เดิมทีกับบุรุษสูงส่งผู้นี้ หลินซูซินมิกล้ามีปฏิสัมพันธ์ด้วย แม้นางกับเขาจะเจอกันบ่อยๆ ในจวนชินอ๋องตั้งแต่เด็กก็ตาม
เพราะยามเจอกัน จ้าวเฟิงฉีมักจะตีนางที่เป็นแค่เด็กหญิงไร้ทางสู้ แม้อายุของพวกเราห่างกันแค่สามปี ตอนนั้นนางสามขวบ เขาหกขวบ ขนาดตัวไม่ต่างกันเท่าใด แต่เขาเป็นเด็กชายที่มีมือหยาบกระด้างเหลือเกิน ท่วงท่าตอนเดินเหินช่างโอหังอย่างยิ่ง ตอนลงนิ้วกับแก้มนาง ยังอำมหิตอย่างมาก
ในสายตาของเด็กน้อยเช่นนางในตอนนั้น จ้าวเฟิงฉีคือบุรุษที่ชอบเอาเปรียบสตรี ป่าเถื่อนโหดร้าย ฆ่าได้กระทั่งเด็กหญิง!
หลินซูซินฝังใจภาพจำของจ้าวเฟิงฉีกระทั่งเติบโตเป็นสาว
ครั้นถึงคราวดูตัวเพื่อกำหนดหมั้นหมาย นางก็คล้ายเห็นจ้าวเฟิงฉีตัวใหญ่ขึ้น ดุดันขึ้น แววตาที่มองมาทางนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมมาก
แต่ก่อน ทุกครั้งที่เจอกัน เขาชอบทำตัวเป็นอันธพาลน้อยที่คอยกลั่นแกล้งเด็กหญิงไม่ประสาเช่นนางตลอดเวลา
พอนางคบหากับเกาหมิง เขาพลันกลับกลายเป็นคนเย็นชาไม่พูดจา เพียงมองหน้าเงียบๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ แววตาลึกล้ำ ทำคนอ่านความรู้สึกไม่ออก
ต่อมา จากไม่พูดจาเขาก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นพูดเหน็บแนมทุกคราที่เจอหน้า แววตาเชือดเฉือนชิงชัง แม้ท่าทางไม่แยแสใส่ใจ แต่กลับเผยออกมาซึ่งความเกลียดชังท่วมท้น
ในฝัน หลังจากนางแต่งกับเกาหมิง จ้าวเฟิงฉีก็หายตัวไป เขาไม่เคยมาเยือนจวนชินอ๋องตอนนางไปทำอาหารแปลกใหม่ให้ซื่อจื่อจ้าวฉีเสวียนกับท่านหญิงจ้าวเล่อเสียอีกเลย
แต่พอนางตาย...
หลินซูซินกัดปากข่มความคิดอันลึกล้ำกลั้นน้ำตามิให้ไหล ก่อนพาตัวเองเดินเข้าไปในหอน้ำชา
นางไม่มีทางหลีกหนีเขาอีกเหมือนที่ผ่านมา...
บนหอน้ำชาชั้นสอง
จ้าวเฟิงฉีหรี่ตามองหลินซูซิน ในสีหน้าเย็นชาเรียวคิ้วคมค่อยๆ ขมวดหากันเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายไม่เลือกการเร้นกายหนีหายเหมือนที่เคย ทั้งยังโบกมือทักทายให้เขาอีกด้วย
โบกมือ?
สตรีผู้นี้...
ช่างไม่คำนึงถึงฐานะเอาเสียเลย!
แววตาเย็นชาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเยาะเย้ยเหยียดหยัน เดิมทีหลินซูซินมักจะหลบหน้าเขาเสมอมา หรือวันนี้พอบังเอิญเจอว่าที่สามีอยู่กับสตรีอื่น จึงคิดเข้าหาเขา เอาเขาเป็นเครื่องมือทำให้เจ้าหน้าขาวเกาหมิงผู้นั้นหึงหวง
จ้าวเฟิงฉีหัวเราะฮึ ๆ ในลำคออย่างชั่วร้าย ความคิดชั่วช้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
เป็นเช่นนี้ย่อมดี เขาจะได้ถือโอกาสสั่งสอนเจ้าบ้านั่น
จ้าวเฟิงฉีไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตนเองถึงไม่ชอบหน้าเกาหมิง
ยิ่งนานวันก็ยิ่งเกลียดชังอย่างไม่อาจมีสิ่งใดมาฉุดรั้ง โดยเฉพาะทุกครั้งที่หลินซูซินออกตัวปกป้องเกาหมิงต่อหน้าเขา
หลินซูซินเดินเข้าหอน้ำชาคิดในใจว่าจะไปหาจ้าวเฟิงฉี
ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกคราที่ผ่านมา นางไม่หลีกเลี่ยงหนีเขา ไม่ไปเดินเที่ยวกับเกาหมิงเพื่อผูกสัมพันธ์ตามหน้าที่ว่าที่ภรรยา นางอยากเข้าหาจ้าวเฟิงฉีด้วยความรู้สึกสำนึกบุญคุณอย่างแท้จริง
แต่นางย่อมไม่พบหน้าเขามือเปล่า เขาเป็นคนรักในอาหาร เพียงแต่คนที่ได้รับสิทธิ์เข้าครัวเพื่อเขาหากมิใช่พระชายาเพ่ยหนิง ล้วนต้องเป็นบิดาหรือมารดาของนางเท่านั้น
ส่วนตัวนางไหนเลยจะกล้าเสนอหน้า
ตั้งแต่ถูกเขาก่อกวนด้วยการสั่งรายการอาหารทำยาก คล้ายกลั่นแกล้งให้นางต้องร่ำไห้ช้ำใจเพราะทำให้เขามิได้เมื่อปีนั้น นางก็ไม่กล้าแสดงฝีมือเพื่อลิ้นอันล้ำเลิศของเขาอีกเลย
วันนี้หลินซูซินจึงคิดจะเข้าครัวทำของโปรดให้เขาสักหน่อย เผื่อว่าเขาจะหายโกรธจากปัญหาระหว่างเราครั้งที่แล้ว
หญิงสาวเดินเลี้ยวไปทางใต้บันได ลึกเข้าไปข้างในคือห้องครัว นางเป็นบุตรสาวที่ได้รับพรสวรรค์ด้านอาหารจากบิดาและมีวิชาสรรสร้างขนมน่ากินจากมารดา ย่อมแสดงฝีมือได้ไม่ยาก
หอน้ำชาแห่งนี้เป็นกิจการหนึ่งของวังวนบุปผาที่บิดาควบคุมดูแลให้พระชายาเพ่ยหนิงอยู่ หลินซูซินจึงเข้านอกออกในห้องครัวเพื่อเป็นลูกมือของบิดาปรุงอาหารได้บ่อยครั้งตั้งแต่ยังเล็ก จวบจนตอนนี้ที่เติบโตขึ้นมาก เก่งกาจยิ่งขึ้น นางยังได้รับโอกาสทำอาหารงานเลี้ยงน้ำชาให้ฮูหยินชั้นสูงของเมืองผิงโจวบ่อยๆ จนหอน้ำชามีอาหารและขนมเลื่องชื่อหลายอย่าง
กระทั่งตัวนางเองยังมีนามเลื่องลือไปไกลถึงต่างแคว้น
มีหนหนึ่งรัชทายาทแคว้นเยี่ยนถึงขั้นติดอกติดใจรสมือนาง พระองค์จึงส่งคนมาขอซื้อตัวนางไปตบแต่งเป็นอนุชายา ทั้งสัญญาว่านางย่อมได้ขึ้นเป็นถึงพระสนมขั้นเฟย ทว่าตัวคนยังมาไม่ถึง แต่ข่าวกลับมาก่อน
ตอนนั้นบิดามารดาจึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพระชายาเพ่ยหนิงทันที เรื่องถูกสั่งการต่อให้ชินอ๋องและจ้าวเฟิงฉี พระชายาเพ่ยหนิงเองก็ไม่ยินยอมให้นางจากดินแดนจินไปไกล
ต่อมาไม่รู้คนของจ้าวเฟิงฉีใช้วิธีการใดเรื่องถึงเงียบไป
และนั่นก็เป็นเหตุให้หลินอีเซิงกับจูจื่อฉิงต้องหาว่าที่คู่หมายให้แก่หลินซูซิน
และผู้ถูกเลือกก็คือเกาหมิง บุตรชายสหายนั่นเอง
ยามนี้ หลินซูซินใช้เวลาไม่นาน อาหารน่ากินหลายจานที่ถูกจัดแต่งงดงามก็พร้อมส่งถึงห้องชั้นสองของจ้าวเฟิงฉี
หลินซูซินสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกขึ้นไปทันที ให้เขาได้ลองกินของอร่อยก่อนจะได้อารมณ์ดี แล้วนางค่อยตามเข้าไปทีหลัง
ขณะเดินผ่านธรณีประตู พลันมีมือหนึ่งจับข้อมือนางไว้ หลินซูซินหันหน้าไปมอง จึงเห็นเป็นเกาหมิง
สีหน้าของเกาหมิงอบอุ่นอ่อนโยนเป็นนิตย์ทว่าแววตากลับเผยออกมาซึ่งความรู้สึกผิด สีหน้าแววตาเช่นนี้ย่อมทำให้คนใจอ่อน ทว่าหลินซูซินแค่เอียงคอถามเสียงหนึ่ง “ท่านมีสิ่งใดกับข้าหรือ?”
สุ้มเสียงนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์แฝงความเคร่งขรึมค่อยๆ ดังเล็ดลอดออกจากริมฝีปากได้รูปอย่างคนเป็นสุภาพชนพึงเอ่ย “เมื่อครู่ข้าบังเอิญเจอกับน้องจิ่วเม่ยจริงๆ แต่เจ้ากลับพูดจาเช่นนั้น หากผู้อื่นได้ยินแล้วเอาไปแพร่งพราย ล้วนไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใด”
เกาหมิงปีนี้อายุยี่สิบสามค่อนข้างห่างจากหลินซูซินที่อายุสิบห้าปี เขาจึงสามารถตำหนิอบรมนางได้มาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งต่อไปยังจะเป็นสามี การทำเช่นนี้ย่อมไม่นับว่าเกินไป และอีกอย่างจางจิ่วเม่ยปีนี้อายุแค่สิบสาม ตามหลักแล้วเกาหมิงเปรียบเสมือนพี่ชายใหญ่ของอีกฝ่ายมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น
หากเป็นเมื่อก่อนหลินซูซินย่อมเชื่อฟังว่าที่สามีตรงหน้า แต่บัดนี้ภาพบัดสีที่นางเห็นในฝันระหว่างเกาหมิงกับจางจิ่วเม่ย สิ่งที่เรียกว่าการรักษาศีลธรรมจรรยาพวกเขายังไม่รู้จักเลยกระมัง
อีกทั้งหลังจากนางตาย พวกเขายังแต่งงานกันอย่างราบรื่น วันชื่นคืนสุขเกิดขึ้นท่ามกลางการลืมเลือนนางกับลูกที่ตายอย่างไร้ค่า
ทั้งๆ ที่เขาเองใจจริงก็รักนาง และทั้งที่วันนี้ยังไม่เกิดสิ่งใดระหว่างเขากับจางจิ่วเม่ยเฉกเช่นในฝัน
แต่กระนั้นหลินซูซินไม่คิดรอให้ชะตาชีวิตตัวเองต้องจบลง ยิ่งไม่มีทางรอให้ชีวิตน้อยๆ ของลูกต้องเสี่ยงตายตั้งแต่ในครรภ์ นางไม่ปรารถนาให้มีวันนั้น