอะ เดี๋ยวป้าจะสอนงานให้” เมิ่งเซี่ยอีเดินเข้ามากวักมือเรียกเฉินหว่านเยว่ให้มาทำงานด้วยกัน เนื่องจากมองอยู่นานแล้วเห็นว่าบรรดายุวปัญญาชนหญิงคนอื่นต่างก็ไม่มีใครเรียกหญิงสาวคนนี้เลย “เอ๋ ป้าอยู่บ้านหมิงเหรอคะ แล้วป้ารู้จักเพ่ยอันหรือเปล่าคะ อ้อ..ฉันชื่อเฉินหว่านเยว่นะคะ เรียกหว่านเยว่ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยถามทันทีเมื่อรู้ว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้มาจากบ้านหมิง และไม่ลืมที่จะแนะนำตัวออกไป “อันอันเป็นลูกสาวป้าเอง แต่เวลานี้ไปเรียนหนังสืออยู่ในเมือง จะกลับมาอีกครั้งก็คงจะเย็นเลยล่ะ” เมิ่งเซี่ยอีตอบกลับ เพราะรู้เรื่องที่ลูกสาวเอาอาหารมาให้ยุวปัญญาชนคนใหม่ เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เตรียมเสบียงมาและเจอเรื่องราวบางอย่างบนรถไฟ พอเห็นว่าหญิงสาวคนนี้นั่งอยู่คนเดียวเลยคิดว่าน่าจะเป็นคนที่อันอันของเธอเล่าให้ฟังจึงได้กวักมือเรียก “ดีเลยค่ะ ฉันกำลังคิดว่าจะไปคืนเสบียงอยู่พอดีเลย” เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือมารดาของหมิงเพ่ยอัน เธอเลยพูดเรื่องที่จะคืนเสบียงขึ้นมา “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ หว่านเยว่เก็บไว้ใช้ก่อน ป้าได้ข่าวว่ากว่าเสบียงในส่วนของเธอจะมาถึงคงอีกหลายวัน อีกอย่างบ้านป้าเองยังมีอยู่ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย” เมิ่งเซี่ยอีตอบกลับมาเพื่อบอกให้เธอไม่ต้องกังวล “แต่...” หญิงสาวยังคงเกรงใจ อีกอย่างเธอไม่ต้องทำอาหารเองอีกแล้ว เพราะในมิติห้างสรรพสินค้ามีให้เลือกมากมาย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน แต่เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธ ดังนั้นเธอก็จะเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน และคิดว่าบ้านหมิงดูจะใจดีกันทั้งบ้านเลยแบบนี้สิถึงน่าจะคบหาไว้เป็นสหาย จากนั้นเฉินหว่านเยว่จึงมาทำงานตามหน้าที่ของตนเอง แม้ว่าจะเหนื่อยและปวดหลังแค่ไหน แต่เธอก็สามารถผ่านมันไปได้ และคิดว่าหากทำไปหลาย ๆ วันเดี๋ยวก็คงชินไปเอง ในขณะที่ทำงานกลางทุ่งไปด้วย หญิงสาวยังคงคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตดี แม้ว่าจะมีข้าวให้กินทุกมื้อ มีของให้ใช้ตามที่ต้องการ แต่ทว่าสิ่งเดียวที่เธอไม่มีก็คือ ‘เงิน’ แต่จะว่าไป เธอมีข้าวของมากมายที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อจากห้างสรรพสินค้าออนไลน์ที่มีติดตัวมานี่นา ช่างเถอะ เรื่องจะหาลู่ทางขายของให้ได้เงินมานั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้เอาชีวิตรอดจากงานตรงนี้ก่อนดีกว่า เพราะงานในทุ่งนานี่ช่างไม่เหมาะกับเธอเลยจริง ๆ เมื่อสัญญาณพักเที่ยงดังขึ้น ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันเพื่อไปกินข้าวเที่ยง รวมถึงเฉินหว่านเยว่ที่ตั้งใจว่าจะกลับมาหาอะไรกินที่บ้าน แต่อย่างไรเสียก็ขอไปล้างตัวที่ลำธารเสียก่อน แต่ระหว่างเดินทางกลับบ้านพัก เธอได้เจอเข้ากับเด็กชายคนหนึ่งที่อายุราว ๆ แปดหรือเก้าปี กำลังถูกกลุ่มเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนรังแก เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้ถูกเด็กกลุ่มหนึ่งในหมู่บ้านรังแกจึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาวุ่นวาย “หยุดเลยนะ นี่มันอะไรกัน!! ตัวแค่นี้ริอ่านจะเป็นนักเลงเหรอ” เฉินหว่านเยว่พูดขึ้นมาเสียงดัง พร้อมกับเข้าไปขวางไว้ทันที “พี่สาวไม่เกี่ยว ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องนี้ ถอยไป” หัวโจกของกลุ่มพูดขึ้นพร้อมกับมายืนประจันหน้ากับเฉินหว่านเยว่อย่างไม่เกรงกลัว “ทำไมฉันจะไม่เกี่ยว ในเมื่อพวกเธอรวมหัวกันรังแกคนอื่น แบบนี้เขาเรียกหมาหมู่รู้ไว้เสียด้วย อีกอย่างนะ อย่าคิดว่าเป็นเด็กแล้วจะไม่มีใครกล้าแจ้งความ งั้นวันนี้ฉันจะทำให้พวกเธอรู้เองว่ากฎหมายใช้ได้กับคนทุกวัย ยิ่งกับพวกนักเลงตัวเท่าลูกหมาอย่างพวกเธอ ฉันก็สามารถจัดการเอาเข้าห้องขังได้ จะลองดูไหมล่ะ” เฉินหว่านเยว่พูดขึ้นเสียงดังทันทีและจ้องมองไปที่เด็กๆ พวกทีละคน เมื่อเจอคำขู่นี้เข้าไปต่อให้จะมีความกล้าแค่ไหน แต่เพราะร่างกายและความคิดยังเด็กจึงได้รีบวิ่งหนีไปอย่างไว “เราน่ะเจ็บตรงไหนไหม แล้วทำไมไม่สู้กลับล่ะ” เฉินหว่านเยว่ยื่นมือมาดึงเด็กชายคนนี้ให้ลุกขึ้น ก่อนจะช่วยปัดเศษฝุ่นเศษดินตามร่างกายให้โดยไม่คิดที่จะรังเกียจ พร้อมกับเอ่ยถามว่าทำไมถึงไม่สู้กลับไปบ้าง “ขอบคุณครับพี่สาว ที่ผมไม่สู้เพราะไม่อยากมีเรื่องครับ” เด็กชายขอบคุณพี่สาวใจดี ก่อนจะตอบเหตุผลที่เขาไม่สู้กลับ นั่นเพราะเขารู้ดีว่าถ้ามีเรื่องกับเด็กกลุ่มนี้ไป ไม่วายบ้านของเขาต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย ดังนั้นอะไรที่ยอมได้ก็ยอมไปดีกว่า “ดูท่าแล้วเราน่าจะเรียนอยู่ชั้นประถมหรือเปล่า แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้ง ดูเหมือนว่าอายุเท่านี้น่าจะไปโรงเรียนมากกว่ามาเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงนี้ “อาทิตย์นี้โรงเรียนปิดครับ ผมเลยว่าจะมาช่วยเก็บผักเก็บหญ้าไปให้วัวเพื่อแลกแต้มการทำงานครับ” เด็กชายตอบออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าภาคภูมิใจที่เขาทำงานช่วยครอบครัวได้ “อืม บ้านอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง แต่ขอแวะบ้านพักก่อนนะ แล้วจะเอาขนมให้เราด้วย” เฉินหว่านเยว่พยักหน้ารับรู้อย่างพึงพอใจ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “ครับ” เด็กชายก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินมายังบ้านพักของเฉินหว่านเยว่ด้วยกัน “รอตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่มา” หญิงสาวบอกแค่นั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะรีบเปิดหน้าจอห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกขนมมาหลายชนิดให้เด็กน้อยคนนี้ โดยที่เธอไม่ต้องกังวลว่ายี่ห้อหรือสถานที่ผลิตจะติดมากับห่อขนมด้วย เพราะเมื่อเอาออกมาจะมีเพียงชื่อขนมและลายห่อขนมที่น่ารักเท่านั้น “นี่ขนมของเธอ รับไปสิ” ทันทีที่ออกมาจากห้อง หญิงสาวจึงได้ยื่นห่อขนมและ ลูกอมทั้งหมดให้กับเด็กชายที่เธอได้ช่วยเหลือไว้ทันที โดยมีสายตาของยุวปัญญาชนหญิงที่อยู่บริเวณนี้มองอย่างตกใจและเสียดาย “มันเยอะไปครับพี่สาว อีกอย่างของพวกนี้แพงมากแน่ ๆ ผมขอแค่นี้ก็พอครับ” เด็กชายพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ เขาไม่กล้ารับไว้ทั้งหมด จึงเลือกที่จะรับห่อที่เล็กที่สุดไว้เท่านั้น นี่จึงทำให้เฉินหว่านเยว่รู้สึกชอบเด็กคนนี้ขึ้นมา คิดในใจว่าตัวแค่นี้แต่กลับไม่มีความละโมบในใจเลย แบบนี้ครอบครัวคงจะสอนมาดีแน่นอน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม