"เป็นบ้านที่แปลกชะมัด"
ผมบ่นขึ้นมาเบาๆ หลังจากตรวจสอบห้องทั้งหมดในบ้านหลังนี้จนครบ ภายในบ้านมีทั้งหมดแปดห้อง สองในแปดคือห้องที่คุณอาได้เขียนระบุเอาไว้ส่วนอีกหกห้องเป็นห้องเปล่าๆ ที่มีหน้าต่างบานหนึ่งติดเอาไว้ ส่วนห้องนั่งเล่นเพียงแค่เดินมาไม่กี่ก้าวจากหน้าบ้านก็เจอได้แล้ว
ผมหาห้องของคุณอาได้ไม่ยากเย็นนัก เพราะเพียงแค่เดินไปถึงหน้าประตูห้องของคุณอา กลิ่นหอมของดอกไม้ก็จะลอยเข้ามาอย่างชัดเจน
ภายในห้องนี้จะมีชั้นวางของที่ทำจากไม้อยู่เต็มไปหมด ซึ่งบนชั้นพวกนั้นก็มีแต่ตุ๊กตารูปสัตว์ถูกวางเรียงกันจนผมขนลุกขึ้นมาเบาๆ ในห้องของคุณอามีหน้าต่างอยู่สองบาน บานหนึ่งอยู่ใกล้ประตู ส่วนอีกบานอยู่ตรงข้ามกับประตู และข้างๆ เหมือนจะมีโต๊ะไม้ตั้งอยู่ ให้ผมเดามันน่าเป็นโต๊ะทำงานของคุณอา
มีบางครั้งที่ผมเดินไปเจอตุ๊กตากำลังนั่งอยู่ในห้องเปล่าๆ หรือแม้กระทั่งกำลังห้อยหัวลงมาจากบนเพดาน แต่ผมก็เมินมันไปเพราะสิ่งที่เจ้าตุ๊กตาตัวนั้นทำมันไม่ได้ถูกเขียนไว้ในกฎ แต่มีสิ่งที่ผมสงสัยอยู่อย่างก็คือตู้ไม้เก่าๆ ที่มีตัวอักษรสีแดงสลักไว้ คือผมเห็นมันตั้งอยู่หลังชักโครกในห้องน้ำ แปลว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ผมก็ต้องเข้าไปในตู้ที่ตั้งอยู่หลังชักโครกนั่นสินะ....
16:00
ผมนั่งแกร่วมาสองชั่วโมงแล้วในห้องนั่งเล่น แถมไม่มีท่าทีว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในกฎจะเกิดขึ้นมา และดูเหมือนกับว่านพจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ผมซะแล้ว ผมคิดว่าเขาหายไปตั้งแต่ที่ผมก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้
ผมพยายามใช้เวลาที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหล่านี้ ทบทวนกฎทั้งหมดจนจำได้ขึ้นใจ ก่อนจะนวดตาของตัวเองแล้วเก็บหนังสือกฎเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง
ที่จริงผมลองเปิดทีวีดูแล้วแต่ผลคือมันไม่มีภาพใดๆ ฉายออกมาให้เห็นเลยสักนิด มีเพียงความมืดเท่านั้นที่อยู่ในหน้าจอทีวีตอนนี้ แต่ทว่าเมื่อผมตัดสินใจจะถอดปลั๊กของทีวีออก ก็ได้มีเสียงดังขึ้น แล้วเมื่อผมฟังมันให้ชัดเจนก็ได้ยินเป็นเสียงเคาะกระจก
ผมใช้เวลาไม่นานในการหาห้องต้นเสียง เมื่อเปิดเข้าไปผมก็ได้พบว่า บานหน้าต่างของห้องนั้นถูกแง้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับเจ้าตุ๊กตาหมีขนสีน้ำตาลสุดน่ารักที่กำลังใช้มือของมันพยายามปีนขึ้นไปด้านบน ผมสาบานได้เลยว่าเห็นมันกำลังขยับอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะหยุดนิ่งลง
ผมเดินเข้าไปที่หน้าต่างบานนั้น ก่อนจะปิดมันลง แล้วหยิบเจ้าตุ๊กตาหมีตัวนั้นไปด้วย ถ้าเป็นปกติผมคงจะมองว่ามันน่ารัก แต่หลังจากที่เกิดเรื่องแบบเมื่อกี้ขึ้น....
ผมคงมองมันแบบเดิมไม่ได้แล้ว...
ผมใช้เวลาไม่นานในการเดินเอาเจ้าตุ๊กตาหมีตัวนี้ไปเก็บไว้ในห้องของคุณอา ที่ตอนนี้ห้องมันย้ายตัวเองมาอยู่ใกล้ๆ กับห้องนั่งเล่นแล้ว
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เริ่มทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเบาๆ เพราะเพียงแค่คิดว่าผมต้องรับมือกับพวกมันไปตลอดทั้งคืน ร่างกายของผมก็เริ่มอ่อนแรงแล้ว
18:00
ขอบอกตรงๆ ว่าผมเริ่มเหนื่อยใจกับเหล่าตุ๊กตาปุยนุ่นพวกนี้แล้ว เสียงเคาะกระจกดังถี่และเร็วขึ้นหลังจากครั้งแรก ชนิดที่ว่าแค่ผมเดินไปปิดหน้าต่างบานหนึ่ง อีกบานหนึ่งก็จะดังขึ้นมาทันที ทำให้มีบางครั้งที่ผมต้องหอบเจ้าตุ๊กตาพวกนี้ทีละสี่ถึงห้าตัว ก่อนจะไปเก็บในห้องของคุณอา
การเดินวนจัดการกับตุ๊กตาของผมผ่านไปสักพัก เสียงก็เริ่มน้อยลงจนสุดท้ายก็เงียบไป ตอนนี้ผมลงมานั่งบนโซฟาพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อย ก่อนจะหยิบขนมปังที่เตรียมไว้มากินรองท้อง แต่จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงคนพูด ในตอนแรกผมนึกว่ามันดังมาจากห้องน้ำ แต่เมื่อฟังให้ดีแล้ว เสียงพูดนั้นมันดังมาจากทีวีต่างหาก
"สวัสดีผู้ชมทุกท่าน วันนี้เรามี....."
เสียงพูดของพิธีกรคนนั้นดังขึ้นมาในระหว่างที่ผมกำลังกัดขนมปังเข้าปาก คำพูดของเขานั้นฟังเผินๆ ก็ดูเหมือนคำพูดของพิธีกรรายการปกติ แต่ผมสังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจนว่าการขยับปากของพิธีกรคนนั้นไม่ตรงกับคำพูดเลยแม้แต่นิดเดียว มันเหมือนกับการพากย์ทับซะมากกว่า
"วันนี้เรามีวิดีโอพิเศษจะมานำเสนอให้ท่านผู้ชมทุกท่านได้ดู เป็นวิดีโอที่เกี่ยวกับห้องสมุดแห่งหนึ่ง..."
ผมนั่งดูได้สักพักก็มีเสียงเคาะกระจกดังขึ้นมา ทำให้ผมรีบเดินไปตามหาเสียงแล้วปล่อยให้ทีวีเล่นต่อไปเรื่อยๆ
ในครั้งนี้ผมเห็นว่าหน้าต่างของห้องยังไม่ได้ถูกเปิด และมีเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น มันนั่งเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างแบบไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ทำให้ผมเดินไปหยิบตุ๊กตาตัวนั้น ก่อนจะเห็นว่ามีอะไรแปลกๆ เพราะเท่าที่ผมจำได้ ส่วนใหญ่ตุ๊กตาของคุณอาจะมีเพียงแค่ตุ๊กตารูปสัตว์เท่านั้น แต่เจ้าตุ๊กตาปุยนุ่นที่ผมกำลังถืออยู่นี่มันเป็น...
ตุ๊กตามนุษย์ที่ใส่ชุดนักเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ?
ผมสงสัยในตัวของมันนิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากจะยุ่งกับมันมาก ไม่แน่ว่าคุณอาอาจจะอยากทำสิ่งใหม่ๆ บ้างล่ะมั้ง
ผมวางตุ๊กตาตัวนั้นลงบนโต๊ะทำงานในห้องของคุณอา แต่ทว่ามือของตุ๊กตาตัวนั้นกลับติดอยู่กับนิ้วชี้ของผม มันเอาออกไม่ยากนักแต่ก็ทำให้ผมนึกสงสัยขึ้นมาว่าทำไมมือของมันถึงติดกับผมได้
เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งแล้วหลังจากที่ผมได้เจอกับตุ๊กตามนุษย์ ขอบอกข่าวร้ายอะไรสักหน่อย...คือแบตมือถือของผมหมดแถมผมยังลืมเอาที่ชาร์จมาด้วย
ผมก็คิดนะว่าสาเหตุที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอาจจะเพราะเวลาที่ผมอยู่กับนพ เขาจะชอบชวนผมคุยเรื่องต่างๆ ทำให้ผมไม่ได้มีเวลาเล่นมือถือสักเท่าไหร่ เพราะแบบนั้นเลยลืมเรื่องแบตมือถือแล้วก็ทำให้มันหมดลงไปต่อหน้าต่อตา หลังจากนี้ผมคงจะไม่สามารถรู้เวลาหรือหาอะไรดูฆ่าเวลาบนมือถือได้แล้ว แถมทีวีที่เมื่อกี้ยังมีรายการฉาย ตอนนี้มันกลับไม่มีอะไรอยู่บนหน้าจอซะแล้ว
ผมนั่งเอาแขนปิดตาของตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย แสงสว่างยามเช้าได้หมดลงทำให้ตอนนี้นอกหน้าต่างมีเพียงแต่ความมืดมิด ผมจ้องมองบานหน้าต่างทั้งสี่ในห้องนั่งเล่นสลับกันไปมาเผื่อจะทำให้เจอเรื่องที่น่าสนใจ จนกระทั่งผมได้เห็นเงาอยู่นอกหน้าต่างบานที่ตั้งอยู่ข้างทีวี รูปร่างของเงาเหมือนกับมนุษย์ปกติเพียงแต่นัยน์ตาของเขาได้เปล่งแสงสีแดงออกมา ผมยังจำได้ว่าภายในกฎบอกเอาไว้ว่าเขาไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอะไร
ผมลุกจากที่นั่งก่อนจะไปหยิบขนมที่โต๊ะภายในห้องของคุณอา ภายในนั้นมีขนมอยู่เพียงชนิดเดียวคือลูกกวาดสีต่างๆ ผมเลยเลือกที่จะหยิบลูกกวาดไปเต็มกำมือ ก่อนจะออกจากห้องเพื่อเดินไปยังบานหน้าต่างที่เงานั่นอยู่
เมื่อผมเดินไปถึงก็เห็นว่าเขายังยืนอยู่ตรงนั้น ผมเปิดหน้าต่างบานนี้ออกก่อนจะยื่นลูกกวาดเต็มกำมือให้ หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือสีดำสนิทมาหยิบลูกกวาดสองอันจากมือของผม ในตอนแรกผมคิดว่าจะได้เห็นร่างของเขาชัดขึ้นเมื่อเขาไปใกล้ แต่ที่ไหนได้ สิ่งที่ผมเห็นคือร่างกายของเขามันมืดสนิทราวกับถูกกลืนไปกับความมืด
แต่ในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกถึงสิ่งที่ผิดปกติ นัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาเปิดออกมาก่อนจะกลืนลูกกวาดทั้งสองอันเข้าไป ใช่แล้วล่ะ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่นัยน์ตาที่เปล่งแสงสีแดงออกมา....แต่มันเป็นริมฝีปากสีแดงต่างหาก..
หลังจากที่กลืนลูกกวาดทั้งสองแล้ว เขาก็ฉีกยิ้มด้วยริมฝีปากทั้งสองข้างนั้นให้กับผม ก่อนจะเดินหายไปในความมืด
ผมตัดสินใจเอาลูกกวาดที่เหลือมาเก็บไว้ในห้องของคุณอา ก่อนจะเห็นว่าในลิ้นชักของโต๊ะมีสมุดไดอารี่อยู่เล่มหนึ่ง มันเป็นไดอารี่ที่ดูเก่านิดหน่อย แต่ไม่ได้มีฝุ่นเกาะ ทำให้คิดได้ว่าเจ้าของไดอารี่เล่มนี้คงจะยังเขียนมันอยู่เสมอ
ผมชั่งใจอยู่นานระหว่างเก็บมันไว้ที่เดิมหรือจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน จนสุดท้ายความเบื่อหน่ายก็ชนะ ผมเปิดไดอารี่เล่มนั้นขึ้นก่อนจะอ่านข้อความที่อยู่ภายใน
เนื้อหาข้างในนั้นเป็นของคุณอาอย่างแน่นอน เพราะเธอได้เขียนเล่าถึงลูกค้าประเภทต่างๆ ที่ได้มาสั่งทำตุ๊กตากับเธอ และส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าเด็กๆ ที่ต้องการตุ๊กตาน่ารักๆ จนผมอ่านมาระยะหนึ่งก็เริ่มเห็นว่ามีบางอย่างที่แปลกไป...
" 17 มิถุนายน 2564 "
"ไม่นะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันบอกพวกเขาแล้วว่าอย่ามองมาที่ฉันแต่พวกเขากลับไม่เชื่อมันเลยสักนิด ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ..."
" 3 กรกฎาคม 2564 "
"ฉันทำมันลงไปอีกแล้ว ฉันอธิบายไปทุกอย่างแล้วนะทำไมถึงไม่เชื่อกันเลย ฉันไม่ต้องการทำร้ายใครอีกแล้ว...ได้โปรดอย่ามองหาฉันอีกเลย..."
" 27 กรกฎาคม 2564 "
"ฉันคิดว่าจะหนีออกจากวังวนนี้ได้แต่มันกลับไร้ประโยชน์ ฉันทำมันลงไปอีกแล้วแถมเหยื่อในคราวนี้ยังเป็นแค่เด็กนักเรียนชายธรรมดาๆ เพียงเท่านั้น ฉันทนไม่ไหวแล้ว คราวนี้มันหนักเกินไป....ใครก็ได้......ได้โปรดหยุดมันที..."
" 29 กรกฎาคม 2564 "
"พวกเขารู้แล้วว่าฉันทำผิดกฎของรถเมล์ คงจะมีแต่ต้องไปมอบตัวแล้วสินะ แต่คิดไปแล้วมันก็ดีเหมือนกัน...ฉันจะได้จบวังวนพวกนี้เสียที บางทีพวกเขาอาจจะขังฉันไว้ในที่ที่ลึกที่สุดก็ได้"
" 30 กรกฎาคม 2564 "
"มันจบแล้ว พวกเขาบอกว่าฉันทำไปโดยที่ไม่ได้เจตนา เขาเพียงปรับเงินฉันเล็กน้อยก่อนจะปล่อยฉันกลับบ้าน แปลว่าฉันต้องเข้าสู่วังวนแบบเดิมใช่ไหม ไม่เอาแล้ว ฉันไม่ต้องการแบบนี้...จริงสิ ฉันยังมีทางเลือกอยู่....ยกโทษให้อาด้วยนะไวท์...อาขอโทษ และถ้าพระเจ้ามีจริงได้โปรด....ปลดปล่อยฉันจากคำสาปนี่และช่วยให้หลานของฉันปลอดภัยด้วยเถอะ..."
ไดอารี่ทั้งหมดจบลงเพียงเท่านั้น และวันสุดท้ายที่คุณอาเขียนไดอารี่คือเมื่อวาน ผมสับสนกับสิ่งที่เขียนอยู่ข้างใน แต่ยังไม่ทันได้มีเวลาคิดก็มีเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมา มันเป็นเหมือนเสียงกรีดร้องของสัตว์ป่า แถมมันดังไปทั่วห้องของคุณอาในตอนนี้
ผมรีบเก็บไดอารี่ลงที่เดิมก่อนจะหันมองไปยังชั้นเก็บตุ๊กตา เพื่อมองหาว่ามีตัวไหนบ้างที่มีเลือดไหลออกมา....แต่ปรากฏว่า
ตุ๊กตาทุกตัวที่อยู่บนชั้นวางในตอนนี้ กำลังกรีดร้องพร้อมกับมีเลือดไหลออกมาท่วมตัว
ผมรีบวิ่งออกมานอกห้องของคุณอาทันที มันคงเป็นความคิดที่โง่มากแน่ๆ หากผมยังดื้อรั้นที่จะโยนตุ๊กตาพวกนั้นไปนอกหน้าต่างในตอนนี้
ผมรีบเร่งฝีเท้าเพื่อจะไปยังห้องน้ำ ก่อนจะเห็นว่ารอบๆ กำแพงบ้านในตอนนี้มีบานหน้าต่างเพิ่มขึ้นมานับไม่ถ้วน ผมนึกว่ามันจะโผล่มาเพียงบานเดียวซะอีก แต่ในตอนนี้มันคงไม่มีประโยชน์ที่จะมาถามหาคำตอบจากมันซะแล้ว
ผมวิ่งไปจนถึงหน้าประตูห้องน้ำก่อนจะจับลูกบิดประตู....แต่มันกลับถูกล็อกอยู่ ผมกำหมัดแน่นก่อนจะรวบรวมสมาธิ....เพื่อที่จะใช้ทั้งตัวของผมพุ่งเข้าใส่ประตูห้องน้ำเพื่อทำให้มันเปิดออก และมันสำเร็จ ผมทรุดตัวลงเล็กน้อยก่อนจะเห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนชักโครก
"ผมรอคุณไวท์อยู่นานเลย ในที่สุดก็มาซะทีนะครับ"
ใช่...นพนั่นเอง เขายิ้มพร้อมกับนั่งไขว่ห้างเท้าคางมองผมอยู่ แต่ผมไม่มีเวลาที่จะโกรธหรือถามอะไรเขา เพราะผมต้องรีบเข้าไปในข้างในตู้ไม้ ขนาดของตู้มันใหญ่มากพอที่ผมจะเข้าไปอยู่ได้ ผมเลยยัดตัวเองเข้าไปก่อนจะปิดตู้ลงและขังตัวเองเอาไว้ข้างในนั้น
ระหว่างที่ผมอยู่ข้างใน ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องสลับกับเสียงของไม้ที่กำลังแตกหัก พวกมันดังลั่นอยู่นานจนสุดท้ายก็เสียงก็เงียบลงในที่สุด
"มันจบแล้วล่ะครับคุณไวท์ ออกมาได้แล้ว"
เสียงของนพทำให้ผมตื่นตัว ผมใช้มือของตัวเองผลักประตูตู้ออกมา ก่อนจะเห็นว่าในตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว รอบๆ บ้านในตอนนี้พังเละไปหมดแถมยังมีรอยเลือดอยู่เต็มพื้นที่ กลิ่นคาวของมันทำให้ผมเวียนหัวอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยังพอตั้งสติได้
เวลาผ่านไปสักพักหลังจากเหตุการณ์จบลง นพเล่าให้ผมฟังว่าตัวเขาได้เจอกับดักของบ้านหลังนี้ จนไม่สามารถออกมาได้ง่ายๆ จนสุดท้ายเมื่อเขาหลุดออกมาก็พบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในตู้ไม้เก่าๆ เมื่อเขาออกมาก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องน้ำ เลยตัดสินใจว่าจะอยู่ข้างในนี้จนกว่าผมจะเข้ามา แถมเขายังบอกอีกว่า ที่แห่งนี้มีบรรยากาศราวกับสถานที่สังเวยอะไรบางอย่างซะมากกว่า
พวกเราตรวจสอบสถานที่ไปสักพักจนได้เห็นกระดาษใบหนึ่งที่ติดอยู่ข้างหลังตู้ไม้ ภายในนั้นมีตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยลายมือของคุณอา ใจความว่า...
"ถ้าหลานได้อ่านจดหมายฉบับนี้แสดงว่าหลานคงจะสามารถรอดจากพิธีกรรมของอาได้แล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ต้องนำหลานมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอา แต่มีเพียงการทำแบบนี้เท่านั้นที่จะช่วยปลดปล่อยอาจากคำสาปนี้ได้ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่าง
- ด้วยรัก จากคุณอาสเตล่า "
ผมเก็บจดหมายฉบับนี้ลงก่อนจะตัดสินใจกลับบ้าน ถึงแม้จะยังสับสนกับเรื่องต่างๆ อยู่นิดหน่อย ผมใช้เวลาไม่นานในการเดินทางจนมาถึงบ้านของตัวเอง
ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันหนักหนากว่าในโรงเรียนซะอีก คิดได้แบบนั้นผมเลยตัดสินใจหลับเพราะความเหนื่อยสะสม
เวลาผ่านไปสักพัก เสียงแจ้งเตือนของมือถือปลุกผมให้ตื่นจากฝัน ผมรีบลุกขึ้นจากเตียงเเล้วลุกไปล้างหน้าเพื่อทำให้ตัวเองตื่นขึ้น ก่อนจะเห็นว่านพกำลังยืนมองมือถือของผมอยู่
"มีอะไรงั้นเหรอ?"
นพขำออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบผมกลับมา
"คุณไวท์มีดวงกับเรื่องพวกนี้จริงๆ นะครับ"
"หมายความว่ายังไง?"
นพไม่ตอบอะไรผมกลับมา เขาเพียงแค่ยิ้มให้ผมเพียงเท่านั้น ผมเลยเดินไปเช็กที่มือถือของตัวเอง ก่อนจะเห็นว่ามีอีเมลฉบับหนึ่งส่งมาหาผม ซึ่งจั่วหัวของอีเมลฉบับนั้นก็คือ....
"กฎในการดูแลรักษาห้องดนตรีของโรงเรียน"